Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.
ความเครียด (จิตวิทยา)
ในสาขาจิตวิทยา ความเครียด เป็นความรู้สึกตึง/ล้าทางใจ หรือการเสียศูนย์/ความสมดุลทางใจที่มีมาก่อน เนื่องจากการได้รับสิ่งเร้า/ปัจจัยไม่ว่าทางกายหรือใจ ไม่ว่าจะภายนอกหรือภายใน ไม่ว่าจะเป็นอันตรายจริง ๆ หรือไม่ เช่น อากาศร้อน ถูกติเตียนต่อหน้าสาธารณชน หรือได้รับสิ่งเร้า/ประสบการณ์อื่น ๆ ที่ไม่น่าชอบใจ และโดยทั่วไปหมายถึงอารมณ์เชิงลบซึ่งบุคคลปกติพยายามจะหลีกเลี่ยง เป็นอารมณ์ที่เกิดพร้อมกับการปรับตัวทางสรีรภาพ ทางประชาน และทางพฤติกรรม เป็นความทุกข์ทางใจอย่างหนึ่ง ความเครียดเล็กน้อยอาจเป็นเรื่องที่น่าต้องการ มีประโยชน์ และแม้แต่ดีต่อสุขภาพ เช่น ความเครียด "เชิงบวก" ที่ช่วยให้นักกีฬาเล่นกีฬาได้ดีขึ้น มันยังเป็นปัจจัยสร้างแรงจูงใจ การปรับตัว และการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม แต่การเครียดมากอาจทำอันตรายต่อร่างกาย เพราะสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อเส้นเลือดอุดตันในสมอง กล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด แผลเปื่อย และโรคทางใจ เช่น โรคซึมเศร้า
ความเครียดอาจมาจากปัจจัยภายนอกและเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แต่ก็อาจมีเหตุจากการรับรู้ภายในที่ทำให้บุคคลรู้สึกวิตกกังวลหรือเกิดอารมณ์เชิงลบอื่น ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ เช่น รู้สึกถูกกดดัน ไม่สบายใจ เป็นต้น แล้วทำให้เครียด นักวิชาการจึงได้นิยามความเครียดไว้อีกอย่างหนึ่งว่า เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อมที่บุคคลจัดว่าสำคัญต่อตน และรู้สึกหนักเกินกว่าที่ตนจะรับมือได้
การรวมความเครียดแบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
มุมมองเกี่ยวกับความเครียดที่ไม่ค่อยพิจารณาอย่างหนึ่งก็คือทำให้ปรับตัวได้ดี คือ ความเครียดแบบดีจะเป็นแรงจูงใจและสร้างความท้าทายแทนที่จะทำให้วิตกกังวล ความเครียดแบบดี (eustress) จะต่างกับความเครียดที่ไม่ดี (distress) อย่างสำคัญ แม้จะเรียกรวม ๆ ว่าความเครียดเหมือนกัน แต่ก็ควรมองเป็นแนวคิดที่ต่างกัน
รูปแบบต่าง ๆ
แพทย์ชาวออสเตรีย-แคนาดา แฮนส์ เซ็ลเย (Hans Selye ผู้บางคนเรียกว่า "บิดาเรื่องความเครียด") เสนอว่า มีความเครียด 4 รูปแบบ ในแนวหนึ่ง มีความเครียดแบบดี (eustress) และแบบไม่ดี (distress) ที่จุดมุ่งหมายก็เพื่อสร้างความเครียดแบบดีให้มากสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในอีกแนวหนึ่ง มีความเครียดเกิน (hyperstress) และความเครียดน้อยเกิน (hypostress) ที่จุดมุ่งหมายก็เพื่อทำให้สมดุลเท่าที่จะเป็นไปได้ แนวคิดเช่นนี้มีผลดีกับการทำประโยชน์ในชีวิตอย่างมาก เพราะเป็นเหตุให้ทำงานอย่างสุขใจแทนที่จะเบื่อซึ่งเกิดเมื่อเครียดแบบไม่ดี
ความเครียดที่ดีและไม่ดี
คำว่า eustress มาจากรากภาษากรีก “eu” ซึ่งแปลว่าดี ดังที่ใช้ในคำว่า euphoria (ความเป็นสุขอย่างที่สุด) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลมองสิ่งที่ก่อความเครียด (stressor) ในแง่ดี ส่วนคำว่า distress มาจากรากคำภาษาละติน คือ “dis” ซึ่งเปลี่ยนคำให้มีความหมายตรงกันข้าม เช่นคำว่า dissonance (ความไม่กลมกลืน) และ disagreement (ข้อขัดแย้ง)
ความเครียดที่ไม่ดี/ความทุกข์มีผลไม่ดีต่อคุณภาพชีวิต ซึ่งเกิดเมื่อความต้องการเหนือสมรรถภาพการรับมือของบุคคลอย่างมาก
ผลต่อสุขภาพ
ความเครียดน่าจะสัมพันธ์กับความเจ็บป่วย ทฤษฎีที่เชื่อมความเครียดกับความเจ็บป่วยเสนอว่า ทั้งความเครียดฉับพลันและเรื้อรังอาจทำให้ป่วย โดยมีงานศึกษาหลายงานที่พบเช่นนี้ ตามทฤษฎี ความเครียดทั้งสองแบบอาจเปลี่ยนทั้งพฤติกรรมและร่างกาย พฤติกรรมรวมทั้งการสูบบุหรี่ การกิน และการออกกำลัง ความเปลี่ยนแปลงทางสรีรภาพรวมทั้งการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติก/แกนไฮโปทาลามัส-พิทูอิทารี-อะดรีนัล และระบบภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ดี กำลังของความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดกับความเจ็บป่วยที่พบก็ต่าง ๆ กันมาก
ความเครียดอาจทำให้บุคคลเสี่ยงโรคกายต่าง ๆ เช่น เป็นหวัด เหตุการณ์เครียดในชีวิต เช่น การเปลี่ยนงาน อาจทำให้นอนไม่หลับ นอนหลับไม่สนิท หรือมีปัญหาทางสุขภาพอื่น ๆ
งานวิจัยแสดงว่า รูปแบบตัวก่อความเครียด (เช่น แบบฉับพลันหรือแบบเรื้อรัง) และลักษณะบุคคล เช่น อายุและสุขภาพ ที่มีอยู่แล้ว จะมีอิทธิพลต่อความเครียดที่เกิด บุคลิกภาพของบุคคล (เช่น ระดับ neuroticism) กรรมพันธุ์ และประสบการณ์ในวัยเด็ก เมื่อประกอบกับตัวก่อความเครียดหนักหรือความบาดเจ็บ อาจเป็นตัวกำหนดการตอบสนองต่อตัวก่อความเครียด
