Мы используем файлы cookie.
Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.

ความดันโลหิตสูง

Подписчиков: 0, рейтинг: 0

โรคความดันโลหิตสูง
(Hypertension)
ชื่ออื่น Arterial hypertension, high blood pressure
Grade 1 hypertension.jpg
มาตรความดันเลือดอัตโนมัติ แสดงผลความดันโลหิตสูง (แสดงความดันช่วงหัวใจบีบ 158 มิลลิเมตรปรอท ความดันช่วงหัวใจคลาย 99 มิลลิเมตรปรอท และอัตราหัวใจเต้น 80 ครั้งต่อนาที)
สาขาวิชา หทัยวิทยา
อาการ ไม่มีอาการ
ภาวะแทรกซ้อน โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน, หัวใจวาย, โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย, ตาบอด, โรคไต, สมองเสื่อม
สาเหตุ โดยปกติตามการดำเนินชีวิตและปัจจัยทางพันธุกรรม
ปัจจัยเสี่ยง อดนอน, ได้รับเกลือมากเกินไป, น้ำหนักตัวเกิน, การสูบบุหรี่, แอลกอฮอล์, มลพิษทางอากาศ
วิธีวินิจฉัย วัดความดันโลหิตขณะพักได้มากกว่า 130/80 หรือ 140/90 มิลลิเมตรปรอท
การรักษา เปลี่ยนการดำเนินชีวิต, การใช้ยา
ความชุก 16–37% ทั่วโลก
การเสียชีวิต 9.4 ล้าน / 18% (2010)

โรคความดันโลหิตสูง (อังกฤษ: hypertension) เป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยมีความดันเลือดในหลอดเลือดแดงสูงกว่าปกติตลอดเวลา ความดันเลือดประกอบด้วยสองค่า ได้แก่ ความดันช่วงหัวใจบีบและความดันช่วงหัวใจคลาย ซึ่งเป็นความดันสูงสุดและต่ำสุดในระบบหลอดเลือดแดงตามลำดับ ความดันช่วงหัวใจบีบเกิดเมื่อหัวใจห้องล่างซ้ายบีบตัวมากที่สุด ความดันช่วงหัวใจคลายเกิดเมื่อหัวใจห้องล่างซ้ายคลายตัวมากที่สุดก่อนการบีบตัวครั้งถัดไป ความดันเลือดปกติขณะพักอยู่ในช่วง 100–140 มิลลิเมตรปรอทในช่วงหัวใจบีบ และ 60–90 มิลลิเมตรปรอทในช่วงหัวใจคลาย ความดันโลหิตสูงหมายถึง ความดันเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอทตลอดเวลา ส่วนในเด็กจะใช้ตัวเลขต่างไป

ปกติความดันโลหิตสูงไม่ก่อให้เกิดอาการในทีแรก แต่ความดันโลหิตสูงต่อเนื่องเมื่อผ่านไปเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจเหตุความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ท่อเลือดแดงโป่งพอง โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย โรคไตเรื้อรัง และภาวะสมองเสื่อม

ความดันโลหิตสูงแบ่งออกเป็นความดันโลหิตสูงปฐมภูมิ (ไม่ทราบสาเหตุ) และความดันโลหิตสูงแบบทุติยภูมิ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ราวร้อยละ 90–95 จัดเป็นความดันโลหิตสูงปฐมภูมิ หมายถึงมีความดันโลหิตสูงโดยไม่มีเหตุพื้นเดิมชัดเจน ที่เหลืออีกร้อยละ 5–10 จัดเป็นความดันโลหิตสูงแบบทุติยภูมิมักมีสาเหตุที่สามารถบอกได้ เช่น โรคไตเรื้อรัง ท่อเลือดแดงหรือหลอดเลือดแดงไตตีบแคบ หรือโรคของต่อมไร้ท่อ เช่น แอลโดสเตอโรน คอร์ติซอลหรือแคทิโคลามีนเกิน

อาหารและการเปลี่ยนวิถีชีวิตสามารถช่วยควบคุมความดันเลือดและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่อสุขภาพ แม้การรักษาด้วยยายังมักจำเป็นในผู้ที่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตยังไม่พอหรือไม่ได้ผล การรักษาความดันในหลอดเลือดแดงสูงปานกลาง (นิยามเป็น >160/100 มิลลิเมตรปรอท) ด้วยยาสัมพันธ์กับการคาดหมายคงชีพที่เพิ่มขึ้น ประโยชน์ของการรักษาความดันเลือดระหว่าง 140/90 ถึง 160/100 มิลลิเมตรปรอทไม่ค่อยชัดเจน บางบทปริทัศน์ว่าไม่มีประโยชน์ แต่บ้างก็ว่ามี

อาการและอาการแสดง

ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงมักไม่มีอาการใด ๆ ส่วนใหญ่มักตรวจพบจากการตรวจคัดโรค หรือเมื่อมาพบแพทย์ด้วยปัญหาอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น ตรวจโรคทั่วไป ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจำนวนหนึ่งมักบอกว่ามีอาการปวดศีรษะโดยเฉพาะบริเวณท้ายทอยในช่วงเช้า เวียนศีรษะ รู้สึกหมุน มีเสียงหึ่ง ๆ ในหู หน้ามืดหรือเป็นลม อย่างไรก็ตามอาการดังกล่าวอาจสัมพันธ์กับความวิตกกังวลมากกว่าจากความดันเลือดสูงเอง

ในการตรวจร่างกาย ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงอาจสัมพันธ์กับการมีการเปลี่ยนแปลงในก้นตาเห็นได้จากการส่องตรวจในตา (ophthalmoscopy) ความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงที่ตรงแบบของโรคจอตาเหตุความดันโลหิตสูงมีการแบ่งเกรดตั้งแต่ 1–4 เกรด 1 และ 2 อาจแยกได้ยาก ความรุนแรงของโรคจอตาสัมพันธ์อย่างหยาบ ๆ กับระยะเวลาและ/หรือความรุนแรงของความดันโลหิตสูง

ความดันโลหิตสูงแบบทุติยภูมิ

สาเหตุของความดันโลหิตสูงแบบทุติยภูมิ
ไต โรคเนื้อไต, ถุงน้ำของไต (รวม ถุงน้ำจำนวนมากของไต), เนื้องอกของไต (รวม เนื้องอกที่หลั่งเรนิน), โรคทางเดินปัสสาวะจากการอุดกั้น
หลอดเลือดไต หลอดเลือดแดงฝอยแข็ง, การเจริญผิดปกติของเส้นใยกล้ามเนื้อของหลอดเลือดแดง
ต่อมหมวกไต ภาวะอัลโดสเตอโรนสูงแบบปฐมภูมิ, กลุ่มอาการคุชชิง, ขาดเอนไซม์ 17 อัลฟา-ไฮดร็อกซิเลส, ขาดเอนไซม์ 11 เบตา-ไฮดร็อกซิเลส, ขาดเอนไซม์ 11-ไฮดร็อกซีสเตียรอยด์ ดีไฮโดรจีเนส, ฟีโอโครโมไซโตมา
ท่อเลือดแดงแคบ
อาการหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดตัน
ระหว่างตั้งครรภ์ โรคพิษแห่งครรภ์ระยะก่อนชัก/โรคพิษแห่งครรภ์ระยะชัก
ระบบประสาท เกิดจากจิตใจ, กลุ่มอาการไดเอนเซฟาลิก, ประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติที่เป็นกันในครอบครัว, เส้นประสาทอักเสบหลายเส้น (พอร์ไฟเรียเฉียบพลัน, ภาวะพิษตะกั่ว), ความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้นเฉียบพลัน, ไขสันหลังถูกตัดขาดเฉียบพลัน
ต่อมไร้ท่ออื่น ๆ ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย, ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน, แคลเซียมในเลือดสูง, สภาพโตเกินไม่สมส่วน
ยา เอสโตรเจนขนาดสูง, สเตอรอยด์, ยาแก้คัดจมูก, ยากดความอยากอาหาร, ไซโคลสปอริน, ยาแก้ซึมเศร้าชนิดไตรไซคลิก, สารยับยั้งโมโนเอมีนออกซิเดส, อีริโทรพอยอิติน, ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์, โคเคน
โรคถ่ายทอดทางพันธุกรรมอื่น ๆ
ดัดแปลงจาก Harrison's principles of internal medicine

