Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.
มะเร็งเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์แบบเรื้อรังชนิดบีเซลล์
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดลิมโฟไซติก | |
---|---|
เซลล์ CLL
| |
บัญชีจำแนกและลิงก์ไปภายนอก | |
ICD-10 | C91.1 |
ICD-9 | 204.1 |
ICD-O: |
M9823/3 (CLL) 9670/3 (SCL) |
DiseasesDB | 2641 |
MedlinePlus | 000532 |
eMedicine | med/370 |
NCI | มะเร็งเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์แบบเรื้อรังชนิดบีเซลล์ |
MeSH | D015451 |
มะเร็งเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์แบบเรื้อรังชนิดบีเซลล์ (อังกฤษ: B-cell chronic lymphocytic leukemia, B-CLL) หรือรู้จักในชื่อ มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดลิมโฟไซติก (อังกฤษ: chronic lymphoid leukemia, CLL) เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวประเภทที่พบมากที่สุด CLL มีผลกระทบต่อลิมโฟไซต์บีเซลล์ บีเซลล์ถูกสร้างขึ้นจากไขกระดูก เติบโตในต่อมน้ำเหลือง และโดยปกติจะสู้รับการติดเชื้อโดยสร้างแอนติบอดี เมื่อเป็นโรค ดีเอ็นเอของบีเซลล์จะได้รับความเสียหาย จนไม่สามารถสร้างแอนติบอดีได้ นอกเหนือจากนั้น บีเซลล์จะเติบโตนอกเหนือการควบคุมและจะสะสมอยู่ในไขกระดูกและเลือด ซึ่งจะไปเบียดเสียดเซลล์เลือดสุภาพดี CLL เป็นระยะหนึ่งของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองลิมโฟไซต์เล็ก (SLL) ซึงเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบีเซลล์ปรเะภทหนึ่ง ซึ่งมักเกิดขึ้นในต่อมน้ำเหลือง CLL และ SLL ถูกมองว่าเป็นโรคเบื้องหลังอย่างเดียวกัน เพียงแต่ปรากฏแตกต่างกัน
CLL เป็นโรคที่เกิดในผู้ใหญ่ แต่ในกรณีหายาก ก็เกิดในวัยรุ่นและเด็กสืบสายโลหิตได้เช่นกัน ผู้ป่วยมากกว่าร้อยละ 75 ซึ่งเพิ่งถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรค CLL มีอายุเกิน 50 ปี และส่วนใหญ่เป็นชาย
คนส่วนใหญ่ถูกวินิจฉัยโดยไม่มีอาการแสดง โดยผลการตรวจเลือดเป็นประจำซึ่งให้ค่าจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวสูง แต่ เมื่อโรคพัฒนาขึ้น CLL จะส่งผลให้ต่อมน้ำเหลือง ไตและตับบวม และทำให้เกิดโลหิตจางและการติดเชื้อตามมา CLL ช่วงแรกจะไม่ถูกรักษา และ CLL ระยะท้ายจะถูกรักษาด้วยเคมีบำบัดและแอนติบอดีชนิดโมโนโคลน (monoclonal antibody)
การวิเคราะห์ดีเอ็นเอได้จำแนก CLL ออกเป็นสองประเภทหลัก โดยมีการอยู่รอดแตกต่างกัน CLL ที่ให้ผลเป็นบวกสำหรับมาร์กเกอร์ ZAP-70 รอดชีพเฉลี่ย 5 ปี ส่วนชนิดที่ให้ผลเป็นลบสำหรับมาร์กเกอร์ ZAP-70 รอดชีพเฉลี่ยมากกว่า 25 ปี ทำให้ผู้ป่วยบางคนอาจไม่ได้เข้ารับการรักษาเลยตลอดชีวิต
สัญญาณและอาการแสดง