ความเครียดเรื้อรังและการไม่มีหรือไม่ใช้ทรัพยากรเพื่อรับมือกับความเครียดบ่อยครั้งจะสร้างปัญหาทางจิต เช่น โรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวล ซึ่งเป็นจริงอย่างยิ่งสำหรับตัอก่อความเครียดแบบเรื้อรัง เป็นตัวก่อความเครียดที่อาจไม่หนักเท่ากับความเครียดฉับพลัน เช่น ภัยธรรมชาติหรืออุบัติเหตุ แต่จะคงยืนเป็นเวลานาน และมักจะมีผลลบต่อสุขภาพมากกว่า เพราะมันคงยืนและทำให้ต้องตอบสนองทุก ๆ วัน ซึ่งจะทำให้ร่างกายหมดกำลังได้เร็วกว่าและปกติจะเกิดเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ (เช่น ความเครียดเนื่องจากอยู่อาศัยในที่ไม่ปลอดภัย) ยกตัวอย่างเช่น งานศึกษาได้พบว่า ผู้ดูแลคนป่วยโดยเฉพาะคนป่วยโรคสมองเสื่อม มีระดับความซึมเศร้าที่สูงกว่า และมีสุขภาพแย่กว่าผู้ไม่ต้องดูแลผู้ป่วย
งานศึกษายังพบด้วยยว่า ความเครียดเรื้อรังและความดุที่สัมพันธ์กับบุคลิกภาพแบบ A (ช่างแข่งขัน ชอบเข้าสังคม ทะเยอทะยาน ใจร้อน ดุ) บ่อยครั้งสัมพันธ์กับความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่า ซึ่งมีเหตุจากระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอและระดับความตื่นตัวของระบบประสาทซิมพาเทติกซึ่งสูง โดยเป็นส่วนของการตอบสนองทางสรีรภาพต่อเหตุการณ์เครียด
อย่างไรก็ดี บางคนอาจมีใจแข็งแกร่ง (hardiness) ซึ่งหมายถึงสมรรถภาพในการมีสุขภาพทางจิตดีแม้จะเครียดอยู่เสมอ ๆ นักจิตวิทยาในปัจจุบันกำลังศึกษาปัจจัยที่ทำให้คนที่แข็งแกร่งสามารถรับมือกับความเครียดและหลีกเลี่ยงปัญหาทางร่างกายจิตใจที่สัมพันธ์กับการมีความเครียดสูง
ปัญหาเช่นอาการหลงผิด (delusion)โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า และความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ อาจสัมพันธ์กับความเครียด
ถึงกระนั้น ทุกคนก็จะเครียดบ้าง และแพทย์เท่านั้นที่จะวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคเครียด ตามงานทบทวนวรรณกรรมปี 2016 ความวิตกกังวลระดับเป็นโรคและความเครียดเรื้อรังจะทำให้เขตสมองคือฮิปโปแคมปัสเสื่อมและทำงานพิการ
มันเชื่อมานานแล้วว่า อารมณ์เชิงลบ เช่น ความวิตกกังวลและความซึมเศร้า อาจมีอิทธิพลต่อโรคกาย ซึ่งก็จะมีผลต่อกระบวนการทางชีวภาพอันอาจทำให้เสี่ยงโรคเพิ่มขึ้นในที่สุด แต่งานศึกษาต่าง ๆ ก็ได้แสดงว่า นี่ไม่จริงเป็นบางส่วน คือแม้ความเครียดดูเหมือนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ไม่ดี แต่ความรู้สึกว่า ความเครียดเป็นอันตรายก็จะเพิ่มความเสี่ยงขึ้นอีก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเครียดอย่างเรื้อรัง ก็จะเสี่ยงเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรทางสรีรภาพ ทางอารมณ์ และทางพฤติกรรม ซึ่งอาจก่อโรค ความเครียดเรื้อรังเป็นผลของเหตุการณ์เครียดเป็นระยะเวลานาน เช่น การดูแลคู่ชีวิตที่สมองเสื่อม หรือเป็นผลของเหตุการณ์เครียดชั่วคราวแต่รู้สึกเครียดเป็นระยะเวลานาน เช่น การถูกทำร้ายทางเพศ แม้ความเครียดบ่อยครั้งจะเชื่อมกับความเจ็บป่วยหรือโรค แต่คนปกติโดยมากก็ยังไร้โรคแม้หลังจากประสบกับเหตุการณ์เครียดแบบเรื้อรัง อนึ่ง บุคคลที่ไม่เชื่อว่าความเครียดจะมีผลต่อสุขภาพของตน ก็ไม่เสี่ยงเพิ่มต่อความเจ็บป่วย โรค หรือความตาย ซึ่งแสดงว่า ความเครียดมีอิทธิพลการก่อโรคในแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน เป็นความต่างเนื่องกับปัจจัยทางกรรมพันธุ์และทางจิตใจ อนึ่ง อายุที่ประสบกับความเครียดจะเป็นตัวกำหนดผลต่อสุขภาพด้วย งานวิจัยแสดงว่า ความเครียดเรื้อรังในวัยเด็กจะมีผลต่อการตอบสนองทางชีวภาพ ทางจิตใจ และทางพฤติกรรมต่อความเครียดที่ได้รับต่อ ๆ มาตลอดชีวิต
เพราะความเครียดมีผลต่อกาย บางคนก็อาจไม่แยกแยะปัญหานี้กับโรคอื่น ๆ ถ้าอาการชัดเจน (เช่น มีก้อนที่หน้าอก) บุคคลจะไปหาหมอไม่ว่าจะเครียดอยู่หรือไม่ แต่ถ้าอาการไม่ชัดเจน (เช่น ปวดหัว) ก็จะไม่ไปหาหมอเพราะเข้าใจว่าอาการมาจากความเครียดเมื่อสิ่งที่ทำให้เครียดเริ่มเกิดเร็ว ๆ นี้คือไม่เกิน 3 อาทิตย์ และจะไปหาหมอถ้าสิ่งที่ทำให้เครียดมีมานานกว่านั้น
มะเร็ง
ในสัตว์ ความเครียดมีผลต่อการเกิด การเติบโต และการแพร่กระจายของเนื้องอกที่ตรวจดู แต่งานศึกษาซึ่งพยายามเชื่อมความเครียดกับความชุกโรคมะเร็งในมนุษย์ก็มีผลไม่ชัดเจน ซึ่งอาจเป็นเพราะออกแบบและทำงานศึกษาที่เหมาะสมได้ยาก ในงานศึกษาในสหราชอาณาจักรงานหนึ่ง ความเชื่อว่าความเครียดเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งเป็นเรื่องสามัญ แต่ความสำนึกถึงปัจจัยเสี่ยงมะเร็งโดยทั่วไปก็จัดว่าน้อย