ความดันโลหิตสูงแบบทุติยภูมิ หมายถึงความดันโลหิตสูงที่สามารถระบุสาเหตุที่ทำให้เกิดได้ เช่น โรคไตหรือโรคต่อมไร้ท่อ ผู้ป่วยจะมีอาการและอาการแสดงบางอย่างที่บ่งบอกว่าเป็นความดันโลหิตสูงแบบทุติยภูมิ เช่น สงสัยกลุ่มอาการคุชชิง (Cushing's syndrome) หากมีอาการอ้วนเฉพาะลำตัวแต่แขนขาลีบ (truncal obesity) ความไม่ทนกลูโคส (glucose intolerance) หน้าบวมกลม (moon facies) ไขมันสะสมเป็นหนอกที่หลังและคอ (buffalo hump) และริ้วลายสีม่วงที่ท้อง (purple striae)ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกินมักเป็นสาเหตุของน้ำหนักลดแต่มีความอยากอาหารเพิ่ม อัตราหัวใจเต้นเร็ว ตาโปนและอาการสั่น หลอดเลือดแดงไตตีบ (RAS) อาจสัมพันธ์กับเสียงบรุยต์ (bruit) ที่ท้องเฉพาะที่ด้านซ้ายหรือขวาของแนวกลาง (RAS ข้างเดียว) หรือทั้งสองตำแหน่ง (RAS สองข้าง) ท่อเลือดแดงแคบ (aortic coarctation) บ่อยครั้งก่อให้เกิดความดันเลือดลดลงในขาเมื่อเทียบกับแขนและ/หรือไม่มีชีพจรหลอดเลือดแดงต้นขาหรือมีแต่ช้า ฟีโอโครโมไซโตมา (pheochromocytoma) อาจเป็นสาเหตุของช่วงความดันโลหิตสูงเฉียบพพลันร่วมกับปวดศีรษะ ใจสั่น ดูซีดและมีเหงื่อออกมาก

ความดันโลหิตสูงวิกฤต

ดูบทความหลักที่: ความดันโลหิตสูงวิกฤต

ภาวะที่ความดันเลือดขึ้นสูงมาก(hypertensive crisis) ซึ่งที่ระดับความดันเลือดดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ผู้ป่วยที่ความดันโลหิตสูงระดับนี้อาจไม่มีอาการ หรือมีรายงานว่าปวดศีรษะ (ราวร้อยละ 22) และเวียนศีรษะมากกว่าประชากรทั่วไป อาการอื่น ๆ ที่เกิดร่วมกับภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต เช่น ตาพร่า มองภาพไม่ชัด หรือหายใจเหนื่อยหอบจากหัวใจล้มเหลว หรือรู้สึกไม่สบายตัวเนื่องจากไตวาย ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงวิกฤตส่วนใหญ่ทราบอยู่แล้วว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง แต่มีสิ่งกระตุ้นเข้ามาทำให้ความดันเลือดสูงขึ้นทันที ความดันโลหิตสูงวิกฤตแบ่งออกได้เป็นสองประเภท คือ ความดันโลหิตสูงฉุกเฉิน (hypertensive emergency) และความดันโลหิตสูงเร่งด่วน (hypertensive urgency) ซึ่งต่างกันตรงที่มีอาการแสดงของอวัยวะถูกทำลายหรือไม่

ความดันโลหิตสูงฉุกเฉิน (hypertensive emergency) เป็นภาวะที่วินิจฉัยเมื่อมีความดันโลหิตสูงอย่างรุนแรงจนอวัยวะตั้งแต่ 1 อย่างขึ้นไปถูกทำลาย ตัวอย่างเช่น โรคสมองจากความดันโลหิตสูง (hypertensive encephalopathy) เกิดจากสมองบวมและเสียการทำงาน จะมีอาการปวดศีรษะและระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง เช่น ซึม สับสน อาการแสดงของอวัยวะเป้าหมายถูกทำลายที่ตา ได้แก่ จานประสาทตาบวม (papilloedema) และ/หรือมีเลือดออกและของเหลวซึมที่ก้นตา อาการเจ็บหน้าอกอาจแสดงถึงกล้ามเนื้อหัวใจเสียหายซึ่งอาจดำเนินต่อไปเป็นกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือเกิดการฉีกเซาะของผนังหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตา อาการหายใจลำบาก ไอ เสมหะมีเลือดปนเป็นอาการแสดงของปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) เนื่องจากหัวใจห้องล่างซ้ายล้มเหลว กล่าวคือหัวใจห้องล่างซ้ายไม่สามารถสูบฉีดเลือดจากปอดไปยังระบบหลอดเลือดแดงได้เพียงพอ อาจเกิดไตเสียหายเฉียบพลัน และโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตกชนิดไมโครแองจีโอพาติก (การทำลายเม็ดเลือดแดงชนิดหนึ่ง) เมื่อเกิดภาวะนี้จำเป็นต้องรีบลดความดันโลหิตเพื่อหยุดยั้งความเสียหายของอวัยวะเป้าหมาย

ในทางตรงข้ามหากผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูงกว่า 180/100 มิลลิเมตรปรอทแต่ไม่พบความเสียหายของอวัยวะเป้าหมายจะเรียกภาวะนี้ว่า ความดันโลหิตสูงเร่งด่วน (hypertensive urgency) ยังไม่มีหลักฐานยืนยันถึงความจำเป็นต้องรีบลดความดันโลหิตในผู้ป่วยกลุ่มนี้หากไม่มีการทำลายอวัยวะ และการลดความดันโลหิตอย่างรวดเร็วก็ไม่ได้ปราศจากความเสี่ยง ในภาวะนี้สามารถค่อย ๆ ลดความดันโลหิตลงด้วยยาลดความดันชนิดรับประทานให้กลับสู่ระดับปกติใน 24 ถึง 48 ชั่วโมง

ในสตรีตั้งครรภ์

สตรีตั้งครรภ์มีภาวะความดันโลหิตสูงราวร้อยละ 8-10 หญิงที่มีความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มักเป็นความดันโลหิตสูงปฐมภูมิอยู่ก่อนแล้ว ความดันโลหิตสูงในระหว่างตั้งครรภ์อาจเป็นอาการแสดงแรกของโรคพิษแห่งครรภ์ระยะก่อนชัก (pre-eclampsia) ซึ่งเป็นภาวะทางสูติศาสตร์ที่ร้ายแรง เกิดในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์และระยะหลังคลอด โรคพิษแห่งครรภ์ระยะก่อนชักเป็นภาวะที่มีความดันโลหิตสูงและมีโปรตีนในปัสสาวะ พบราวร้อยละ 5 ของการตั้งครรภ์ และเป็นสาเหตุราวร้อยละ 16 ของการเสียชีวิตของมารดาทั่วโลก โรคพิษแห่งครรภ์ระยะก่อนชักเพิ่มความเสี่ยงของการตายปริกำเนิดเป็นสองเท่า โดยทั่วไปแล้วโรคนี้ไม่มีอาการและตรวจพบได้จากการฝากครรภ์เป็นประจำ อาการของโรคนี้ที่พบได้บ่อยคือปวดศีรษะ ตาพร่ามัว (มักเห็นแสงวูบวาบ) ปวดจุกแน่นลิ้นปี่ และบวม โรคพิษแห่งครรภ์ระยะก่อนชักบางครั้งจะดำเนินต่อไปเป็นโรคร้ายแรงถึงแก่ชีวิตเรียกว่าโรคพิษแห่งครรภ์ระยะชัก (eclampsia) ซึ่งมีภาวะความดันโลหิตสูงฉุกเฉินร่วมกับภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหลายอย่างเช่นมองภาพไม่เห็น สมองบวม ชัก ไตวาย ปอดบวมน้ำ และมีภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย (disseminated intravascular coagulation; ความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือดอย่างหนึ่ง)

ในทารกและเด็ก

ความดันโลหิตสูงในทารกแรกเกิดและทารกอาจมาด้วยเลี้ยงไม่โต ชัก งอแงร้องกวน ง่วงซึม และหายใจลำบาก ความดันโลหิตสูงในเด็กอาจทำให้ปวดศีรษะ อ่อนล้า เลี้ยงไม่โต มองภาพไม่ชัด เลือดกำเดาออก และใบหน้าเป็นอัมพาต

สาเหตุ

ความดันโลหิตสูงแบบปฐมภูมิ

ความดันโลหิตสูงแบบปฐมภูมิ (primary hypertension) หรือความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุ (essential hypertension) เป็นความดันโลหิตสูงชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด ประมาณร้อยละ 90-95 ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงทั้งหมด ความดันโลหิตสูงเป็นผลจากความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม มีการศึกษาพบยีนหลายชนิดที่มีผลเล็กน้อยต่อความดันโลหิต และมียีนจำนวนน้อยมากที่มีผลอย่างมากต่อความดันโลหิต แต่สุดท้ายปัจจัยด้านพันธุกรรมต่อความดันโลหิตสูงยังไม่เป็นที่เข้าใจกันมากนักในปัจจุบัน

ความดันเลือดเพิ่มขึ้นตามอายุ และความเสี่ยงของการเป็นความดันโลหิตสูงในวัยสูงอายุนั้นสูง ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมหลายอย่างที่มีผลต่อความดันเลือด ความเครียดอาจมีผลต่อความดันเลือดเล็กน้อย ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อความดันโลหิตสูงแต่ยังไม่ชัดเจน ได้แก่ การบริโภคคาเฟอีน และการขาดวิตามินดี เชื่อกันว่าภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance) ซึ่งพบได้บ่อยในคนอ้วนและเป็นองค์ประกอบของกลุ่มอาการเมแทบอลิก (metabolic syndrome) เป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง การศึกษาเร็ว ๆ นี้พบนัยยะว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นของชีวิต เช่น น้ำหนักแรกเกิดน้อย มารดาสูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์ และการไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงของความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุในผู้ใหญ่ แต่ทั้งนี้การอธิบายกลไกดังกล่าวยังคลุมเครือ

ความดันโลหิตสูงแบบทุติยภูมิ

ความดันโลหิตสูงแบบทุติยภูมิมีสาเหตุที่สามารถระบุได้ (ดูตาราง — สาเหตุของความดันโลหิตสูงแบบทุติยภูมิ) โรคไตเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงแบบทุติยภูมิ ความดันโลหิตสูงยังอาจเกิดจากโรคต่อมไร้ท่อต่างๆ เช่น กลุ่มอาการคุชชิง ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย สภาพโตเกินไม่สมส่วน กลุ่มอาการคอนน์ (Conn's syndrome) หรือภาวะอัลโดสเตอโรนสูง ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกิน และฟีโอโครโมไซโตมา สาเหตุอื่น ๆ ของความดันโลหิตสูงแบบทุติยภูมิเช่น โรคอ้วน อาการหยุดหายใจขณะหลับ การตั้งครรภ์ หลอดเลือดเอออร์ตาแคบ (coarctation of the aorta) ยาบางชนิดและสมุนไพร เช่นการบริโภคชะเอมเทศมากเกิน และยาเสพติดบางชนิด

พยาธิสรีรวิทยา

แผนภาพแสดงปัจจัยที่มีผลต่อความดันเลือด

ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุจะมีความต้านทานการไหลของเลือดในร่างกาย (หรือเรียกว่าแรงต้านส่วนปลายทั้งหมด; total peripheral resistance) สูงขึ้นทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น ในขณะที่ปริมาตรเลือดส่งออกจากหัวใจต่อนาที (cardiac output) ยังปกติ มีหลักฐานอธิบายสาเหตุว่าในผู้ที่อายุน้อยบางคนที่มีภาวะก่อนความดันโลหิตสูง (prehypertension) มีปริมาตรเลือดส่งออกจากหัวใจต่อนาทีสูง อัตราหัวใจเต้นสูงขึ้น และแรงต้านส่วนปลายทั้งหมดยังปกติ ซึ่งเรียกว่าภาวะ "hyperkinetic borderline hypertension" เมื่อคนเหล่านี้อายุมากขึ้น ปริมาตรเลือดส่งออกจากหัวใจต่อนาทีจะลดลง และแรงต้านส่วนปลายทั้งหมดเพิ่มขึ้นตามอายุ ซึ่งเป็นลักษณะตรงตามแบบของความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุดังที่กล่าวข้างต้น แต่กลไกดังกล่าวยังเป็นที่ถกเถียงกันหากจะใช้อธิบายรูปแบบการเกิดความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยทุกราย

กลไกของแรงต้านหลอดเลือดส่วนปลายเพิ่มขึ้นที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ส่วนใหญ่เกิดจากการตีบแคบลงของหลอดเลือดแดงขนาดเล็กและหลอดเลือดแดงจิ๋ว (arteriole) และอาจมีส่วนจากการลดจำนวนและความหนาแน่นของหลอดเลือดฝอยด้วย ความดันโลหิตสูงยังทำให้ความยืดหยุ่นตาม (compliance) ของหลอดเลือดดำลดลง ซึ่งทำให้เลือดไหลจากหลอดเลือดดำกลับหัวใจมากขึ้น จนเพิ่มการทำงานของหัวใจ (ชนิด preload) เป็นเหตุให้เกิดหัวใจวายช่วงหัวใจคลาย (diastolic dysfunction) ขึ้นในที่สุด แต่ถึงกระนั้นบทบาทของการบีบเส้นเลือดเพิ่มขึ้นมีผลทำให้เกิดความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุหรือไม่ก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจน

ความดันชีพจร (pulse pressure; ผลต่างความดันช่วงหัวใจบีบและคลาย) มักเพิ่มขึ้นในผู้สูงอายุที่มีความดันโลหิตสูง หมายความว่าความดันช่วงหัวใจบีบสูงขึ้นอย่างผิดปกติแต่ความดันช่วงหัวใจคลายอาจปกติหรือต่ำ เรียกภาวะนี้ว่า ความดันโลหิตเฉพาะช่วงหัวใจบีบสูง (isolated systolic hypertension) ผลจากความดันชีพจรที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวอธิบายจากความแข็งของหลอดเลือดแดง (arterial stiffness) ที่มักสัมพันธ์กับความชราและอาจแย่ลงได้จากภาวะความดันโลหิตสูง

