Мы используем файлы cookie.
Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.

รอบประจำเดือน

Подписчиков: 0, рейтинг: 0

ภาพแสดงความก้าวหน้าของรอบประจำเดือนและฮอร์โมนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

รอบประจำเดือน เป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติสม่ำเสมอที่เกิดขึ้นในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง (โดยเฉพาะมดลูกและรังไข่) ซึ่งทำให้เกิดการตั้งครรภ์ขึ้นได้ รอบประจำเดือนมีความจำเป็นต่อการผลิตเซลล์ไข่ และเตรียมมดลูกสำหรับการตั้งครรภ์ รอบประจำเดือนเกิดขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นและลดลงของเอสโตรเจน วงจรนี้ส่งผลให้ความหนาของเยื่อบุมดลูกและการเจริญเติบโตของไข่ ไข่จะถูกปล่อยออกจากรังไข่ประมาณวันที่ 14 ในรอบ; เยื่อบุผิวที่หนาขึ้นของมดลูกให้สารอาหารแก่ตัวเอ็มบริโอหลังฝังตัว หากไม่เกิดการตั้งครรภ์ เยื่อบุจะถูกปล่อยออกมาเกิดเป็นประจำเดือน หรือ "รอบเดือน"

หญิงถึง 80% รายงานว่ามีอาการในช่วงหนึ่งถึงสองสัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน อาการที่พบบ่อย ได้แก่ สิว เจ็บเต้านม ท้องอืด รู้สึกเหนื่อยล้า หงุดหงิดและพื้นอารมณ์แปรปรวน อาการเหล่านี้รบกวนชีวิตปกติและจัดเป็นกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนในหญิง 20 ถึง 30% และใน 3 ถึง 8% เป็นอาการที่รุนแรง

รอบแรกมักเริ่มระหว่างอายุ 12 ถึง 15 ปี เรียก การเริ่มแรกมีระดู (menarche) แต่อาจพบได้เร็วสุดอายุ 8 ปี ซึ่งยังถือว่าปกติอยู่ อายุเฉลี่ยของรอบแรกในหญิงประเทศกำลังพัฒนาพบช้ากว่าในหญิงประเทศพัฒนาแล้ว ระยะเวลาตรงแบบระหว่างวันแรกของรอบแรกจนถึงวันแรกของรอบถัดไป คือ 21 ถึง 45 วันในหญิงสาว และ 21 ถึง 35 วันในผู้ใหญ่ (เฉลี่ย 28 วัน) ประจำเดือนหยุดเกิดขึ้นหลังวัยหมดระดู ซึ่งปกติเกิดระหว่างอายุ 45 และ 55 ปี ปกติเลือดออกประมาณ 3 ถึง 7 วัน

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเป็นตัวกำหนดรอบประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยใช้การคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมนเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ รอบหนึ่งแบ่งออกเป็นสามระยะตามเหตุการณ์ในรังไข่ (รอบรังไข่) หรือในมดลูก (รอบมดลูก) รอบรังไข่ประกอบด้วยระยะถุงน้อย (follicular), การตกไข่ และระยะลูเทียม (luteal) ขณะที่รอบมดลูกแบ่งออกเป็นระยะมีประจำเดือน ระยะเพิ่มจำนวน (proliferative) และระยะหลั่ง (secretory)