ตัวก่อความเครียดที่เป็นกลาง
ความเครียดเป็นการตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เฉพาะเจาะจง คือเป็นกลาง แต่ก็จะต่าง ๆ กันในระดับการตอบสนอง มันเกี่ยวกับบริบทของบุคคลและว่า บุคคลมองสถานการณ์นั้นอย่างไร นพ. เซ็ลเยได้นิยามความเครียดว่า "ผลที่ไม่เฉพาะเจาะจง (คือ สามัญ) ต่อความจำเป็นที่เกิดต่อร่างกาย ไม่ว่าจะทางจิตใจหรือทางกาย" นิยามนี้ครอบคลุมนิยามทางการแพทย์ที่กำหนดว่าเป็นความจำเป็นทางกาย และครอบคลุมนิยามของภาษาพูดโดยทั่วไปว่า เป็นความจำเป็นทางจิตใจ
แม้ตัวก่อความเครียดก็เป็นกลางโดยธรรมชาติเหมือนกัน คือ อาจทำให้ตอบสนองเป็นความเครียดที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ โดยขึ้นอยู่กับบุคคลว่าจะทำให้เป็นความเครียดที่ดีหรือไม่ดี
รูปแบบตัวก่อความเครียด
ตัวก่อความเครียด (stressor) เป็นเหตุการณ์ ประสบการณ์ หรือสิ่งเร้าใดก็ได้ในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้บุคคลเครียด โดยบุคคลมองว่าเป็นภัยหรือเป็นข้อท้าทาย และอาจเป็นเรื่องทางกายหรือทางใจ นักวิจัยพบว่า ตัวก่อความเครียดสามารถทำให้เสี่ยงโรคทางกายและใจมากขึ้น เช่น โรคหัวใจและความวิตกกังวล
ตัวก่อความเครียดมีโอกาสมีผลต่อสุขภาพของบุคคลมากกว่าเมื่อมันเรื้อรัง ทำให้วุ่นวายมาก และมองว่าควบคุมไม่ได้ ในสาขาจิตวิทยา นักวิชาการปกติจะจัดตัวก่อความเครียดเป็นหมวด 4 หมวดคือ วิกฤติการณ์/หายนะ เหตุการณ์สำคัญในชีวิต ปัญหาในชีวิตประจำวัน และตัวก่อความเครียดพื้นหลัง
วิกฤติการณ์/หายนะ
ตัวก่อความเครียดเช่นนี้ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าหรือพยากรณ์ได้ และดังนั้น จึงควบคุมไม่ได้ ตัวอย่างรวมทั้งภัยพิบัติใหญ่ต่าง ๆ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว และสงครามเป็นต้น แม้จะมีน้อย แต่ก็เป็นเหตุให้เครียดมาก งานวิจัยที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบว่า หลังภัยพิบัติทางธรรมชาติ ผู้ประสบภัยจะเครียดมากขึ้น
ส่วนความเครียดเนื่องจากการสู้รบเป็นทั้งแบบฉับพลันและแบบเรื้อรัง เพราะต้องทำการอย่างรวดเร็วและเพราะแรงกดดันให้โจมตีก่อน อุบัติเหตุฆ่าฝ่ายเดียวกันจึงอาจเกิดได้ วิธีการป้องกันต้องลดความเครียด เน้นการฝึกระบุยานพาหนะและตัวระบุฝ่ายชนิดอื่น ๆ เพิ่มสำนึกถึงยุทธวิธี และการวิเคราะห์ความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องของผู้นำทุกระดับ
เหตุการณ์สำคัญในชีวิต
ตัวอย่างสามัญของเหตุการณ์สำคัญในชีวิตรวมทั้งการแต่งงาน การเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย การเสียชีวิตของบุคคลที่รัก การได้สมาชิกใหม่ในครอบครัว การย้ายที่อยู่เป็นต้น เหตุการณ์เหล่านี้ ไม่ว่าจะจัดว่าดีหรือไม่ดี อาจทำให้รู้สึกไม่แน่ใจหรือกลัว ซึ่งในที่สุดก็จะก่อความเครียด ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยพบระดับความเครียดที่สูงขึ้นสำหรับนักเรียนมัธยมที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย โดยนักศึกษาปี 1 มีโอกาสเครียดเป็น 2 เท่าของนักศึกษาปีสุดท้าย
แต่งานวิจัยก็พบว่า เหตุการณ์สำคัญในชีวิตไม่ค่อยเป็นตัวก่อความเครียดที่สำคัญ เพราะเกิดน้อยมาก ระยะเวลาหลังจากเริ่มเกิดและความเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี เป็นปัจจัยกำหนดว่า มันเป็นเหตุให้เครียดหรือไม่และเครียดแค่ไหน นักวิจัยได้พบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเดือนที่ผ่านมาโดยทั่วไปจะไม่เชื่อมกับความเครียดหรือความเจ็บป่วย แต่เหตุการณ์เครียดเรื้อรังที่เกิดมากกว่า 2-3 เดือนก่อนจะเชื่อมกับทั้งความเครียด ความเจ็บป่วย และการเปลี่ยนแปลงทางบุคลิกภาพ
อนึ่ง เหตุการณ์ดี ๆ ในชีวิตจะไม่เชื่อมกับความเครียด หรือว่าเชื่อมกับความเครียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ในขณะที่เหตุการณ์ไม่ดีอาจเชื่อมกับความเครียดและปัญหาสุขภาพที่มาด้วยกัน อย่างไรก้ดี ประสบการณ์ดี ๆ และการเปลี่ยนแปลงชีวิตในทางที่ดี อาจเป็นตัวพยากรณ์การลดระดับ neuroticism
ในชีวิตประจำวัน
หมู่นี้รวมความรำคาญและความยุ่งยากในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างรวมการตัดสินใจ การทำงานให้เสร็จตามกำหนดเวลาไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือสถานศึกษา รถติด การประสบกับคนน่ารำคาญ ความขัดแย้งกับผู้อื่น เป็นต้น อย่างไรก็ดี แต่ละคนจะมีตัวก่อความเครียดในชีวิตประจำวันที่ไม่เหมือนกัน เพราะทุกคนไม่ได้รู้สึกเหมือนกันว่า เหตุการณ์หนึ่ง ๆ ก่อความเครียด ยกตัวอย่างเช่น คนโดยมากอาจจะรู้สึกเครียดกับการกล่าวปาฐกถา แต่นักการเมืองมืออาชีพอาจไม่รู้สึกเช่นนี้