คนส่วนใหญ่ถูกวินิจฉัยโรคโดยปราศจากอาการแสดงอันเป็นผลจากการตรวจเลือดเป็นประจำซึ่งให้ค่าปริมาณเม็ดเลือดขาวที่สูง ที่พบได้น้อยกว่า CLL อาจสังเกตได้จากต่อมน้ำเหลืองที่ขยายใหญ่ขึ้นโดยไม่ต้องนับปริมาณเม็ดเลือดขาวหรือหลักฐานของโรคในเลือดเลย ซึ่งถูกเรียกว่า มะเร็งต่อมน้ำเหลืองลิมโฟไซต์เล็ก ในบางคน โรคอาจถูกตรวจพบได้หลังเซลล์เนื้องอกเข้าไปในไขกระดูกแล้ว ซึ่งทำให้เกิดโรคเลือดจาง ตามมาด้วยความเหนื่อยหรืออ่อนแอ
การรักษา
การรักษา CLL มุ่งไปยังการควบคุมโรคและอาการแสดงมากกว่าจะรักษาโดยตรง CLL รักษาได้โดยการทำเคมีบำบัด รังสีบำบัด ชีวบำบัดหรือการปลูกถ่ายไขกระดูก อาการแสดงบางครั้งถูกรักษาโดยการผ่าตัดหรือรังสีบำบัด
การรักษา CLL ระยะแรกแตกต่างกันขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องแม่นยำและความก้าวหน้าของโรค และขึ้นอยู่กับความพึงใจและประสบการของผู้ประกอบกิจสาธารณสุขด้วย มีเจ้าหน้าที่กว่าสิบคนถูกใช้ในการรักษา CLL
ทิศทางการวิจัย
กิจกรรมวิจัยศึกษาการรักษาหลายวิธีแยกกันหรือร่วมกัน กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ งานวิจัยปัจจุบันกำลังเปรียบเทียบรูปแบบการปลูกถ่ายไขกระดูกหลาย ๆ แบบ เพื่อดูว่าแบบใดที่ผู้ป่วยเข้ารับมากที่สุดและแบบใดดีที่สุดในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
นักวิจัยที่สถาบันมะเร็งอแบรมสัน (Abramson Cancer Center) แห่งโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย รายงานความสำเร็จขั้นต้นในการใช้ยีนบำบัด โดยการดัดแปลงทีเซลล์ด้วยกลไกทางพันธุกรรม ในการรักษา CLL การค้นพบดังกล่าว ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2554 อาศัยข้อมูลจากผู้ป่วยสามคนผู้ฉีดเซลล์ทีดัดแปลงเข้าไปในเลือด เซลล์ทีได้ถูกดัดแปลงเพื่อให้ยีนที่ให้เซลล์เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วในร่างกายและทำลายเซลล์บี รวมทั้งเซลล์ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งเม็ดเลือดขาว ผู้ป่วยสองคนเข้าสู่ระยะทุเลา (remission) ขณะที่การมีอยู่ของมะเร็งเม็ดเลือดขาวคนที่สามลดลงถึงร้อยละ 70 ผู้ป่วยคนหนึ่งที่ถูกวินิจฉัยเป็น CLL มากว่า 13 ปี และการรักษาเขาล้มเหลวก่อนที่จะเข้าร่วมในการวิจัยคลินิกได้ หนึ่งสัปดาห์หลังฉีดเซลล์ทีเข้าไป เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวในเลือดของเขาก็หายไป เซลล์ทียังคงถูกพบในกระแสเลือดของผู้ป่วยหกเดือนหลังกระบวนการนั้น หมายความว่าพวกมันจะยังสู้กับโรคได้หากมะเร็งเม็ดเลือดขาวกลับมาอีก นี่เป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ "ใช้ยีนบำบัดทำลายเนื้องอกมะเร็งได้สำเร็จในผู้ป่วยที่เป็นโรคมาก" บทบรรณาธิการหนึ่งในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ ยังได้กระตุ้นเตือน เพราะมีเพียงการวิจัยเพิ่มเติมที่จะชี้ชัดว่าการค้นพบดังแล้ว "เป็นความก้าวหน้าสู่การบำบัดที่ใช้ได้ในเชิงคลินิกและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง"