Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.
การสะกดจิต
การสะกดจิต (อังกฤษ: hypnosis) เป็นสภาพพิชานของมนุษย์ ที่มีการมุ่งความใส่ใจและลดความสนใจต่อสิ่งรอบตัว รวมทั้งตอบสนองต่อสิ่งชักจูงง่ายขึ้น
ทฤษฎีอธิบายสิ่งที่เกิดระหว่างการสะกดจิตแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ทฤษฎีเปลี่ยนแปลงสภาพ มองว่าการสะกดจิตเป็นการเปลี่ยนสภาพจิตหรือการอยู่ในภวังค์ (trance) สังเกตจากระดับความรู้สึกตัวที่แตกต่างจากสภาพพิชานปกติ ในทางตรงข้าม ทฤษฎีไม่ใช่สภาพ มองว่าการสะกดจิตเป็นรูปแบบหนึ่งของการกำหนดบทบาทในจินตนาการ
คนที่เคยถูกสะกดจิตกล่าวว่าพวกเขารู้สึกมีสมาธิมากขึ้น และระหว่างถูกสะกดจิตยังสามารถตั้งสมาธิอย่างแรงกล้าไปยังความคิดหรือความทรงจำเฉพาะ โดยไม่สนใจสิ่งเร้าอื่น ผู้ถูกสะกดจิตมักแสดงการตอบรับต่อสิ่งชักจูงง่ายขึ้น
การสะกดจิตมักทำโดยใช้ชุดคำสั่งเบื่องต้นและการชักจูง การใช้การสะกดจิตเพื่อรักษาอาการต่าง ๆ เรียกว่า "สะกดจิตบำบัด" (hypnotherapy) และการใช้เพื่อให้ความบันเทิงแก่ผู้ชมถูกเรียกว่า "การสะกดจิตแบบการแสดง" (stage hypnosis) มักนำแสดงโดยนักมโนนิยม (mentalist) ที่ผ่านการฝึกศาสตร์ของมโนนิยม (mentalism)
ที่มาของคำ
คำว่า "hypnosis" มาจากคำกรีกโบราณ ὕπνος hypnos ที่แปลว่า "การนอน" และคำต่อท้าย -ωσις -osis หรือจาก ὑπνόω hypnoō, "การทำให้หลับ" (ส่วนหนึ่งของคำว่า hypnōs-) และคำต่อท้าย -is ทั้งคำว่า "hypnosis" และ "hypnotism" มาจากคำว่า "neuro-hypnotism" (การนอนทางประสาท) ล้วนเป็นคำที่ตั้งขึ้นโดย Étienne Félix d'Henin de Cuvillers ใน ค.ศ. 1820
ลักษณะเฉพาะ
คนที่กำลังถูกสะกดจิตนั้นผ่อนคลาย มีความใส่ใจไปที่สิ่งเดียว และถูกชักจูงได้ง่าย
คนที่ถูกสะกดจิตเหมือนจะสนใจแต่เพียงการสื่อสารจากผู้สะกดจิตเท่านั้น และมักตอบสนองในรูปแบบอัตโนมัติโดยไม่ผ่านการวิเคราะห์ ขณะเมินเฉยต่อสิ่งรอบข้างทุกอย่างนอกจากสิ่งที่ถูกชี้โดยผู้สะกดจิต ขณะถูกสะกดจิต คนมักเห็น รู้สึก ได้กลิ่น หรือรับรู้ ตามคำชักจูงของผู้สะกดจิต แม้คำชักจูงเหล่านั้นอาจตรงข้ามกับสิ่งเร้าจริงซึ่งอยู่ในสภาพแวดล้อม ผลของการสะกดจิตไม่จำกัดอยู่เพียงการรับรู้เท่านั้น ทว่าความทรงจำและความตระหนักรู้ในตนอาจเปลี่ยนไปตามการชักจูง และผลของการชักจูงอาจคงอยู่หลังตื่นจากการสะกดจิต
สามารถกล่าวได้ว่าการชักจูงโดยการสะกดจิตตั้งใจใช้ประโยชน์จากปรากฏการณ์ยาหลอก ตัวอย่างเช่น ใน ค.ศ. 1994 เออร์วิง เคอร์ช (Irving Kirsch) บรรยายว่าการสะกดจิตเป็นเหมือน "ยาหลอกแบบไม่ลวงตา" (nondeceptive placebo) หรือเป็นวิธีที่ใช้ประโยชน์จากการชักจูงอย่างเปิดเผยและใช้วิธีเพื่อขยายผล
การประยุกต์ใช้
การสะกดจิตถูกประยุกต์ใช้ในหลายด้าน รวมทั้ง การใช้เพื่อรักษาทางการแพทย์หรือจิตบำบัด, การใช้ทางทหาร, การใช้เพื่อพัฒนาตนเอง และการใช้เพื่อความบันเทิง ปัจจุบันสมาคมการแพทย์อเมริกัน (American Medical Association) ไม่แสดงจุดยืนอย่างเป็นทางการต่อการใช้การสะกดจิตทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยโดยสภาสุขภาพจิตจากสมาคมการแพทย์อเมริกัน ซึ่งตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1958 พบว่าการสะกดจิตมีประสิทธิภาพด้านการรักษา
การสะกดจิตถูกใช้เป็นแนวทางเสริมของการบำบัดด้วยการรู้ ตั้งแต่ ค.ศ. 1949 การสะกดจิตถูกให้ความหมายโดยเปรียบเทียบกับการวางเงื่อนไขแบบดั้งเดิม โดยคำพูดของนักบำบัดเหมือนกับสิ่งเร้าและการถูกสะกดจิตเป็นการตอบสนองที่มีเงื่อนไข วิธีการบำบัดด้วยการรู้แบบดั้งเดิมบางแบบตั้งอยู่บนฐานของการวางเงื่อนไขแบบดั้งเดิม โดยมักประกอบด้วยการชักนำเข้าสู่สภาวะผ่อนคลาย ตามด้วยการเสนอสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดความกลัว วิธีหนึ่งในการชักนำเข้าสู่สภาวะผ่อนคลายคือการสะกดจิต
การสะกดจิตยังถูกใช้ในการสืบสวน, กีฬา, การศึกษา, กายภาพบําบัด และการฟื้นฟูสมรรถภาพ การสะกดจิตยังถูกใช้โดยศิลปินเพื่อเพิ่มความสร้างสรรค์ อ็องเดร บรีตัน (André Breton) ผู้โด่งดังที่สุดในวงการลัทธิเหนือจริง ใช้การสะกดจิต, การเขียนอัตโนมัติ (automatic writing) และแบบร่างเพื่อความสร้างสรรค์ วิธีการสะกดจิตถูกใช้เพื่อให้คนไข้กลับไปรู้สึกเหมือนอยู่ภายใต้ผลของยาอีกครั้ง หรือประสบสิ่งลี้ลับ การสะกดจิตตนเองนิยมใช้เพื่อเลิกบุหรี่, คลายความเครียดหรือความกังวล, ช่วยลดน้ำหนัก และช่วยให้นอนหลับ การสะกดจิตแบบการแสดงสามารถชักชวนให้คนแสดงสิ่งแปลก ๆ ในสาธารณะ
บางคนมองว่าการสะกดจิตมีส่วนคล้ายกับจิตวิทยาฝูงชน, โรคฮิสทีเรียทางศาสนา และการอยู่ในภวังค์ขณะประกอบพิธีกรรมของชนเผ่าในวัฒนธรรมสมัยก่อนรู้หนังสือ
การสะกดจิตบำบัด
การสะกดจิตบำบัดเป็นการใช้การสะกดจิตในจิตบำบัด แพทย์และนักจิตวิทยาอาจใช้การสะกดจิตเพื่อรักษาโรคซึมเศร้า, โรควิตกกังวล, โรคพฤติกรรมการกินผิดปกติ, ความผิดปกติด้านการนอน, การเสพติดการพนัน และความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ ส่วนนักจิตบำบัดที่ได้รับการรับรองซึ่งไม่ใช่แพทย์หรือจิตแพทย์มักรักษาอาการติดบุหรี่และช่วยในการคุมน้ำหนัก
การสะกดจิตบำบัดยังสามารถใช้รักษาโรคทางจิตควบคู่กับการบำบัดซึ่งผ่านการพิสูจน์แล้วอย่างการบำบัดทางความคิด (cognitive therapy) การสะกดจิตบำบัดไม่ควรถูกใช้เพื่อซ่อมแซมหรือฟื้นฟูความทรงจำ เพราะมักทำให้ความทรงจำชัดเจนขึ้นและเพิ่มความมั่นใจในความทรงจำเท็จ
งานวิจัยขั้นต้นแสดงว่าการสะกดจิตระยะเวลาสั้น ๆ อาจมีประโยชน์ต่อผู้ป่วย HIV-DSP ด้วยความที่สามารถใช้ควบคุมความเจ็บปวด, ความได้ผลระยะยาวหลังการแซกแซงระยะสั้น, ความที่ผู้ป่วยสามารถสะกดจิตตนเองได้, ค่าใช้จ่ายไม่สูง และมีข้อดีที่ไม่ต้องใช้ยา
การสะกดจิตบำบัดสมัยใหม่ถูกใช้ในหลายรูปแบบ โดยให้ผลสำเร็จต่างกันไป เช่น:
- การสะกดจิตบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (cognitive-behavioural hypnotherapy) หรือการสะกดจิตทางการแพทย์ซึ่งรวมกับส่วนปนะกอบของการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม
- การสะกดจิตย้อนอดีต (Age regression hypnotherapy หรือ hypnoanalysis)
- การสะกดจิตบำบัดแบบเอริกสัน (Ericksonian hypnotherapy)
- ความกลัวและโรคกลัว
- การเสพติด
- การควบคุมนิสัย
- การควบคุมเจ็บปวด
- จิตบำบัด
- ผ่อนคลาย
- ลดพฤติกรรมบางอย่างของผู้ป่วย (เช่น การเกา) ที่อาจขัดขวางการรักษาโรคผิวหนัง
- การทำให้คนไข้ที่กำลังจะผ่าตัดสงบลง
- สมรรถภาพกีฬา
- การลดน้ำหนัก
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2001 เดียร์เดร บาเรต (Deirdre Barrett) นักจิตวิทยาจากมหาลัยฮาร์วาร์ดเขียนบนบทความจากวารสาร Psychology Today ว่า:
การอยู่ในภวังค์ขณะถูกสะกดจิตไม่อาจรักษาโรคได้ในตัวเอง ทว่าการชักจูงอย่างเฉพาะเจาะจงและรูปภาพที่ถูกป้อนให้ผู้รับสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้รับได้อย่างลึกซึ้ง ขณะพวกเขาซ้อมรูปแบบใหม่ที่พวกเขาอยากจะคิดและรู้สึก พวกเขาสร้างรากฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่กำลังจะทำในอนาคต...
บาเรตบรรยายถึงวิธีเฉพาะที่สิ่งนี้ถูกดำเนินการสำหรับการเปลี่ยนนิสัยและเยียวยาโรคกลัว ในหนังสือเกี่ยวกับกรณีศึกษาการสะกดจิตบำบัด ค.ศ. 1998 เธอเขียนสรุปงานวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับการสะกดจิตและโรคดิสโซสิเอทีฟ, การเลิกบุหรี่ และอากการนอนไม่หลับ โดยบรรยายถึงความสำเร็จของการรักษา
โรคลำไส้แปรปรวน
มีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้การสะกดจิตบำบัดเพื่อรักษาโรคลำไส้แปรปรวน (IBS) การสะกดจิตเพื่อรักษาโรคลำไส้แปรปรวนได้รับการสนับสนุนระดับกลางจากคำแนะนำของสถาบันสุขภาพแห่งชาติและความเป็นเลิศทางคลินิก (National Institute for Health and Clinical Excellence) ซึ่งถูกแผยแพร่เพื่อการบริการสุขภาพที่สหราชอาณาจักร การสะกดจิตบำบัดถูกใช้เพื่อช่วยเหลือหรือเป็นทางเลือกของยาสลบจากสารเคมี
การควบคุมความเจ็บปวด
หลายงานวิจัยแสดงว่าการสะกดจิตสามารถลดความเจ็บปวดที่รู้สึกระหว่างการการตัดเนื้อตายออกจากแผลไฟไหม้ การเจาะเก็บไขกระดูก และการคลอด วารสาร International Journal of Clinical and Experimental Hypnosis พบว่าการสะกดจิตลดความเจ็บปวดในร้อยละ 75 ของผู้รับการทดลองทั้งหมด 933 คนใน 27 การทดลอง
การสะกดจิตส่งผลในการลดความเจ็บปวดจากมะเร็งและจากการรับมือกับมะเร็ง และโรคเรื้อรังอื่น ๆ การสะกดจิตยังอาจช่วยควบคุมอาการคลื่นไส้และอาการอื่นซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ บางคนอ้างว่าการสะกดจิตอาจช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยโรคมะเร็งแข็งแรงขึ้น American Cancer Society กล่าวว่า "หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีตอนนี้ไม่สนับสนุนความคิดที่ว่าการสะกดจิตสามารถส่งผลกระทบต่อการพัฒนาหรือการรุกรามของมะเร็ง"
การสะกดจิตถูกใช้เพื่อลดความเจ็บปวดระหว่างการผ่าตัดทางทันตกรรม นักวิจัยรายงานว่าการสะกดจิตสามารถช่วยแม้กระทั่งผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บในช่องปากและฟัน นอกจากนี้ Meyerson และ Uziel ยังเสนอว่าวิธีการสะกดจิตสามารถช่วยลดความกังวลของผู้ป่วยเป็นโรคกลัวการทำฟันอย่างรุนแรง
สำหรับนักจิตวิทยาบางคนที่เชื่อในทฤษฎีเปลี่ยนแปลงสภาพของการสะกดจิต การบรรเทาความเจ็บปวดโดยการสะกดจิตเป็นผลของการประมวลผลแบบคู่ของสมอง โดยการตั้งความสนใจหรือละความสนใจจากสิ่งหนึ่ง
สมาคมนักจิตวิทยาอเมริกันแผยแพร่งานวิจัยเปรียบเทียบผลของการสะกดจิต, การชักจูงธรรมดา และยาหลอกในการลดความเจ็บปวด โดยพบว่าคนที่ถูกชักจูงง่ายรู้สึกว่ามีการลดลงของความเจ็บปวดมากกว่าหลังถูกสะกดจิตเมื่อเทียบกับยาหลอก ส่วนคนที่ถูกชักจูงยากกว่าไม่รู้สึกว่ามีความแตกต่างระหว่างการสะกดจิตและยาหลอก การชักจูงธรรมดาก็ลดความเจ็บปวดเช่นกันเมื่อเทียบกับยาหลอก โดยได้ผลกับคนจำนวนมากกว่าทั้งที่ถูกชักจูงง่ายและยากเมื่อเทียบกับการสะกดจิต ผลการทดลองแสดงว่าการบรรเทาความเจ็บปวดเป็นผลจากการชักจูงไม่ว่าจะเป็นด้วยการสะกดจิตหรือไม่
ทหาร
ใน ค.ศ. 2006 เอกสารลับจาก ค.ศ. 1966 ที่ถูกเปิดเผยแสดงว่าการสะกดจิตถูกศึกษาเพื่อการประยุกต์ใช้ทางทหาร เอกสารฉบับเต็มสำรวจเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการใช้แบบควบคุม ข้อสรุปโดยรวมของการวิจัยกล่าวว่าไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าการสะกดจิตสามารถใช้เพื่อการทหาร และไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า "การสะกดจิต" เป็นปรากฏการณ์ที่ให้ความหมายเหนือไปกว่าการชักจูงธรรมดา, แรงจูงใจ และการคาดหวังของผู้ถูกทดลอง
การสะกดจิตตนเอง
การสะกดจิตตนเองเกิดขึ้นเมื่อคนสะกดจิตตนเอง โดยมักใช้วิธีการแนะนำใจตัวเอง (autosuggestion) เทคนิคมักถูกใช้เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการลดน้ำหนัก เลิกบุหรี่ หรือคลายความเครียด บางทีคนที่สะกดจิตตนเองอาจต้องการความช่วยเหลือ บางคนใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า มายด์แมชีน (mind machine) เข้าช่วย หรือบางคนอาจใช้การบันทึกเสียงสะกดจิต การสะกดจิตตนเองอาจช่วยลดอาการตื่นเวที ช่วยให้ผ่อนคลาย และช่วยในความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย
การสะกดจิตแบบการแสดง
การแสดงการสะกดจิตเป็นรูปแบบหนึ่งของการให้ความบันเทิง โดยมักแสดงให้ผู้ชมดูในคลับหรือโรงละคร ผลของการแสดงจากนักสะกดจิตทำให้หลายคนเชื่อว่าการสะกดจิตเป็นการควบคุมจิตใจรูปแบบหนึ่ง การแสดงการสะกดจิตมักพยายามสะกดจิตผู้ชมทั้งหมด จากนั้นจึงเลือกคนที่อยู่ "ภายใต้" การสะกดจิตให้ขึ้นมาบนเวทีเพื่อแสดงสิ่งน่าอายต่าง ๆ ให้ผู้ชมที่เหลือดู อย่างไรก็ตาม ผลของการแสดงการสะกดจิตน่าจะประกอบจากปัจจัยทางจิตวิทยา, การคัดเลือกผู้เข้าร่วม, การชักจูง, การจัดฉาก และการใช้กลอุบาย ความต้องการที่จะเป็นศูนย์รวมความสนใจ, การมีข้ออ้างที่จะเอาชนะความกลัวของตน และความกดดันที่ต้องทำให้คนอื่นพอใจ อาจเป็นเหตุที่ทำให้ผู้ร่วมแสดง "ตามน้ำ"
อาชญากรรม
หลายคนถูกตั้งข้อสงสัยหรือกล่าวหาว่าประกอบอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการสะกดจิต รวมถึงการขโมยและการทารุณกรรมทางเพศ
ใน ค.ศ. 2011 นักสะกดจิตชั่วชาวรัสเซียถูกต้องสงสัยว่าใช้กลอุบายหลอกลวงให้ลูกค้าธนาคารในเมืองสตัฟโรปอลแจกเงินสดหลายพันปอนด์ ตำรวจท้องถิ่นกล่าวว่าเขาจะเข้าหาพวกลูกค้าและทำให้พวกเขาถอนเงินทั้งหมดจากบัญชีธนาคารมาให้เขา เหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นที่เมืองลอนดอนใน ค.ศ. 2014 ซึ่งเทปวีดีโอแสดงคล้ายขโมยได้สะกดจิตเจ้าของร้านก่อนจะทำการปล้น เหยื่อไม่ได้ทำอะไรเพื่อหยุดขณะหัวขโมยค้นกระเป๋าสตางค์ของเขาเพื่อขโมยเงินสด และเพียงกล่าวถึงขโมยหลังเขาได้หนีไปแล้ว
ใน ค.ศ. 2013 Timothy Porter ซึ่งขณะนั้นเป็นนักสะกดจิตมือใหม่อายุ 40 ปี พยายามล่วงละเมิดทางเพศลูกค้าสาวที่พยายามลดน้ำหนัก เธอรายงานว่าตื่นขึ้นมาจากภวังค์และพบเขาอยู่ข้างหลังเธอโดยไม่ใส่กางเกง และบอกให้เธอช่วยตัวเอง ต่อมาเขาถูกฟ้องในศาลในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ ใน ค.ศ. 2015 Gary Naraido ซึ่งขณะนั้นอายุ 52 ปี ถูกตัดสินให้ติดคุก 10 ปี จากคดีทารุณกรรมทางเพศที่เกี่ยวข้องกับการสะกดจิตหลายคดี นอกจากคดีหลักที่เขาได้กระทำการทารุณกรรมทางเพศต่อหญิงอายุ 22 ปี โดยการหลอกว่าจะทำการบำบัดให้ฟรีในโรงแรม เขายังยอมรับว่าเคยล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงอายุ 14 ปี
บรรณานุกรม
- Baudouin, C. (Paul, E & Paul, C. trans.), Suggestion and Autosuggestion: A Psychological and Pedagogical Study Based on the Investigations made by the New Nancy School, George Allen & Unwin, (London), 1920.
- Braid, J. (1843). Neurypnology or The rationale of nervous sleep considered in relation with animal magnetism. London.: John Churchill.
- Blackwell, Willey (2015). The Handbook of Contemporary Clinical Hypnosis: Theory and Practice. ISBN 978-1-119-05727-7.
- Gibson, H.B. (1991). Hypnosis in Therapy. ISBN 978-0-86377-155-2.
- Glueck, B., "New Nancy School", The Psychoanalytic Review, Vol.10, (January 1923), pp. 109–112.
- Harte, R., Hypnotism and the Doctors, Volume I: Animal Magnetism: Mesmer/De Puysegur, L.N. Fowler & Co., (London), 1902.
- Harte, R., Hypnotism and the Doctors, Volume II: The Second Commission; Dupotet And Lafontaine; The English School; Braid's Hypnotism; Statuvolism; Pathetism; Electro-Biology, L.N. Fowler & Co., (London), 1903.
- Lynn, Steven (1991). Theories of Hypnosis: Current Models and Perspectives. ISBN 978-0-89862-343-7.
- Yeates, L.B., James Braid: Surgeon, Gentleman Scientist, and Hypnotist, Ph.D. Dissertation, School of History and Philosophy of Science, Faculty of Arts & Social Sciences, University of New South Wales, January 2013.
- Yeates, Lindsay B. (2016a), "Émile Coué and his Method (I): The Chemist of Thought and Human Action", Australian Journal of Clinical Hypnotherapy & Hypnosis, Volume 38, No.1, (Autumn 2016), pp. 3–27. [2]
- Yeates, Lindsay B. (2016b), "Émile Coué and his Method (II): Hypnotism, Suggestion, Ego-Strengthening, and Autosuggestion", Australian Journal of Clinical Hypnotherapy & Hypnosis, Volume 38, No.1, (Autumn 2016), pp. 28–54. [3]
- Yeates, Lindsay B. (2016c), "Émile Coué and his Method (III): Every Day in Every Way", Australian Journal of Clinical Hypnotherapy & Hypnosis, Volume 38, No.1, (Autumn 2016), pp. 55–79. [4]
แหล่งข้อมูลอื่น
- วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ Hypnosis