มีกลไกหลายอย่างที่ถูกเสนอขึ้นเพื่ออธิบายการเพิ่มขึ้นของแรงต้านหลอดเลือดส่วนปลายในภาวะความดันโลหิตสูง ที่พบหลักฐานเกี่ยวข้องมากได้แก่

กลไกดังกล่าวเชื่อว่าน่าจะเกิดร่วมกัน และเป็นไปได้ที่ทั้งสองกลไกมีผลร่วมกันในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุส่วนใหญ่ มีการสันนิษฐานว่าการทำงานผิดปกติของเนื้อเยื่อบุโพรงหลอดเลือด (endothelial dysfunction) และการอักเสบของหลอดเลือดอาจมีผลต่อการเพิ่มขึ้นของแรงต้านหลอดเลือดส่วนปลายและความเสียหายของหลอดเลือดในภาวะความดันโลหิตสูง

การวินิจฉัย

การตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยทั่วไป
ระบบ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ไต การตรวจปัสสาวะ, โปรตีนในปัสสาวะ, BUN และ/หรือครีแอทินิน
ต่อมไร้ท่อ โซเดียมในซีรัม, โพแทสเซียมในซีรัม, แคลเซียมในซีรัม, TSH
เมแทบอลิซึม น้ำตาลในเลือดหลังงดอาหาร, HDL, LDL, และคอเลสเตอรอลทั้งหมด, ไตรกลีเซอไรด์
อื่น ๆ ฮีมาโทคริต, การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ, และการถ่ายภาพรังสีทรวงอก
ที่มา: Harrison's principles of internal medicine และแหล่งอื่น ๆ

การวินิจฉัยความดันโลหิตสูงต้องมีภาวะที่ความดันเลือดสูงอย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไปต้องวัดความดันเลือดด้วยเครื่องวัดความดันโลหิตได้สูง 3 ครั้งในระยะเวลาห่างกัน 1 เดือน การประเมินผู้ป่วยความดันโลหิตสูงเบื้องต้นต้องมีการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างครบถ้วน เนื่องจากในปัจจุบันมีการใช้เครื่องวัดความดันโลหิตต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง (24-hour ambulatory blood pressure monitors; ABPM) และเครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติที่บ้าน (home blood pressure machines; HBPM) ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การวินิจฉัยภาวะความดันโลหิตสูง โดยอุปกรณ์ดังกล่าวมีประโยชน์เพื่อป้องกันการวินิจฉัยผิดจากภาวะความดันโลหิตสูงปลอมเฉพาะเวลาพบบุคลากรทางการแพทย์ (white coat hypertension) เวชปฏิบัติในสหราชอาณาจักรในปัจจุบันอาศัยการอ่านค่าความดันโลหิตจากเครื่องวัดความดันโลหิตต่อเนื่อง หรืออาจใช้การอ่านค่าความดันโลหิตจากเครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติที่บ้านเป็นเวลาต่อเนื่องกัน 7 วัน อีกภาวะหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงคือภาวะความดันโลหิตสูงเทียมในผู้สูงอายุ (Pseudohypertension in the elderly) เชื่อว่าเกิดจากมีหินปูนเกาะตามหลอดเลือดแดง ทำให้อ่านค่าความดันเลือดจากการวัดได้สูงในขณะที่ความดันที่แท้จริงในหลอดเลือดนั้นปกติ

เมื่อผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยเป็นความดันโลหิตสูง แพทย์จะต้องค้นหาสาเหตุโดยต้องอาศัยปัจจัยเสี่ยงและอาการอื่น ๆ ของผู้ป่วย ความดันโลหิตสูงทุติยภูมิมักพบได้ในเด็กอายุก่อนวัยรุ่น โดยสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือโรคไต ในขณะที่ความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุหรือแบบปฐมภูมินั้นมักพบในวัยรุ่นและผู้ใหญ่และมักจะมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง เช่น โรคอ้วน และมีประวัติครอบครัวเป็นความดันโลหิตสูง การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อค้นหาสาเหตุของความดันโลหิตสูงทุติยภูมิ รวมทั้งเพื่อประเมินความเสียหายของอวัยวะต่าง ๆ จากความดันโลหิต เช่น หัวใจ ตา และไต การตรวจเพิ่มเติมสำหรับโรคเบาหวานและระดับไขมันในเลือดสูงเนื่องจากทั้งสองโรคดังกล่าวเป็นปัจจัยเสี่ยงร่วมในการเกิดโรคหัวใจและต้องรับการรักษาหากตรวจพบ

โรคไตอาจเป็นทั้งเหตุหรือผลของความดันโลหิตสูงก็ได้ การประเมินภาวะการทำงานของไตใช้การตรวจระดับครีแอทินินในซีรัม แต่การใช้ค่าครีแอทินินในซีรัมอย่างเดียวอาจทำให้คำนวณค่าอัตราการกรองของโกลเมอรูลัส (glomerular filtration rate) ได้มากเกินไป ในแนวทางเวชปฏิบัติใหม่ ๆ แนะนำให้ใช้สมการคำนวณอัตราการกรองโกลเมอรูลัสโดยประมาณ (estimate glomerular filtration rate (eGFR)) เช่นสูตร Modification of Diet in Renal Disease (MDRD) ดังนี้

ค่า eGFR สามารถบอกค่าการทำงานพื้นฐานของไต เพื่อช่วยเฝ้าระวังผลข้างเคียงของยาต้านความดันโลหิตบางชนิดที่มีผลต่อการทำงานไต นอกจากนี้การตรวจโปรตีนในปัสสาวะยังช่วยประเมินโรคไตได้อีกทางหนึ่ง การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเพื่อประเมินการทำงานของหัวใจในภาวะความดันโลหิตสูงซึ่งอาจพบกล้ามเนื้อหัวใจหนา (หัวใจห้องล่างซ้ายโตเกิน; left ventricular hypertrophy) หรือเพื่อประเมินความผิดปกติของหัวใจที่อาจยังไม่แสดงอาการเช่นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเป็นบริเวณเล็ก การถ่ายภาพรังสีทรวงอกหรือการบันทึกภาพหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงอาจช่วยประเมินอาการแสดงของกล้ามเนื้อหัวใจโตเกินหรือความเสียหายของหัวใจจากความดันโลหิตสูง

ผู้ใหญ่

ในผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ความดันโลหิตสูงหมายถึงภาวะที่มีผลการวัดความดันเลือดช่วงหัวใจบีบ และ/หรือความดันเลือดช่วงหัวใจคลาย มากกว่าค่าความดันเลือดปกติอย่างต่อเนื่อง (ในปัจจุบันถือเอาค่าความดันเลือดปกติคือ ความดันเลือดช่วงหัวใจบีบไม่เกิน 139 มิลลิเมตรปรอท และความดันเลือดช่วงหัวใจคลายไม่เกิน 89 มิลลิเมตรปรอท: ดูตาราง — การจำแนกประเภทความดันเลือดโดย JNC7) หากวัดความดันเลือดโดยใช้เครื่องวัดความดันโลหิตต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง หรือเครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติที่บ้าน ให้ถือเกณฑ์ความดันเลือดช่วงหัวใจบีบที่ตั้งแต่ 135 มิลลิเมตรขึ้นไป หรือความดันเลือดช่วงหัวใจคลายที่ตั้งแต่ 85 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไปเป็นภาวะความดันโลหิตสูง

