Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.
การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (Cardiopulmonary resuscitation) | |
---|---|
หัตถการและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ | |
การฝึกการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพกับหุ่นจำลอง
| |
ICD-9: | 99.60 |
MeSH | D016887 |
OPS-301 code: | 8-771 |
การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (อังกฤษ: Cardiopulmonary resuscitation) หรือ ซีพีอาร์ เป็นหัตถการฉุกเฉินทางการแพทย์สำหรับผู้ที่หัวใจหยุดเต้น หรือหยุดหายใจในบางกรณี อาจทำโดยบุคลากรทางการแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน หรือโดยคนทั่วไปที่ได้รับการฝึกก็ได้
ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพนั้นประกอบด้วยการจำลองการไหลเวียนโลหิต (เช่น การนวดหัวใจ) และการจำลองการหายใจ (เช่น การผายปอด) อย่างไรก็ดี ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association) และสภาการกู้ชีพยุโรป (European Resuscitation Council) เสนอให้เห็นถึงผลดีของการนวดหัวใจเพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องผายปอดสำหรับผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นผู้ใหญ่ ส่วนการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพนั้นยังคงทำอยู่เป็นส่วนหนึ่งของการกู้ชีวิตระดับสูงจนกว่าหัวใจของผู้ป่วยจะกลับมาเต้นตามปกติ หรือเสียชีวิต
หลักการของการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพไม่ใช่การทำให้หัวใจเต้นขึ้นใหม่ แต่เป็นเพื่อรักษาให้มีการไหลเวียนของเลือดนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองและหัวใจ เป็นการชะลอการตายของเนื้อเยื่อและเพิ่มโอกาสที่ผู้ป่วยจะฟื้นกลับขึ้นมาโดยไม่มีความเสียหายถาวรเกิดขึ้นกับสมอง ปกติแล้วการกระตุ้นให้หัวใจเต้นขึ้นใหม่จะต้องใช้การกู้ชีพขั้นสูง เช่น การช็อตไฟฟ้าหัวใจ
ข้อบ่งชี้
ข้อบ่งชี้ของการเริ่มการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพนั้นใช้สำหรับบุคคลที่ไม่ตอบสนอง (unresponsive) และไม่หายใจหรือหายใจเฮือก มีโอกาสมากที่จะอยู่ในภาวะหัวใจหยุด ถ้ายังมีชีพจรอยู่แต่ไม่หายใจ (ภาวะหายใจหยุด) ควรเริ่มการช่วยหายใจมากกว่า อย่างไรก็ดีผู้ช่วยชีวิตหลายคนอาจไม่มีความเชี่ยวชาญในการจับชีพจร คำแนะนำใหม่จึงกำหนดให้ผู้ช่วยชีวิตที่เป็นคนทั่วไปไม่ต้องพยายามจับชีพจร และให้เริ่มการช่วยชีวิตไปเลย ส่วนผู้ช่วยชีวิตที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์สามารถพิจารณาจับชีพจรก่อนเริ่มการช่วยชีวิตได้ตามเห็นสมควร
วิธีการ