ความยุ่งยากในชีวิตประจำวันเป็นตัวก่อความเครียดที่มีบ่อยที่สุดสำหรับผู้ใหญ่โดยมาก จึงทำให้มีผลทางสรีรภาพมากที่สุดต่อบุคคล นักวิชาการได้ตรวจระดับความเครียดเพราะความยุ่งยากในชีวิตเทียบกับอัตราการตาย แล้วสรุปว่า มีสหสัมพันธ์อย่างมีกำลังระหว่างบุคคลที่จัดความยุ่งยากในชีวิตประจำวันว่าเครียดมากกับอัตราการตายที่สูง ดังนั้น ความรู้สึกว่า ความยุ่งยากทำให้เครียดแค่ไหน อาจบรรเทาผลทางสรีรภาพของตัวก่อความเครียดในชีวิตประจำวัน
ตามจิตวิทยา มีความขัดแย้ง 3 อย่างที่ก่อความเครียด
- ความขัดแย้งแบบสู้-สู้ (approach-approach conflict) ซึ่งเกิดเมื่อเลือกทางเลือกที่ดูดีเท่า ๆ กัน เช่น จะไปดูภาพยนตร์หรือคอนเสิร์ตดี
- ความขัดแย้งแบบหลีก-หลีก (avoidance-avoidance conflict) ซึ่งเกิดเมื่อเลือกทางเลือกที่ไม่ดีเท่า ๆ กัน เช่น การต้องกู้ธนาคารเพิ่มโดยมีข้อตกลงที่ไม่ดีเพื่อจ่ายหนี้การจำนอง หรือบ้านที่อยู่ถูกบังคับจำนอง
- ความขัดแย้งแบบสู้-หลีก (approach-avoidance conflict) เกิดเมื่อต้องเลือกทำสิ่งหนึ่ง ๆ ที่มีทั้งข้อดีข้อเสีย เช่น เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยราคาแพง (เช่น ต้องกู้หนี้ยืมสิน แต่ได้การศึกษาที่ดีกว่าและได้โอกาสการบรรจุงานที่ดีกว่าเมื่อจบการศึกษา)
ส่วนความเครียดเนื่องกับการเดินทางมีอยู่ 3 หมู่ คือ เสียเวลา เรื่องไม่คาดฝัน (เหตุการณ์ที่ไม่รู้ล่วงหน้า เช่น กระเป๋าเดินทางหายหรือมาช้า) และการไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวัน
พื้นหลัง
ตัวก่อความเครียดพื้นหลัง (ambient stressors) เป็นตัวก่อความเครียดทั่ว ๆ ไป (เทียบกับตัวก่อความเครียดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ) ในระดับต่ำ ที่เป็นส่วนของพื้นหลังสิ่งแวดล้อม และนิยามว่า "เรื้อรัง มีค่าเชิงลบ ไม่เร่งด่วน รู้สึกได้ และพยายามเปลี่ยนพวกมันไม่ได้" ตัวอย่าง เช่น มลภาวะ เสียง ประชากรแออัด และรถติด ไม่เหมือนกับตัวก่อความเครียด 3 อย่างอื่น ๆ ตัวนี้อาจ (แต่ไม่จำเป็นต้อง) มีผลลบต่อความเครียดโดยไม่รู้สึกตัว
ในองค์กร
งานศึกษาในกองทัพทหารและสนามรบแสดงว่า ตัวก่อความเครียดที่มีกำลังมากที่สุดอาจเกิดจากปัญหาการจัดระบบองค์กร/หน่วย ความเครียดเช่นนี้สามารถเกิดทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน
การแก้
การแก้ความเครียด (stress management) หมายถึงเทคนิกและจิตบำบัดมากมายหลายอย่างที่มุ่งควบคุมระดับความเครียด โดยเฉพาะแบบเรื้อรัง ปกติเพื่อให้ใช้ชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น โดยควบคุมและลดความรู้สึกตึง ๆ ที่เกิดในสถานการณ์เครียดโดยเปลี่ยนอารมณ์หรือเปลี่ยนสถานการณ์
การป้องกันและการสร้างความยืดหยุ่น
แม้จะมีเทคนิกที่ได้พัฒนาขึ้นเพื่อรับมือกับผลของความเครียด แต่ก็มีงานศึกษาเรื่องการป้องกันความเครียดด้วย ซึ่งเป็นประเด็นใกล้เคียงกับเรื่อง "psychological resilience" (ความยืดหยุ่นได้ทางใจ) ในจิตวิทยา และมีวิธีที่ทำเองได้เพื่อป้องกันความเครียดและเพิ่มความยืดหยุ่นทางจิตใจ ที่ได้แนวคิดมาจากการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (CBT)
biofeedback (คือการวัดการตอบสนองทางสรีรภาพด้วยเครื่องมือโดยมีจุดประสงค์เพื่อจะควบคุมการตอบสนองเช่นนั้น ๆ) อาจช่วยแก้ความเครียด งานศึกษาปี 2015 ประเมินผลของ resonant breathing biofeedback (เป็นการสำนึกและควบคุมความต่าง ๆ กันของอัตราการเต้นหัวใจ) ในกลุ่มพนักงานควบคุมการผลิต แล้วพบว่า เทคนิกช่วยลดความซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความเครียดอย่างสำคัญ
กลไกการรับมือ
แบบจำลองหนึ่งแสดงว่า เหตุการณ์ภายนอกสร้างแรงกดดันให้ทำกิจให้เกิด ให้มีส่วนร่วมกับ หรือให้ประสบกับเหตุการณ์เครียด ความเครียดไม่ใช่เหตุการณ์ภายนอกเอง แต่เป็นการตีความและตอบสนองต่อภัยที่อาจมี ดังนั้น จึงสามารถใช้วิธีการรับมือกับความเครียดได้
มีวิธีการหลายอย่างที่สามารถรับมือกับภัยที่อาจทำให้เครียด แต่บุคคลก็มักจะตอบสนองด้วยรูปแบบการรับมืออย่างใดอย่างหนึ่งโดยมาก เช่น โดยไม่สนใจความรู้สึก หรือเปลี่ยนสถานการณ์ที่ทำให้เครียด มีหมวดหมู่การรับมือ/กลไกป้องกันตัวหลายอย่างโดยเป็นไปตามแนวคิดทั่วไปที่เหมือนกัน คือมีวิธีการรับมือกับความเครียดที่ดี/ให้ประโยชน์ และที่ไม่ดี/ไม่มีประโยชน์ เพราะความเครียดเป็นความรู้สึก วิธีการที่จะกล่าวดังต่อไปนี้บางอย่างอาจไม่ได้เปลี่ยนสถานการณ์ที่ทำให้เครียด แต่จัดว่าเป็นวิธีการรับมือก็เพราะช่วยให้บุคคลแก้ความรู้สึกเชิงลบและความวิตกกังวลได้ดีกว่า ไม่ใช่แก้ปัญหาที่เป็นเหตุ กลไกเหล่านี้ปรับมาจาก DSM-IV Adaptive Functioning Scale (1994) ของสมาคมจิตเวชอเมริกัน (APA)