แนวทางการรักษาความดันโลหิตสูงในปัจจุบันจัดกลุ่มผู้ที่มีความดันเลือดสูงแต่ไม่ถึงเกณฑ์เป็นความดันโลหิตสูงเพื่อบอกถึงความเสี่ยงต่อเนื่องในผู้ที่ความดันโลหิตค่อนข้างสูงแต่ยังอยู่ในค่าปกติ โดย JNC7 (ค.ศ. 2003) ใช้คำว่า "ก่อนความดันโลหิตสูง" (prehypertension) ในผู้ที่มีความดันเลือดช่วงหัวใจบีบในช่วง 120-139 มิลลิเมตรปรอท และ/หรือความดันเลือดช่วงหัวใจคลาย 80-89 มิลลิเมตรปรอท ในขณะที่ ESH-ESC Guidelines (ค.ศ. 2007) BHS IV (ค.ศ. 2004) รวมถึงแนวทางการรักษาโดยสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2555) แบ่งประเภทผู้ที่ความดันเลือดต่ำกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอทตามค่าความดันมากน้อย โดยใช้จัดเป็นกลุ่ม "เหมาะสม" (optimal) "ปกติ" (normal) และ "ปกติค่อนสูง" (high normal) (ดูตาราง — การจำแนกประเภทความดันเลือดโดย ESH-ESC BHS IV และสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย)

ในช่วงความดันโลหิตสูงก็มีการจัดกลุ่มตามความรุนแรงเช่นเดียวกัน โดย JNC7 แยกกลุ่มที่มีความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอทออกเป็น "ความดันโลหิตสูงระยะที่ 1" (hypertension stage I) "ความดันโลหิตสูงระยะที่ 2" (hypertension stage II) และ "ความดันโลหิตเฉพาะช่วงหัวใจบีบสูง" (isolated systolic hypertension) ความดันโลหิตเฉพาะช่วงหัวใจบีบสูงหมายถึงผู้ที่มีความดันโลหิตช่วงหัวใจบีบสูงแต่ความดันโลหิตช่วงหัวใจคลายปกติ มักพบในผู้สูงอายุ ในขณะที่ ESH-ESC Guidelines (ค.ศ. 2007) BHS IV (ค.ศ. 2004) และแนวทางการรักษาของประเทศไทย (พ.ศ. 2555) มีการเพิ่มกลุ่ม "ความดันโลหิตสูงระยะที่ 3" หมายถึงผู้ที่มีความดันเลือดช่วงหัวใจบีบมากกว่า 179 มิลลิเมตรปรอท หรือความดันเลือดช่วงหัวใจคลายมากกว่า 109 มิลลิเมตรปรอท ความดันโลหิตสูง "ชนิดดื้อ" (resistant) หมายถึงการใช้ยาไม่สามารถลดความดันเลือดกลับมาอยู่ในระดับปกติได้

เด็ก

ความดันโลหิตสูงในทารกพบได้น้อยมากคือประมาณร้อยละ 0.2-3 ของจำนวนทารกแรกเกิด และการวัดความดันโลหิตมักจะไม่ทำกันเป็นประจำในทารกแรกเกิดที่สุขภาพดี ความดันโลหิตสูงพบได้บ่อยกว่าในทารกที่มีภาวะเสี่ยง การประเมินว่าความดันเลือดนั้นปกติหรือไม่ในของทารกแรกเกิดต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ อาทิ อายุครรภ์ อายุหลังการปฏิสนธิ และน้ำหนักแรกเกิด

ความดันโลหิตสูงพบได้ค่อนข้างบ่อยในเด็กและวัยรุ่น (2-9% ขึ้นกับอายุ เพศ และเชื้อชาติ) และสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยในระยะยาว ในปัจจุบันแนะนำว่าในเด็กอายุมากกว่า 3 ปีทุกรายควรได้รับตรวจการวัดความดันโลหิตเมื่อมาตรวจรักษาหรือตรวจสุขภาพ แต่หากพบความดันเลือดสูงจะต้องตรวจยืนยันซ้ำก่อนที่จะจำแนกว่าเด็กมีภาวะความดันโลหิตสูง

ในเด็กความดันเลือดจะเพิ่มขึ้นตามอายุ ความดันโลหิตสูงในเด็กหมายถึงการมีค่าเฉลี่ยของความดันขณะหัวใจบีบหรือความดันขณะหัวใจคลายจากการวัดความดันเลือดตั้งแต่สามครั้งขึ้นไป มากกว่าหรือเท่ากับเปอร์เซ็นไทล์ที่ 95 ของความดันโลหิตในอายุ เพศ และความสูงเดียวกัน ส่วนภาวะก่อนความดันโลหิตสูงในเด็กหมายถึงค่าเฉลี่ยของความดันขณะหัวใจบีบหรือความดันขณะหัวใจคลายอยู่ระหว่างเปอร์เซ็นไทล์ที่ 90-95 ของความดันโลหิตในอายุ เพศ และความสูงเดียวกัน ส่วนการวินิจฉัยและจัดจำแนกประเภทในวัยรุ่นให้ใช้เกณฑ์เหมือนกับผู้ใหญ่

การป้องกัน

เนื่องจากภาระโรคจากความดันโลหิตสูงพบมากในผู้ป่วยที่ไม่ทราบว่าเป็นความดันโลหิตสูง ดังนั้นกลยุทธ์ประชากรจึงจำเป็นต้องลดผลที่ตามมาจากความดันโลหิตสูงและลดความจำเป็นในการรักษาด้วยยาลดความดันโลหิต แนะนำให้ลดความดันเลือดด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนเริ่มการรักษาด้วยยา ทั้งแนวทางเวชปฏิบัติของสมาคมความดันโลหิตสูงสหราชอาณาจักร ค.ศ. 2004 (BHS IV) โปรแกรมการให้การศึกษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2002 และแนวทางการรักษาของสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2555) แนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันความดันโลหิตสูงด้วยวิธีดังนี้

  • ควบคุมน้ำหนักให้เป็นปกติในผู้ใหญ่ (ให้ดัชนีมวลกายอยู่ที่ 18.5-23 กิโลกรัม/ตารางเมตร)
  • จำกัดโซเดียมในอาหารให้น้อยกว่า 100 มิลลิโมลต่อวัน (น้อยกว่า 6 กรัมของโซเดียมคลอไรด์ต่อวัน หรือน้อยกว่า 2.4 กรัมของโซเดียมต่อวัน)
  • ออกกำลังกายชนิดแอโรบิกอย่างสม่ำเสมอ เช่นการเดินเร็วๆ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน เกือบทุกวันในสัปดาห์
  • ลดการดื่มแอลกอฮอล์ ไม่เกิน 2 drink/วันในผู้ชาย และไม่เกิน 1 drink/วันในผู้หญิง (1 drink เทียบเท่ากับสุรา (40%) 44 มิลลิลิตร, เบียร์ (5%) 355 มิลลิลิตร หรือไวน์ (12%) 148 มิลลิลิตร)
  • รับประทานผักและผลไม้มาก ๆ (อย่างน้อย 5 ส่วนต่อวัน)