พ.ศ. 2553 สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาและคณะกรรมการประสานงานนานาชาติว่าด้วยการกู้ชีพได้ปรับปรุงแนงทางปฏิบัติการกู้ชีพขึ้นใหม่ มีการให้ความสัมพันธ์กับคุณภาพของการกู้ชีพ โดยเฉพาะอัตราเร็วและความลึกของการกดหน้าอกร่วมกับการไม่ทำให้เกิดภาวะหายใจเกิน มีการเปลี่ยนแปลงลำดับขั้นตอนการช่วยชีวิตสำหรับทุกช่วงอายุยกเว้นทารก โดยเปลี่ยนจาก ABC (ทางเดินหายใจ การหายใจ การไหลเวียน) เป็น CAB (การกดหน้าอก ทางเดินหายใจ การหายใจ) โดยมีข้อยกเว้นเฉพาะผู้ป่วยที่ชัดเจนว่ามีภาวะหายใจหยุด เช่น จมน้ำ เป็นต้น
แบบมาตรฐาน
อัตราส่วนการกดหน้าอกต่อการช่วยหายใจที่แนะนำคือ 30:2 ส่วนในเด็กหากมีผู้ช่วยเหลือตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปแนะนำให้ใช้อัตราส่วน 15:2 ในทารกแรกเกิดใช้อัตราส่วน 3:1 เว้นแต่รู้อยู่ก่อนว่าเป็นภาวะหัวใจหยุดที่มีสาเหตุมาจากหัวใจโดยตรง (cardiac cause) ให้ใช้อัตราส่วน 15:2 ได้ หากได้เริ่มการช่วยหายใจขั้นสูงแล้ว (เช่น ใส่ท่อช่วยหายใจทางหลอดลม หรือหน้ากากปิดกล่องเสียง) ให้ดำเนินการช่วยหายใจและกดหน้าอกไปได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องนับเป็นจังหวะอัตราส่วน โดยให้ช่วยหายใจด้วยอัตรา 8-10 ครั้งต่อนาที ลำดับของการช่วยเหลือที่แนะนำคือให้เริ่มจากการกดหน้าอก (Chest compression) ช่วยทางเดินหายใจ (Airway) และตามด้วยการช่วยหายใจ (Breathing) คือลำดับ CAB เว้นแต่มีข้อบ่งชี้อื่น โดยกดหน้าอกเร็วอย่างน้อย 100 ครั้งต่อนาที ความลึกของการกดหน้าอกสำหรับผู้ใหญ่และเด็กคือประมาณ 5 เซนติเมตร (2 นิ้ว) และในทารกคือประมาณ 4 เซนติเมตร (1.5 นิ้ว) ใน ค.ศ. 2010 Resuscitation council ของอังกฤษยังแนะนำให้ใช้ลำดับการช่วยเหลือ ABC ในการช่วยกู้ชีพเด็ก เนื่องจากการจับชีพจรอาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ช่วยเหลือที่เป็นคนทั่วไปจึงได้ตัดขั้นตอนนี้ออก แม้จะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ก็ไม่แนะนำให้เสียเวลากับการพยายามจับชีพจรนานเกิน 10 วินาที ในการกดหน้าอกผู้ใหญ่ให้ใช้สองมือ ในเด็กใช้มือเดียว และในทารกใช้สองนิ้ว
แบบกดหน้าอกอย่างเดียว
หมายถึงการกดหน้าอกเพื่อช่วยกู้ชีพโดยไม่มีการช่วยหายใจ เป็นวิธีที่ให้ใช้ได้สำหรับผู้ช่วยเหลือที่ไม่ได้รับการฝึกฝนมาก่อนหรือไม่เชี่ยวชาญเนื่องจากเป็นวิธีที่สามารถทำไปพร้อมกับรับคำแนะนำทางโทรศัพท์ได้โดยง่าย วิธีการกดหน้าอกเหมือนกันกับในวิธีมาตรฐานคือกดด้วยอัตราอย่างน้อย 100 ครั้งต่อนาที เชื่อว่าการแนะนำให้มีการกดหน้าอกเพื่อกู้ชีพโดยไม่มีการช่วยหายใจนี้จะทำให้มีผู้ช่วยเหลือที่สมัครใจจะเข้ามาช่วยเหลือผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้นได้มากขึ้น
ภาวะแทรกซ้อน
การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพเป็นทางเลือกสุดท้ายของการช่วยชีวิตซึ่งหากไม่ได้ทำแล้วผู้ป่วยที่ไม่มีชีพจรจะเสียชีวิตอย่างแน่นอน ธรรมชาติของลักษณะการกดหน้าอกเพื่อช่วยกู้ชีพย่อมนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขภายหลัง ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยได้แก่ ซี่โครงหัก กระดูกสันอกหัก เลือดออกในช่องอกด้านหน้า ภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวกับทางเดินหายใจส่วนบน การบาดเจ็บต่ออวัยวะในช่องท้อง และภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวกับเนื้อเยื่อปอด เป็นต้น