กลไกที่ปรับตัวได้ดี ต้องทำการ มุ่งแก้ปัญหา
ทักษะเหล่านี้ช่วยเผชิญหน้ากับปัญหาโดยตรง หรืออย่างน้อยก็จัดการอารมณ์เชิงลบอย่างเป็นประโยชน์ คือ โดยทั่วไปเป็นการปรับตัวได้ดี (generally adaptive)
- การผูกพัน (affiliation) เช่น การดูแลและหาเพื่อน ซึ่งจัดการความเครียดโดยหาความช่วยเหลือ/หาการสนับสนุนจากผู้อื่น/เครือข่ายสังคม แต่ไม่ใช่โดยไม่รับผิดชอบหรือทำให้เป็นหน้าที่ของผู้อื่น
- อารมณ์ขัน (humor) คือมองออกนอกสถานการณ์เพื่อให้ได้มุมมองกว้าง ๆ และเพื่อเน้นจุดขำ ๆ ที่พบในสถานการณ์นั้น ๆ ด้วย
- สมาคมอารมณ์ขันประยุกต์และเพื่อบำบัดโรค (Association for Applied and Therapeutic Humor) นิยามอารมณ์ขันบำบัดว่าเป็น "วิธีการรักษาที่โปรโหมตสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีโดยกระตุ้นการค้นพบ การแสดงออก หรือการเห็นคุณค่าแบบเล่น ๆ ของความน่าขันหรือความไม่กลมเกลียวกันของชีวิตตนเอง การรักษานี้อาจปรับปรุงสุขภาพหรือใช้รักษาความเจ็บป่วยแบบเสริม เพื่ออำนวยให้หายหรือให้รับมือกับสถานการณ์ได้ ไม่ว่าจะทางกาย ทางอารมณ์ ทางประชาน หรือทางจิตวิญญาณ"
- ประสาทแพทย์ผู้มีชื่อเสียง คือ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ได้เสนอว่า อารมณ์ขันเป็นกลยุทธ์ป้องกันตัวที่ดีในสถานการณ์ที่ทำให้อารมณ์เสีย เพราะเมื่อหัวเราะในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ก็จะทำให้หายวิตกกังวลแล้วคิดได้ดีขึ้น เมื่อสามารถมองสถานการณ์ในแง่มุมอื่น ๆ ก็จะรู้สึกว่าสามารถควบคุมปฏิกิริยา/การตอบสนองของตนได้ แล้วแก้ปัญหาที่เป็นเหตุให้เครียดได้
- นักจิตวิทยาผู้หนึ่ง (HM Lefcourt) เสนอว่า อารมณ์ขันซึ่งเปลี่ยนมุมมองเช่นนี้มีประสิทธิผลดีเพราะแยกตนเองออกจากสถานการณ์และความเครียด งานศึกษาได้แสดงว่า การหัวเราะและอารมณ์ขันจะบรรเทาความเครียดโดยผลอาจคงยืนถึง 45 นาทีหลังหัวเราะ.
- อนึ่งพบว่า เด็กที่เข้า รพ. หัวเราะและเล่นเพื่อบรรเทาความกลัว ความเจ็บปวด และความเครียด การหัวเราะและอารมณ์ขันจึงสำคัญมากเพื่อรับมือกับความเครียด มนุษย์ควรใช้อารมณ์ขันเป็นวิธีข้ามความเข้าใจเบื้องต้นของตนเกี่ยวกับสถานการณ์ภายนอก เพื่อให้ได้มุมมองอื่น ๆ เพื่อลดความวิตกกังวล
- การเปลี่ยนความคิดที่ไม่ดีให้เป็นการกระทำที่ยอมรับได้ (sublimation) ช่วยให้แก้ปัญหาโดยอ้อมโดยไม่มีผลลบหรือเสียความสุขที่พึงได้ วิธีนี้ช่วยให้เปลี่ยนอารมณ์หรือแรงดลใจที่เป็นปัญหาให้เป็นพฤติกรรมที่สังคมยอมรับได้
- การคิดเรื่องดี ๆ (positive reappraisal) คือเปลี่ยนความคิดไปในสิ่งที่ดี ๆ ที่กำลังเกิดหรือยังไม่เกิด ซึ่งอาจช่วยให้พัฒนาตนเอง (personal growth) ให้สำนึกรู้จักตนเอง (self-reflection) และให้สำนึกถึงอำนาจและประโยชน์ของความพยายามของตน ยกตัวอย่างเช่น งานศึกษาในทหารผ่านศึก ไม่ว่าจะเป็นผู้ผ่านสงครามหรือการรักษาสันติภาพพบว่า ผู้ที่ตีความประสบการณ์การต่อสู้หรืออันตรายในเชิงบวกมักจะปรับตัวได้ดีกว่าผู้ที่ไม่ทำเช่นนี้
วิธีการรับมือแบบปรับตัวได้ดีอย่างอื่น ๆ รวมทั้งความหวัง (anticipation) ความเอื้ออาทร (altruism) และการสังเกตตนเอง (self-observation)
วิธียับยั้งใจ/ปฏิเสธไม่ยอมรับ
วิธีเหล่านี้ทำให้สำนึกน้อยลง (ในบางกรณีไม่มีเลย) ถึงความวิตกกังวล ภัยต่าง ๆ ความหวาดกลัวเป็นต้น ที่มาจากความรู้สึกว่ามีภัย
- การเปลี่ยนความคิด (displacement) เป็นการเปลี่ยนความรู้สึกเดือดร้อนไปยังสถานการณ์อื่นที่เป็นภัยน้อยกว่า
- การเก็บกดความคิด (repression) - เป็นวิธีที่บุคคลพยามยามกำจัดความคิด ความรู้สึก และอารมณ์อื่น ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ที่รู้สึกว่าเป็นภัยหรือทำให้กลุ้มใจ ไม่ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ ถ้าทำอย่างนี้ได้นาน ๆ นี่ยิ่งกว่า "การปฏิเสธว่าไม่จริง" (denial) ที่เสนอโดยซิกมุนด์ ฟรอยด์
- ปฏิกิริยาตรงกันข้าม (reaction formation) - เปลี่ยนความรู้สึก ความคิด หรือพฤติกรรมไปในทางตรงกันข้าม เช่น แทนความคิดที่ไม่ต้องการด้วยความคิดตรงกันข้าม (เช่นอาจระงับความรู้สึกรักร่วมเพศโดยเปลี่ยนเป็นเกลียดคนรักร่วมเพศทั้งหมด)
วิธีอื่น ๆ รวมทั้งการแก้คืน (undoing) การแยกตัวออกจากสถานการณ์ (dissociation) การปฏิเสธว่าไม่จริง (denial) การปฏิเสธว่าตัวเองไม่เป็นโดยโทษคนอื่น (projection) และการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง (rationalization) แม้นักวิชาการบางพวกจะอ้างว่า วิธีการรับมือโดยยับยั้งอาจจะเพิ่มระดับความเครียดในที่สุดเพราะไม่ได้แก้ปัญหาอะไร แต่การแยกตนเองออกจากตัวก่อความเครียดบางครั้งช่วยบรรเทาความเครียดอย่างชั่วคราว แล้วเพิ่มความพร้อมรับมือกับปัญหาในภายหลัง