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างมีประสิทธิภาพสามารถลดความดันโลหิตได้เทียบเท่ากับการใช้ยาลดความดันโลหิต การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมกันตั้งแต่สองอย่างขึ้นไปจะยิ่งให้ผลที่ดีมากขึ้น

การรักษา

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

การรักษาภาวะความดันโลหิตสูงอย่างแรกเริ่มที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในลักษณะเดียวกันกับการป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง รวมถึงการปรับเปลี่ยนอาหาร การออกกำลังกาย และการลดน้ำหนัก วิธีดังกล่าวพบว่าช่วยลดความดันเลือดในผู้ป่วยได้อย่างมาก การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็ยังคงแนะนำให้ปฏิบัติร่วมกับการใช้ยาลดความดันโลหิตแม้ว่าความดันเลือดจะสูงจนต้องพิจารณาใช้ยาก็ตาม

การปรับเปลี่ยนอาหารเช่นลดปริมาณเกลือพบว่ามีประโยชน์ จากการศึกษาในระยะยาว (มากกว่า 4 สัปดาห์) ในชาวคอเคเซียนเรื่องการรับประทานอาหารชนิดโซเดียมต่ำพบว่ามีประโยชน์ในการลดความดันเลือดทั้งในผู้ที่มีความดันเลือดปกติและผู้ป่วยความดันโลหิตสูง นอกจากนี้อาหารลดความดันโลหิต (Dietary Approaches to Stop Hypertension; DASH diet) หรืออาหารที่มีถั่ว ธัญพืช ปลา สัตว์ปีก ผักและผลไม้ที่แนะนำโดยสถาบันหัวใจ ปอดและเลือดแห่งชาติสหรัฐอเมริกาช่วยลดความดันเลือดได้ หลักการแล้วคือการลดปริมาณการบริโภคโซเดียม แม้ว่าอาหารดังกล่าวจะมีโพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม หรือโปรตีนมากก็ตาม วิธีอื่น ๆ เพื่อคลายความเครียดทางจิตใจที่โฆษณาว่าช่วยลดความดันโลหิตเช่นการทำสมาธิ เทคนิคคลายความกังวล หรือการป้อนกลับทางชีวภาพ (biofeedback) พบว่ามีประสิทธิผลโดยรวมไม่ดีกว่าการให้สุขศึกษา และหลักฐานที่ยืนยันประสิทธิภาพยังมีคุณภาพต่ำ

การใช้ยา

ยาลดความดันโลหิตมีอยู่หลายกลุ่มที่ใช้ในปัจจุบัน การเลือกสั่งยาลดความดันโลหิตโดยแพทย์ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด (รวมทั้งความเสี่ยงของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง) รวมทั้งค่าความดันโลหิตของแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ข้อมูลด้านหัวใจและหลอดเลือดโดยรวมของคนหนึ่ง ๆ หลักฐานไม่สนับสนุนการลดความเสี่ยงการเสียชีวิตหรืออัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพด้วยการใช้ยาลดความดันโลหิตในผู้ที่มีความดันโลหิตไม่สูงมาก (ความดันช่วงหัวใจบีบน้อยกว่า 160 มิลลิเมตรปรอท และ/หรือ ความดันช่วงหัวใจคลายน้อยกว่า 100 มิลลิเมตรปรอท) และไม่มีปัญหาสุขภาพอื่นๆ

หากเริ่มการรักษาด้วยยา คณะกรรมการร่วมแห่งชาติว่าด้วยความดันโลหิตสูง (Joint National Committee on High Blood Pressure) หรือ JNC-7 แนะนำว่าแพทย์ไม่ควรเฝ้าติดตามเฉพาะการตอบสนองต่อการรักษาเพียงอย่างเดียวแต่ต้องประเมินอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาด้วย การลดความดันเลือดลง 5 มิลลิเมตรปรอทสามารถลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองได้ร้อยละ 34 ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือดได้ร้อยละ 21 และลดโอกาสของภาวะสมองเสื่อม หัวใจล้มเหลว และอัตราตายจากโรคหัวใจหลอดเลือด เป้าหมายของการรักษาควรลดความดันเลือดลงน้อยกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอทในประชากรทั่วไป และควรต่ำกว่านี้ในผู้ที่เป็นเบาหวานหรือโรคไต (ผู้เชี่ยวชาญบางท่านแนะนำให้ลดความดันเลือดลงในระดับต่ำกว่า 120/80 มิลลิเมตรปรอท)

แนวทางการเลือกใช้ยาเพื่อรักษาและวิธีการปรับยาในประชากรกลุ่มต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลาและแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ยาที่ควรเลือกใช้เป็นอย่างแรกยังเป็นที่ถกเถียงกัน แนวทางปฏิบัติขององค์กรความร่วมมือคอเครน องค์การอนามัยโลก และสหรัฐอเมริกาแนะนำการใช้ยาขับปัสสาวะกลุ่มไทอะไซด์ (Thiazide) เป็นลำดับแรก ส่วนแนวทางของสหราชอาณาจักรเน้นการใช้ยากลุ่มแคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ (Calcium channel blockers; CCB) ในประชากรที่อายุมากกว่า 55 ปี หรือมีเชื้อสายแอฟริกันหรือแคริบเบียน ในขณะที่ในประชากรที่อายุน้อยกว่าแนะนำให้ใช้ยากลุ่มเอซีอีอินฮิบิเตอร์ (Angiotensin converting enzyme inhibitors; ACE-I) ในญี่ปุ่นแนะนำให้เริ่มใช้ยาใดก็ได้ในกลุ่มยา 6 ชนิด ได้แก่ CCB, ACEI/ARB, ไทอะไซด์, บีตาบล็อกเกอร์ (Beta blockers), และแอลฟาบล็อกเกอร์ (Alpha-blockers) ในขณะที่แคนาดาแนะนำให้ใช้เลือกใช้ยาดังกล่าวเช่นกันยกเว้นแอลฟาบล็อกเกอร์

การใช้ยาหลายกลุ่มร่วมกัน

ผู้ป่วยส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้ยามากกว่าหนึ่งกลุ่มเพื่อควบคุมความดันโลหิต แนวทางเวชปฏิบัติของ JNC7 และ ESH-ESC แนะนำให้เริ่มใช้ยาสองกลุ่มหากความดันช่วงหัวใจบีบมากกว่าเป้าหมาย 20 มิลลิเมตรปรอท หรือความดันช่วงหัวใจคลายมากกว่าเป้าหมาย 10 มิลลิเมตรปรอท ยาที่นิยมใช้ร่วมกันได้แก่ ยาต้านระบบเรนิน-แองจิโอเทนซินกับแคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ หรือ ยาต้านระบบเรนิน-แองจิโอเทนซินกับยาขับปัสสาวะ ยาที่อาจใช้ร่วมกันได้ ได้แก่ แคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์กับยาขับปัสสาวะ, บีตาบล็อกเกอร์กับยาขับปัสสาวะ, แคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ชนิดไดไฮโดรไพริดีน (dihydropyridine) กับบีตาบล็อกเกอร์, หรือ แคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ชนิดไดไฮโดรไพริดีนกับเวราพามิล (verapamil) หรือดิลไทอะเซม (diltiazem) ยากลุ่มที่ไม่ควรใช้ร่วมกันได้แก่ แคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ชนิดนอน-ไดไฮโดรไพริดีน (non-dihydropyridine) (เช่นเวราพามิลหรือดิลไทอะเซม) กับบีตาบล็อกเกอร์, ยาต้านระบบเรนิน-แองจิโอเทนซินร่วมกัน (เช่น ยาเอซีอีอินฮิบิเตอร์กับยาแองจิโอเทนซินรีเซพเตอร์บล็อกเกอร์), ยาต้านระบบเรนิน-แองจิโอเทนซินกับบีตาบล็อกเกอร์ และ บีตาบล็อกเกอร์กับยาที่ออกฤทธิ์กับส่วนกลาง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่มเอซีอีอินฮิบิเตอร์หรือแองจิโอเทนซินรีเซพเตอร์บล็อกเกอร์ (Angiotensin receptor blocker; ARB) ร่วมกับยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์ (NSAIDs) (เช่นยาต้านอักเสบ ไอบูโปรเฟน) เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดไตวายเฉียบพลันซึ่งรู้จักกันในอุตสาหกรรมสุขภาพในออสเตรเลียในชื่อของ "triple whammy" มีการใช้ยาเม็ดรวมซึ่งประกอบด้วยยาลดความดันสองกลุ่มเพื่อเพิ่มความสะดวกแก่ผู้ป่วย ซึ่งจำกัดไว้พิจารณาใช้เฉพาะเป็นรายๆ ไป