การบาดเจ็บที่พบบ่อยที่สุดจากการช่วยกู้ชีพคือกระดูกซี่โครงหัก จากการศึกษาวิจัยพบว่ามีโอกาสเกิดประมาณ 13-97% และกระดูกสันอกหักซึ่งมีโอกาสเกิดประมาณ 1-43% ภาวะเหล่านี้ถือเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการให้การรักษา (iatrogenic) และอาจทำให้จำเป็นต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติม (หากผู้ป่วยรอดชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดได้) แต่ภาวะเหล่านี้เพียง 0.5% เท่านั้นที่เป็นมากจนถือว่าเป็นอันตรายต่อชีวิต
โอกาสที่จะเกิดการบาดเจ็บชนิดใดหรือเสี่ยงมากน้อยแค่ไหนขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างเช่นเพศและอายุ เช่น ผู้หญิงมีโอกาสเกิดกระดูกสันอกหักมากกว่าผู้ชาย ผู้สูงอายุมีโอกาสเกิดกระดูกซี่โครงหักมากกว่าคนอายุน้อย เป็นต้น ผู้ป่วยเด็กและทารกมีโอกาสเกิดกระดูกซี่โครงหักน้อยโดยมีโอกาสประมาณ 0-2% ซึ่งหากเกิดมักเป็นกระดูกซี่โครงด้านหน้าหักและหักหลายชิ้น
ในกรณีที่มีการกดหน้าอกเพื่อกู้ชีพในผู้ป่วยที่ไม่ได้มีภาวะหัวใจหยุด มีผู้ได้รับบาดเจ็บดังกล่าวเพียงประมาณ 2% (แต่มีความรู้สึกเจ็บหรือไม่สบายตัวประมาณ 12%)
วิทยาการระบาด
โอกาสของการได้รับการช่วยกู้ชีพ
มีการศึกษาวิจัยหลายชิ้นที่พบว่าโอกาสที่ผู้ที่มีหัวใจหยุดนอกที่พักอาศัยจะได้รับการช่วยกู้ชีพจากผู้เห็นเหตุการณ์ที่เป็นคนทั่วไปหรือคนในครอบครัวอยู่ที่ 14% - 45% โดยมีมัธยฐานอยู่ที่ 32% บ่งบอกว่าผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกที่พักอาศัยประมาณหนึ่งในสามได้รับการช่วยเหลือด้วยการช่วยกู้ชีพ อย่างไรก็ดีประสิทธิภาพของการช่วยกู้ชีพที่ได้รับนั้นมีความแตกต่างกันไป การศึกษาวิจัยบางชิ้นพบว่าผู้ช่วยกู้ชีพเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่ทำการช่วยกู้ชีพเบื้องต้นได้ถูกต้อง งานวิจัยใหม่พบว่าคนทั่วไปที่เคยได้รับการอบรมการช่วยกู้ชีพส่วนใหญ่ไม่มีความมั่นใจและความสามารถที่เพียงพอในการช่วยกู้ชีพให้เหมาะสม ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้เชื่อว่าควรมีการปรับปรุงคุณภาพของการฝึกสอนการกู้ชีพ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับการฝึกมีความมั่นใจที่จะให้การกู้ชีพได้ดีมากขึ้น
โอกาสของการได้รับการช่วยกู้ชีพทันเวลา
การช่วยกู้ชีพจะมีโอกาสประสบผลสำเร็จก็ต่อเมื่อได้เริ่มทำภายใน 6 นาที หลังการไหลเวียนของเลือดหยุดลงเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เนื้อสมองส่วนที่ขาดเลือดจะเสียหายอย่างถาวร เซลล์สมองเหล่านี้เมื่อขาดออกซิเจนเป็นเวลา 4-6 นาที ก็จะมีความเสียหายเกิดขึ้นและไม่สามารถกลับคืนเป็นปกติได้แม้ได้รับออกซิเจนกลับเข้าไปตามเดิม อาจมีข้อยกเว้นในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดหัวใจหยุดเต้นในสภาวะที่มีอุณหภูมิต่ำมากๆ เนื่องจากภาวะอุณหภูมิกายต่ำจะลดอัตราของกระบวนการทางกายภาพและทางเมตาบอลิกลง ทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ต้องการออกซิเจนลดลง มีผู้ป่วยบางรายที่หัวใจหยุดเต้นในภาวะอุณหภูมิกายต่ำแล้วรอดชีวิตจากการให้การช่วยกู้ชีพด้วยการนวดหัวใจผายปอด การช็อกไฟฟ้า และการให้อุณหภูมิด้วยเทคนิกขั้นสูง ได้