วิธีที่ต้องทำการ
วิธีเหล่านี้ใช้รับมือกับความเครียดเมื่อต้องทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือถอยตัวออก
- แสดงออกสิ่งที่ไม่ควร (acting out) คือทำสิ่งที่ไม่สมควรซึ่งสังคมพิจารณาว่าเป็นปัญหา คือ แทนที่จะพิจารณาหรือแก้ปัญหา บุคคลจะทำสิ่งที่จัดว่า เป็นการปรับตัวที่ไม่ดี
- งอน (passive aggression) คือบุคคลรับมือโดยอ้อมกับความวิตกกังวลหรือความคิด/ความรู้สึกที่ไม่ดีซึ่งมาจากความเครียด โดยทำกระฟัดกระเฟียดหรือไม่พอใจต่อผู้อื่น การบ่นแต่ปฏิเสธความช่วยเหลือก็รวมอยู่ในหมวดนี้
การเสริมสุขภาพ
มีวิธีการอื่นเพื่อรับมือกับความเครียด ทำโดยป้องกันความวิตกกังวลและความเครียด ถ้าฝึกรับมือกับความเครียดทุกวัน ความรู้สึกเครียดและการรับมือกับมันโดยจัดเป็นเหตุการณ์ภายนอกก็จะรู้สึกว่าเป็นภาระน้อยลง
กลยุทธ์ที่แนะนำเพื่อปรับปรุงการแก้ความเครียดรวมทั้ง
- ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ คือวางแผนการออกกำลังกาย 3-4 ครั้งต่ออาทิตย์
- หาผู้ช่วยสนับสนุน เพื่อฟัง ให้คำแนะนำ และให้การสนับสนุนแก่กันและกัน
- บริหารเวลาที่มี - ตั้งระเบียบการใช้เวลา
- จินตนาการภาพตามแนะนำ เพื่อผ่อนคลายจิตใจ
- ผ่อนคลายกล้ามเนื้อตามลำดับ
- ฝึกเพื่อสื่อสารความต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ (assertiveness training)
- เขียนบันทึกประจำวัน เพื่อแสดงออกอารมณ์ที่แท้จริง เป็นการพิจารณาตนเอง
- ลดความเครียดในที่ทำงาน คือเปลี่ยนระบบการทำงาน เปลี่ยนสิ่งที่ต้องทำเพื่อลดความเครียด
วิธีเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ คือจัดว่าเป็นการปรับตัวที่ดีหรือไม่ดีก็ได้
การตอบสนองทางสรีรภาพ
ความเครียดที่มีผลต่อการสื่อสาร
ร่างกายตอบสนองต่อความเครียดโดยประการต่าง ๆ การปรับระดับสารเคมีในร่างกายเป็นวิธีอย่างหนึ่ง ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการปรับเปลี่ยนในร่างกายที่มีผลต่อการสื่อสาร
general adaptation syndrome
เมื่อวัดการตอบสนองของร่างกายต่อความเครียด นักจิตวิทยามักจะใช้แบบจำลอง general adaptation syndrome ของ นพ. แฮนส์ เซ็ลเย ซึ่งบ่อยครั้งเรียกว่าการตอบสนองต่อความเครียดแบบคลาสสิก เป็นเรื่องเกี่ยวกับภาวะธำรงดุล และมีระยะสามขั้นตอนคือ
- ปฏิกิริยาตกใจ (alarm reaction) เป็นระยะที่เกิดเมื่อตัวก่อความเครียดปรากฏ ซึ่งร่างกายก็จะเตรียมตัวรับมือ ส่วนสมอง คือ แกนไฮโปทาลามัส-พิทูอิทารี-อะดรีนัลและระบบประสาทซิมพาเทติกจะเริ่มทำงาน มีผลให้หลั่งฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต เช่น cortisol, เอพิเนฟรีน และ norepinephrine เข้าไปในเลือดเพื่อปรับการทำงานของร่างกาย คือ เพิ่มพลังงาน เพิ่มแรงกล้ามเนื้อ ลดความไวเจ็บ หน่วงระบบย่อยอาหาร และเพิ่มความดันโลหิต อนึ่ง กลุ่มนิวรอน locus coeruleus ภายในพอนส์ของก้านสมอง ซึ่งส่งแอกซอนไปยังส่วนต่าง ๆ ของสมอง ก็หลั่ง norepinephrine ไปที่นิวรอนอื่น ๆ โดยตรงด้วย norepinephrine ในระดับสูงซึ่งทำงานเป็นสารสื่อประสาทโดยออกฤทธิ์ที่หน่วยรับของมันในเขตสมองต่าง ๆ เช่นที่คอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า (prefrontal cortex) เชื่อว่ามีผลต่อ executive functions เช่น ความจำใช้งาน (working memory) ที่ทำงานไม่สมบูรณ์เนื่องจากความเครียด
- ระยะต่อต้าน/ขัดขืน (resistance) - ร่างกายจะต่อต้านความเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะนี้ จนกระทั่งหมดทรัพยากร ซึ่งนำไปสู่ระยะหมดแรง หรือจนกระทั่งหมดสิ่งเร้าที่ทำให้เครียด เมื่อร่างกายใช้ทรัพยากรหมดไปเรื่อย ๆ บุคคลก็จะรู้สึกเหนื่อยขึ้น ๆ และเสี่ยงต่อโรค นี่เป็นระยะที่โรคกายเหตุจิต (psychosomatic disorder) เริ่มปรากฏ
- ระยะเหนื่อย/หมดทรัพยากร (exhaustion) - ร่างกายได้หมดฮอร์โมนและทรัพยากรอื่น ๆ ที่ต้องใช้เพื่อจัดการตัวก่อความเครียด บุคคลจะเริ่มแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น วิตกกังวล หงุดหงิด เลี่ยงความรับผิดชอบและความสัมพันธ์กับผู้อื่น มีพฤติกรรมทำลายตนเอง และตัดสินใจไม่ดี เมื่อมีอาการเหล่านี้ ก็จะมีโอกาสกระทบกระทั่งกับผู้อื่นสูงขึ้น ทำลายความสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมโดยสิ้นเชิง การตอบสนองที่ระบบประสาทซิมพาเทติกทำงานมากเช่นนี้ บ่อยครั้งเรียกว่าการตอบสนองโดยสู้หรือหนี (fight or flight response) ซึ่งรวมการขยายม่านตา หลั่งเอ็นดอร์ฟิน เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจ ระงับกระบวนการย่อยอาหาร หลั่งเอพิเนฟรีน ขยายหลอดเลือดแดงเล็ก และยุบหลอดเลือดดำ การตอบสนองในระดับสูงเช่นนี้บ่อยครั้งไม่จำเป็นเพื่อรับมือต่อตัวก่อความเครียดและอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน แต่ก็เป็นรูปแบบการตอบสนองที่พบในมนุษย์ และบ่อยครั้งนำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพซึ่งปกติสัมพันธ์กับความเครียดในะระดับสูง