ผู้สูงอายุ

การรักษาความดันโลหิตสูงระดับปานกลางและรุนแรงช่วยลดอัตราเสียชีวิตและลดอัตราเป็นโรคและอัตราตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ที่อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป การศึกษาในผู้สูงอายุมากกว่า 80 ปียังมีจำกัด แต่ในการทบทวนวรรณกรรมเร็วๆ นี้สรุปว่าการรักษาด้วยยาลดความดันโลหิตช่วยลดอัตราตายและการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่ไม่ได้ลดอัตราเสียชีวิตโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญ เป้าหมายความดันโลหิตที่แนะนำคือน้อยกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท โดยยากลุ่มแรกที่แนะนำในสหรัฐอเมริกาคือยาขับปัสสาวะกลุ่มไทอะไซด์ และแนวทางเวชปฏิบัติของสหราชอาณาจักรแนะนำให้ใช้ยากลุ่มแคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์เป็นยากลุ่มแรก โดยมีความดันเลือดเป้าหมายที่ <150/90 มิลลิเมตรปรอทเมื่อพบแพทย์ หรือ <145/85 มิลลิเมตรปรอทเมื่อวัดด้วยเครื่องวัดความดันโลหิตต่อเนื่องหรือเครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติที่บ้าน

ความดันโลหิตสูงชนิดดื้อ

ความดันโลหิตสูงชนิดดื้อ (Resistant hypertension) หมายถึงภาวะที่ความดันเลือดสูงเกินเป้าหมายทั้งที่มีการใช้ยาความดันโลหิตสามกลุ่ม แนวทางการรักษาความดันโลหิตสูงชนิดดื้อได้รับการตีพิมพ์ในสหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา

ระบาดวิทยา

จำนวนปีสุขภาวะที่สูญเสียไปจากการป่วยและตาย (Disability-adjusted life year) สำหรับโรคหัวใจจากความดันโลหิตสูง ต่อประชากร 100,000 คน ในปี พ.ศ. 2547
  ไม่มีข้อมูล
  <110
  110-220
  220-330
  330-440
  440-550
  550-660
  660-770
  770-880
  880-990
  990-1100
  1100-1600
  >1600

ในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) ประชากรเกือบหนึ่งพันล้านคน หรือราวร้อยละ 26 ของประชากรผู้ใหญ่ในโลกมีภาวะความดันโลหิตสูง โรคนี้พบได้ทั่วไปทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้ว (333 ล้านคน) และกำลังพัฒนา (639 ล้านคน) อย่างไรก็ตาม อัตราป่วยมีความแตกต่างกันมากในแต่ละพื้นที่ เช่น มีอัตราป่วยต่ำมากในชนบทของอินเดีย (ชาย 3.4%, หญิง 6.8%) และสูงมากในโปแลนด์ (ชาย 68.9%, หญิง 72.5%)

ใน พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) ประมาณการณ์ว่าประชากร 43 ล้านคนในสหรัฐอเมริกามีภาวะความดันโลหิตสูง และกำลังใช้ยาลดความดันโลหิต นับเป็นเกือบร้อยละ 24 ของผู้ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาความชุกของความดันโลหิตในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นและถึงร้อยละ 29 ในปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) ในปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2009) ผู้ใหญ่ในสหรัฐอเมริการาว 76 ล้านคนมีภาวะความดันโลหิตสูง (ร้อยละ 34 ของประชากร) และผู้ใหญ่ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันเป็นประชากรที่มีอัตราการเป็นความดันโลหิตสูงสูงที่สุดในโลกที่ร้อยละ 44 ความดันโลหิตสูงพบได้บ่อยในชาวอเมริกันพื้นเมืองและชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน และพบน้อยในชาวผิวขาวและชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกัน อัตราเพิ่มขึ้นตามอายุ และพบได้มากในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ความชุกของความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นในผู้ชายและในประชากรที่สถานะทางสังคมและเศรษฐกิจต่ำ

ในเด็ก

ความชุกของความดันโลหิตสูงในเด็กนั้นเพิ่มขึ้น ความดันโลหิตสูงในเด็ก โดยเฉพาะในวัยก่อนวัยรุ่นมักมีสาเหตุมาจากโรคอื่น นอกจากโรคอ้วนแล้ว โรคไตยังเป็นสาเหตุที่พบบ่อย (ร้อยละ 60-70) ของความดันโลหิตสูงในเด็ก ในวัยรุ่นมักพบความดันโลหิตสูงปฐมภูมิ ประมาณร้อยละ 85-95

พยากรณ์โรค

แผนภาพแสดงภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของความดันโลหิตสูง

ความดันโลหิตเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่สามารถป้องกันได้ที่สำคัญที่สุดทั่วโลก ความดันโลหิตสูงเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือดโรคหลอดเลือดสมองโรคของหลอดเลือดส่วนปลาย และโรคของหัวใจและหลอดเลือดอื่น ๆ รวมถึงหัวใจล้มเหลว หลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตาโป่งพอง โรคหลอดเลือดแดงแข็งทั่วร่างกาย และหลอดเลือดปอดอุดตัน ความดันโลหิตยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการรับรู้บกพร่องและภาวะสมองเสื่อม และไตวายเรื้อรัง ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้แก่ โรคที่จอตาจากความดันโลหิตสูง (hypertensive retinopathy) และโรคไตจากความดันโลหิตสูง (hypertensive nephropathy)

ประวัติศาสตร์

ภาพของหลอดเลือดดำ จากหนังสือของวิลเลียม ฮาร์วีย์ Exercitatio Anatomica de Motu Cordis et Sanguinis in Animalibus