ประวัติศาสตร์
ในศตวรรษที่ 19 นายแพทย์ H. R. Silvester ได้อธิบายวิธีการจำลองการหายใจในผู้ป่วยที่ไม่หายใจโดยให้นอนหงาย ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะเพื่อให้เกิดการหายใจเข้า ร่วมกับการกดหน้าอกเพื่อใหเกิดการหายใจออก โดยให้ทำต่อเนื่อง 16 ครั้งต่อนาที วิธีการนี้เรียกว่า The Silvester Method พบได้ในภาพยนตร์บางเรื่องช่วงต้นศตวรรษที่ 20
เทคนิคที่ 2 เรียกว่า Holger Neilson technique ซึ่งมีการอธิบายไว้ในคู่มือลูกเสือ (Boy Scout Handbook) ของสหรัฐอเมริกา ฉบับที่ 1 ปี ค.ศ. 1911 เสนอการช่วยหายใจโดยให้นอนคว่ำทับฝ่ามือ ตะแคงหน้า ให้ผู้ช่วยเหลือดึงข้อศอกขึ้นเพื่อกางแขนพร้อมกับกดหลังทำให้อากาศไหลเข้าปอด คล้ายกับการทำ Silvester Method แต่ทำในท่านอนคว่ำ วิธีการนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายในช่วงทศวรรษ 1950 (ปรากฏในภาพยนตร์ Lassie) รวมถึงปรากฏในภาพยนตร์การ์ตูนหลายเรื่อง และบ่อยครั้งเป็นไปเพื่อความขบขัน (ภาพยนตร์การ์ตูน Tom and Jerry ตอน The Cat and the Mermouse) และยังคงลงอธิบายอยู่ในหนังสือคู่มือลูกเสือควบคู่กับวิธีซีพีอาร์แบบสมัยใหม่จนถึงฉบับที่ 9 ใน ค.ศ. 1979 ก่อนที่จะถูกห้ามให้ลงในคู่มือกู้ชีพในสหราชอาณาจักร
ในกลางศตวรรษที่ 20 สังคมการแพทย์เริ่มรับรู้และแนะนำให้คนทั่วไปใช้การช่วยการหายใจร่วมกับการกดหน้าอกเป็นการกู้ชีพหลังเกิดภาวะหัวใจหยุด โดยมีการใช้ครั้งแรกในวิดีโอฝึกสอนปี 1962 ชื่อ "The Pulse of Life" โดย James Dude, Guy Knickerbocker และ Peter Safar โดย Jude และ Knickerbocker ร่วมกับ William Kouwenhoven และ Joseph S. Redding ได้ค้นพบวิธีการนวดหัวใจจากภายนอก ในขณะที่ Safar ได้ทำงานร่วมกับ Redding และ James Elam เพื่อพิสูจน์ประสิทธิผลของการช่วยหายใจ ส่วนเทคนิกการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพนั้นพัฒนาขึ้นที่มหาวิทยาลัย Johns Hopkins ความพยายามแรกในการนำเทคนิกนี้มาใช้เป็นการทำกับสุนัขโดย Redding, Safar และ JW Perason หลังจากนั้นไม่นานก็มีการนำมาใช้ช่วยชีวิตเด็ก ผลการค้นพบที่ทำร่วมกันนี้ได้รับการนำเสนอที่งานประชุม Maryland Medical Society ประจำปีเมื่อวันที่ 16 กันยายน 1960 ในเมือง Ocean หลังจากนั้นจึงได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็วในช่วงทศวรรษต่อมา ด้วยความช่วยเหลือจากวีดิทัศน์และงานบรรยายที่พวกเขาได้ไปบรรยาย Peter Safar ได้เขียนหนังสือ ABC of resuscitation ไว้ในปี 1957 และได้รับการสนับสนุนให้มีการเผยแพร่แก่สาธารณชนให้เกิดการเรียนรู้ในช่วงทศวรรษปี 1970