คุณภาพการนอน
การนอนหลับเป็นการพักผ่อนและฟื้นกำลังหลังจากทำงานทั้งวัน ดังนั้น การนอนให้พอจึงสำคัญมากสำหรับคนเครียดเพราะช่วยให้คิดได้ดีขึ้น แต่โชคไม่ดีว่า ความเครียดเปลี่ยนแปลงสภาพทางเคมีของร่างกายแล้วทำให้นอนยาก เช่น ฮอร์โมนสเตอรอยด์ที่หลั่งตอบสนองความเครียดคือ glucocorticoid สามารถขัดการนอน การนอนหลับมี 4 ระยะและระยะที่ลึกสุดและทำให้พักผ่อนได้มากสุด จะได้ก็ต่อเมื่อหลับแล้ว 1 ชม. ถ้าการนอนถูกขัดเรื่อย ๆ ก็จะไม่สามารถพักผ่อนได้เพียงพอ ซึ่งทำให้หงุดหงิดและไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประสบการณ์เครียดทางสังคมที่มีผลต่อการสื่อสาร
ความเครียดอาจก่อปัญหาหลายอย่าง อย่างหนึ่งที่รู้ก็คือสื่อสารได้ไม่ดี ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างที่ความเครียดมีผลต่อการสื่อสาร
ความแตกต่างทางวัฒนธรรม
วัฒนธรรมต่าง ๆ ของโลกสามารถจัดเป็น 2 หมู่ คือสังคมแบบปัจเจกบุคคล และสังคมแบบชุมชนนิยม
- สังคมแบบปัจเจกบุคคล เช่นที่พบในสหรัฐ ทุกคนเป็นอิสระจากกันและกัน มีความสำเร็จและเป้าหมายเป็นของตนเอง
- สังคมแบบชุมชนนิยม เช่นที่พบในประเทศเอเชียต่าง ๆ มองสังคมว่าต้องพึ่งซึ่งกันและกัน และให้ค่านิยมแก่ความถ่อมตัวและครอบครัว
ความแตกต่างทางวัฒนธรรมเช่นนี้อาจมีผลต่อการสื่อสารระหว่างบุคคลเมื่อเครียด ยกตัวอย่างเช่น สมาชิกของวัฒนธรรมแบบปัจเจกบุคคลอาจลังเลในการขอยาแก้ปวดเพราะไม่ต้องการถูกดูถูกว่าอ่อนแอ แต่สมาชิกของสังคมแบบชุมชนนิยมไม่จำเป็นต้องลังเล เพราะเป็นสังคมที่ทุกคนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
การเปลี่ยนแปลงภายในครอบครัว
การหย่าร้าง ความตาย และการแต่งงานใหม่ล้วนแต่เป็นเหตุการณ์สร้างความยุ่งเหยิงในครอบครัว แม้ทุกคนที่เกี่ยวข้องจะได้รับผล แต่ก็อาจมีผลแก่เด็กมากที่สุด เพราะอายุน้อยจึงยังไม่มีทักษะรับมือกับสถานการณ์ใหม่ ๆ เพราะเหตุนี้ เหตุการณ์เครียดอาจเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็ก การคบเพื่อนกลุ่มใหม่ หรือการเกิดนิสัยใหม่ที่ไม่ดี เป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่ความเครียดอาจเป็นตัวจุดชนวน
การตอบสนองต่อความเครียดที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือการคุยกับเพื่อนจินตนาการ เด็กอาจจะรู้สึกโกรธพ่อแม่หรือเพื่อนซึ่งตนรู้สึกว่าทำให้ชีวิตของตนต้องเปลี่ยนไป และต้องการหาคนคุยด้วยแต่ต้องไม่ใช่คนที่โกรธ ดังนั้น จึงคุยกับเพื่อนที่ไม่มี แต่นี่เท่ากับไม่คุยกับบุคคลรอบ ๆ ตัว
การช่วยเหลือทางสังคมและผลต่อสุขภาพ
นักวิจัยได้สนใจว่า รูปแบบและระดับความช่วยเหลือทางสังคมที่บุคคลหนึ่ง ๆ ได้รับจะมีผลต่อความเครียดและสุขภาพของบุคคลนั้นเท่าไร งานศึกษาต่าง ๆ ได้พบอย่างสม่ำเสมอว่า ความช่วยเหลือทางสังคมสามารถป้องกันผลความเครียดต่อร่างกายและจิตใจ โดยมีกลไกหลายอย่าง
แบบจำลองแบบ "ผลโดยตรง" (direct effect) แสดงว่า ความช่วยเหลือทางสังคมมีผลดีโดยตรงต่อสุขภาพเพราะเพิ่มอารมณ์ดี เพิ่มการปรับตัวได้ดี เพิ่มเสถียรภาพพร้อมความแน่นอนของอนาคต และช่วยกันปัญหาทางสังคม ทางกฎหมาย และทางเศรษฐกิจที่อาจมีผลลบต่อสุขภาพ ส่วนแบบจำลองแบบ "ผลกันชน" (buffering effect) แสดงว่า ความช่วยเหลือทางสังคมมีอิทธิพลสูงสุดต่อสุขภาพเมื่อเครียด ไม่ว่าจะช่วยให้มองสถานการณ์อย่างมีภัยน้อยลงหรือช่วยรับมือกับความเครียด และนักวิชาการก็ได้พบหลักฐานสนับสนุนแบบจำลองทั้งสองนี้
การช่วยเหลือทางสังคมนิยามโดยเฉพาะว่า เป็นการช่วยเหลือทางจิตใจหรือทางสิ่งของที่เครือข่ายสังคมให้ โดยมุ่งช่วยบุคคลให้รับมือกับความเครียด นักวิชาการโดยทั่วไปจะแยกแยะรูปแบบต่าง ๆ ของการช่วยเหลือทางสังคมรวมทั้ง การช่วยเหลือทางสิ่งของ (instrumental support) เช่น ทางการเงิน หรือการช่วยไปส่งหาหมอ, ทางข้อมูล (informational support) เช่น ให้ความรู้ ช่วยเรื่องการศึกษา หรือคำแนะนำเพื่อแก้ปัญหา, และทางอารมณ์ (emotional support) เช่น ให้ความเห็นอกเห็นใจ ให้กำลังใจ เป็นต้น
การช่วยเหลือทางสังคมสามารถลดความเครียดที่เกิดช่วงตั้งครรภ์
การสื่อสารกับคนเครียด
การช่วยเหลือของเพื่อนและชุมชนจะช่วยให้บุคคลสามารถสื่อสารได้เมื่อเครียด เพราะจะรู้สึกว่าเป็นสมาชิกของเครือข่ายสังคมที่ห่วงใยและสนใจกันและกัน ช่วยลดความเครียดและให้รับมือกับมันได้ดีกว่า การช่วยเหลือทางสังคมและทางจิตใจแก่กันและกันบ่งว่า สมาชิกสำคัญและมีคุณค่า