ความเข้าใจระบบไหลเวียนโลหิตในปัจจุบันเริ่มต้นจากการศึกษาของแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ วิลเลียม ฮาร์วีย์ (William Harvey; ค.ศ. 1578–1657) ผู้ริเริ่มอธิบายการไหลเวียนเลือดในหนังสือ "De motu cordis" บาทหลวงชาวอังกฤษชื่อสตีเฟน เฮลส์ (Stephen Hales) ได้ตีพิมพ์เรื่องการวัดความดันเลือดเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1733 การอธิบายความดันโลหิตสูงเป็นโรคมาจากโทมัส ยัง (Thomas Young) ในปี ค.ศ. 1808 และริชาร์ด ไบรท์ (Richard Bright) ในปี ค.ศ. 1836 คนแรกที่รายงานภาวะความดันโลหิตสูงในผู้ที่ไม่มีโรคไตคือเฟรเดริก อัคบาร์ โมฮาเหม็ด (Frederick Akbar Mahomed; ค.ศ. 1849–1884) อย่างไรก็ตามความดันโลหิตสูงมีความสำคัญทางคลินิกตั้งแต่ ค.ศ. 1896 เมื่อมีการประดิษฐ์เครื่องวัดความดันโลหิตชนิดปลอกแขนโดยชีปีโอเน รีวา-รอชชี (Scipione Riva-Rocci) ในปีดังกล่าว ซึ่งทำให้เริ่มมีการวัดความดันเลือดในคลินิก ในปี ค.ศ. 1905 นีโคไล โครอทคอฟ (Nikolai Korotkoff) ได้พัฒนาเทคนิคการวัดความดันโลหิตโดยการริเริ่มอธิบายเสียงโครอทคอฟ (Korotkoff sounds) ซึ่งเป็นเสียงจากหลอดเลือดแดงที่ได้ยินผ่านเครื่องฟังตรวจขณะที่ลดความดันปลอกแขนของเครื่องวัดความดันโลหิต

ในประวัติศาสตร์ การรักษาโรคที่เรียกว่า "โรคชีพจรแข็ง" (hard pulse disease) คือการลดปริมาณเลือดในร่างกาย โดยการเจาะเลือดออก (bloodletting) หรือการใช้ปลิงดูดเลือด การรักษาด้วยวิธีดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิหวงตี้ของจีน ออลัส คอร์นีเลียส เซลซัซ กาเลน และฮิปพอคราทีส ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20 ก่อนที่การรักษาด้วยยาลดความดันโลหิตจะมีประสิทธิภาพ การรักษาความดันโลหิตสูงประกอบด้วย 3 วิธีการ ซึ่งมีผลข้างเคียงมาก ได้แก่ การงดบริโภคโซเดียมอย่างเข้มงวด (เช่นการห้ามบริโภคข้าว) การผ่าตัดเอาระบบประสาทซิมพาเทติกออก (sympathectomy) และการฉีดสารที่ทำให้เกิดไข้เพื่อลดความดันเลือดโดยตรง (pyrogen therapy) สารเคมีชนิดแรกที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูงคือโซเดียมไทโอไซยาไนด์ (sodium thiocyanate) ใช้ใน ปี ค.ศ. 1900 แต่มีผลข้างเคียงมากและไม่เป็นที่นิยม สารอื่น ๆ ได้รับการพัฒนาภายหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สารที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพ เช่น เททระเมทิลแอมโมเนียมคลอไรด์ (tetramethylammonium chloride) และอนุพันธ์ของมัน เช่น เฮกซะเมโทเนียม (hexamethonium), ไฮดราลาซีน (hydralazine) และรีเซอร์พีน (reserpine) (อนุพันธ์จากพืช Rauwolfia serpentina) ความสำเร็จครั้งใหญ่คือการค้นพบยาลดความดันโลหิตที่สามารถรับประทานได้ชนิดแรกคือ คลอโรไทอะไซด์ (chlorothiazide) ในปี ค.ศ. 1958 ซึ่งเป็นยาขับปัสสาวะชนิดไทอะไซด์ที่พัฒนาจากยาปฏิชีวนะซัลฟานิลาไมด์ (sulfanilamide)

สังคมและวัฒนธรรม

ความตระหนัก

กราฟแสดง ความชุกของความตระหนักถึงความดันโลหิตสูง การรักษา และการควบคุมความดันโลหิตสูง เปรียบเทียบกันในสี่การศึกษาของ National Health and Nutrition Examination Survey (NHANES)

องค์การอนามัยโลกระบุว่าความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุสำคัญของอัตราเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ สันนิบาตความดันโลหิตสูงโลก (The World Hypertension League; WHL) องค์การสากลที่ดูแลสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งชาติ 85 สมาคม ระบุว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงทั่วโลกไม่ตระหนักถึงความเจ็บป่วยของตนเอง เพื่อตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว WHL ได้ริเริ่มการรณรงค์เรื่องความดันโลหิตสูงในปี พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) และกำหนดให้วันที่ 17 พฤษภาคมในทุกปีเป็นวันความดันโลหิตสูงโลก ในช่วงสามปีที่ผ่านมามีสมาคมความดันโลหิตสูงในแต่ละชาติเข้าร่วมวันความดันโลหิตสูงโลกเพิ่มขึ้น และมีกิจกรรมและนวัตกรรมเพื่อประชาสัมพันธ์ต่อสาธารณชน ในปี พ.ศ. 2550 มีชาติสมาชิก 47 ชาติเข้าร่วมวันความดันโลหิตสูงโลก ในระหว่างสัปดาห์ของวันความดันโลหิตสูงโลก ในประเทศสมาชิกร่วมกับรัฐบาลท้องถื่น สมาคมวิชาชีพ องค์การนอกภาครัฐ และภาคเอกชนได้รณรงค์ถึงความตระหนักเรื่องความดันโลหิตสูงผ่านทางสื่อต่างๆ และการเดินรณรงค์ การใช้สื่อมวลชนเช่นอินเทอร์เน็ตและโทรทัศน์ทำให้เข้าถึงผู้คน 250 ล้านคน ผลจากการรณรงค์สันนิบาตความดันโลหิตสูงโลกเชื่อมั่นว่าผู้คน 1.5 พันล้านคนที่มีภาวะความดันโลหิตสูงจะได้เกิดความตระหนักขึ้น

เศรษฐกิจ

ความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรังที่พบบ่อยที่สุดที่มาตรวจในสถานพยาบาลปฐมภูมิในสหรัฐอเมริกา สมาคมโรคหัวใจสหรัฐอเมริกาประมาณว่าค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อมในการรักษาความดันโลหิตสูงในปี พ.ศ. 2553 อยู่ที่ 76.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในสหรัฐอเมริกา ราวร้อยละ 80 ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงมีความตระหนักในโรคของตนเอง ร้อยละ 71 ใช้ยาลดความดันโลหิต แต่ร้อยละ 48 เท่านั้นที่ตระหนักว่าภาวะความดันโลหิตสูงของตนเองได้รับการรักษาอย่างเพียงพอ อุปสรรคของการรักษาความดันโลหิตอย่างเพียงพอคือความบกพร่องจากการวินิจฉัย การรักษา และ/หรือการควบคุมความดันโลหิต บุคลากรทางการแพทย์เผชิญกับอุปสรรคมากมายที่จะควบคุมความดันเลือดให้อยู่ในเป้าหมาย รวมทั้งการใช้ยาหลายชนิดเพื่อให้ความดันโลหิตถึงเป้าหมาย ผู้ป่วยก็ต้องเผชิญกับความท้าทายในการใช้ยาสม่ำเสมอตามเวลาและการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เหมาะสม ถึงกระนั้นการให้ความดันเลือดลดถึงเป้าหมายนั้นเป็นไปได้ และที่สำคัญการลดความดันโลหิตช่วยลดอัตราตายจากโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความเสื่อมอื่นๆ และลดค่าใช้จ่ายที่อาจตามมาจากการรักษาโรคอย่างมีนัยสำคัญ

แหล่งข้อมูลอื่น

การจำแนกโรค
ทรัพยากรภายนอก

Новое сообщение