ความเครียดของบุคคลจะมีผลต่อคนรอบ ๆ ข้างโดยเฉพาะครอบครัว สมาชิกครอบครัวอาจประสบกับอารมณ์ที่ขัดแย้งกันหลายอย่างเมื่อต้องดูแลบุคคลที่รัก คือ ความกรุณา ความต้องการป้องกันภัย และความห่วงใยอาจผสมรวมกับความรู้สึกว่าหมดหนทางและเหมือนกับถูกติดกับ การให้ความช่วยเหลือทางจิตใจเป็นเรื่องสำคัญเมื่อช่วยสมาชิกครอบครัวให้รับมือกับปัญหาเมื่อต้องดูแลบุคคลที่รัก (ผู้เป็นคนเครียด)
การวัด
ความเครียดที่บุคคลกำลังประสบในชีวิตสามารถประเมินโดยเทียบกับค่าวัดเหตุการณ์ชีวิต ตัวอย่างเช่น มาตราที่จิตแพทย์พัฒนาขึ้นในปี 1967 และกำหนดเหตุการณ์เครียด 43 อย่างในชีวิต คือ Holmes and Rahe stress scale หรือ Social Readjustment Rating Scale (SRRS)
เพื่อคำนวณคะแนนรวม ให้บวกค่าการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา คะแนนเกิน 300 แสดงว่ามีโอกาสป่วย คะแนนระหว่าง 150-299 หมายถึงโอกาสเสี่ยงที่รองลงมา และคะแนนน้อยกว่า 150 คือมีโอกาสเสี่ยงป่วยเพียงเล็กน้อย
เหตุการณ์ชีวิต | ค่า |
---|---|
คู่ครองเสียชีวิต | 100 |
หย่ากับคู่ครอง | 73 |
แยกอยู่กับคู่ครอง | 65 |
ถูกจำคุก | 63 |
สมาชิกครอบครัวที่ใกล้ชิดเสียชีวิต | 63 |
บาดเจ็บหรือป่วย | 53 |
แต่งงาน | 50 |
ถูกไล่ออกจากงาน | 47 |
กลับดีกับคู่ครอง | 45 |
เกษียณ | 45 |
สุขภาพของสมาชิกครอบครัวไม่ดี | 44 |
ตั้งครรภ์ | 40 |
ปัญหาทางเพศ | 39 |
ได้สมาชิกใหม่ในครอบครัว | 39 |
การเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ | 39 |
การเงินเปลี่ยน | 38 |
เพื่อนสนิทเสียชีวิต | 37 |
เปลี่ยนอาชีพใหม่ | 36 |
ทะเลาะกันมากขึ้น | 35 |
การจำนอง/หนี้สินสำคัญ | 32 |
การถูกบังคับเอาทรัพย์จำนอง | 30 |
หน้าที่รับผิดชอบในการงานเปลี่ยน | 29 |
บุตรแยกไปอยู่ต่างหาก | 29 |
ปัญหากับญาติของสามีภรรยา | 29 |
ประสบความสำเร็จที่ดีเยี่ยม | 28 |
คู่ครองเริ่มหรือเลิกทำงาน | 26 |
เริ่มหรือหยุดเรียน | 26 |
สถานะความเป็นอยู่เปลี่ยนไป | 25 |
การเปลี่ยนนิสัยตนเอง | 24 |
ปัญหากับเจ้านาย | 23 |
เวลาหรือสภาพการทำงานเปลี่ยนไป | 20 |
เปลี่ยนที่อยู่ | 20 |
เปลี่ยนสถานศึกษา | 20 |
เปลี่ยนการพักผ่อนหย่อนใจ | 19 |
เปลี่ยนกิจกรรมทางศาสนา | 19 |
เปลี่ยนกิจกรรมทางสังคม | 18 |
การจำนอง/หนี้สินย่อย ๆ | 17 |
เปลี่ยนนิสัยการนอน | 16 |
เปลี่ยนจำนวนการนัดพบกันของครอบครัว | 15 |
เปลี่ยนนิสัยการกิน | 14 |
พักร้อน | 13 |
ทำผิดกฎหมายย่อย ๆ | 10 |
มีมาตราอีกรุ่นหนึ่งสำหรับเด็ก ดังต่อไปนี้
เหตุการณ์ชีวิต | ค่า |
---|---|
ตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจ | 100 |
พ่อแม่เสียชีวิต | 100 |
แต่งงาน | 95 |
พ่อแม่หย่ากัน | 90 |
เสียรูปโฉมอย่างมองเห็นได้ | 80 |
เป็นพ่อโดยไม่ได้แต่งงาน | 70 |
พ่อแม่ถูกจำคุกมากกว่า 1 ปี | 70 |
พ่อแม่แยกกันอยู่ | 69 |
พี่น้องเสียชีวิต | 68 |
เพื่อน ๆ เปลี่ยนการยอมรับ | 67 |
พี่หรือน้องสาวตั้งครรภ์โดยไม่ได้แต่งงาน | 64 |
พบว่าตนเป็นลูกเลี้ยง | 63 |
พ่อแม่แต่งงานใหม่กับพ่อ/แม่เลี้ยง | 63 |
เพื่อนสนิทเสียชีวิต | 63 |
มีความพิการแต่กำเนิดที่มองเห็นได้ | 62 |
ป่วยหนักต้องเข้า รพ. | 58 |
ตกวิชา | 56 |
ไม่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมกิจกรรมนอกชั้นเรียน | 55 |
พ่อหรือแม่เข้า รพ. | 55 |
พ่อแม่ถูกจำคุกเกิน 30 วัน | 53 |
เลิกกับแฟน | 53 |
เริ่มออกเดต | 51 |
ถูกพักเรียน | 50 |
เริ่มใช้ยาเสพติดหรือเหล้า | 50 |
ได้น้องใหม่ | 50 |
พ่อแม่ทะเลาะกันเพิ่มขึ้น | 47 |
พ่อแม่เสียงาน | 46 |
ประสบความสำเร็จที่ดีเยี่ยม | 46 |
ฐานะทางการเงินของพ่อแม่เปลี่ยนไป | 45 |
เข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการได้ | 43 |
เป็นนักเรียนปีสุดท้ายในไฮสกูล | 42 |
พี่น้องเข้า รพ. | 41 |
พ่อแม่ไม่อยู่บ้านเพิ่มขึ้น | 38 |
พี่น้องแยกออกไปอยู่เอง | 37 |
มีผู้ใหญ่คนที่สามเพิ่มขึ้นในบ้าน | 34 |
เป็นสมาชิกของโบสถ์อย่างสมบูรณ์ | 31 |
พ่อแม่ทะเลาะกันน้อยลง | 27 |
ทะเลาะกับพ่อแม่น้อยลง | 26 |
พ่อแม่เริ่มทำงาน | 26 |
เกณฑ์นี้ใช้ในจิตเวชเพื่อกำหนดผลของเหตุการณ์ชีวิต
ดูเพิ่ม
- ปฏิกิริยาเฉียบพลันต่อความเครียด
- การปรับตัว (จิตวิทยา)
- การจัดการความเครียด
- การบำบัดโดยการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม
- ความไม่ลงรอยกันทางประชาน
- การปรับตัวไม่ดี
- ความเจ็บป่วยทางอารมณ์และจิตใจ
- การลดความเครียดอิงสติ
- ความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ
- ความยืดหยุ่นได้ทางด้านจิตใจ
- ความเครียด (ชีววิทยา)