การขับเลือดประจำเดือนหยุดเมื่อปริมาณเอสโตรเจนค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในระยะถุงน้อย และเยื่อบุมดลูกหนาตัวขึ้น ถุงน้อยในรังไข่เริ่มเติบโตภายใต้อิทธิพลของอันตรกิริยาระหว่างฮอร์โมนหลายชนิด และหลังผ่านไปหลายวัน ถุงน้อยจะเด่น (dominant) ขึ้นมาหนึ่งหรือสองถุง ส่วนถุงน้อยที่เหลือฝ่อลงและตายไป ประมาณกลางรอบ 24–36 ชั่วโมงหลังจากการเพิ่มขึ้นกระทันหันของฮอร์โมนลูทีไนซิง (luteinizing hormone, "ทำให้เหลือง") ถุงน้อยเด่นจะปล่อยเซลล์ไข่ออกมา เรียกเหตุการณ์นี้ว่า การตกไข่ หลังการตกไข่ เซลล์ไข่อยู่ได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมงหากไม่มีการปฏิสนธิ ส่วนถุงน้อยเด่นที่เหลืออยู่ในรังไข่จะกลายเป็นคอร์ปัสลูเทียม (corpus luteum, "กายเหลือง") ซึ่งมีหน้าที่หลักในการผลิตโปรเจสเตอโรนปริมาณมาก ภายใต้อิทธิพลของโปรเจสเตอโรน เยื่อบุมดลูกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อเตรียมรับการฝังตัวของเอ็มบริโอที่อาจเกิดขึ้นเพื่อทำให้เกิดการตั้งครรภ์ หากการฝังไม่เกิดขึ้นภายในประมาณสองสัปดาห์ คอร์ปัสลูเทียมจะม้วนเข้า ทำให้ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและสโตรเจนลดลงอย่างรวดเร็ว การลดลงของฮอร์โมนทำให้มดลูกสลัดเยื่อบุทิ้ง เป็นกระบวนการที่เรียก การมีประจำเดือน การมีประจำเดือนยังเกิดขึ้นในไพรเมตที่ใกล้ชิดกับมนุษย์ด้วย คือ ลิงไม่มีหางและลิง

การเริ่มต้นและความถี่

แผนภาพแสดงการสร้างเยื่อบุมดลูกและการสลายระหว่างรอบประจำเดือน

อายุเฉลี่ยของการเริ่มแรกมีระดู คือ 12–15 ปี ทั้งนี้บางทีเด็กอายุตั้งแต่ 8 ปีเริ่มมีประจำเดือนแล้ว และยังถือว่าปกติอยู่ คาบแรกนี้มักจะเกิดในหญิงประเทศกำลังพัฒนาช้ากว่าในหญิงประเทศพัฒนาแล้ว

อายุเฉลี่ยของการเริ่มแรกมีระดู ได้แก่ ประมาณ 12.5 ปีในสหรัฐ 12.7 ปีในแคนาดา 12.9 ปีในสหราชอาณาจักร และ 13.1 ปีในไอซ์แลนด์ ปัจจัยต่าง ๆ เช่น พันธุศาสตร์ อาหารและสุขภาพโดยรวมอาจมีผลต่อเวลาดังกล่าว

การหยุดรอบประจำเดือน ณ จุดสิ้นสุดของวัยเจริญพันธุ์ของหญิง เรียก วัยหมดระดู อายุเฉลี่ยของวัยหมดระดูในหญิงคือ 52 ปี และปกติพบระหว่าง 45 และ 55 ปี วัยหมดระดูก่อนอายุ 45 ถือว่า "ก่อนกำหนด" ในประเทศอุตสาหกรรม อายุของวัยหมดระดูเป็นผลมาจากปัจจัยทางวัฒนธรรมและชีวภาพเช่นเดียวกับอายุของการเริ่มแรกมีระดู อย่างไรก็ตาม ความเจ็บป่วย การผ่าตัดบางอย่าง หรือการรักษาทางการแพทย์อาจทำให้วัยหมดประจำเดือนเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติได้

ความยาวของรอบประจำเดือนหญิงนั้นแปรผันได้บ้าง คือ บางรอบสั้นบางรอบยาว หญิงที่มีความแตกต่างระหว่างรอบสั้นที่สุดและยาวที่สุดไม่เกิน 8 วันถือว่ามีรอบประจำเดือนสม่ำเสมอ ทั้งนี้ปกติหญิงมีความแปรผันของความยาวรอบหนึ่งไม่เกิน 4 วัน ความแปรผันของความยาวระหว่าง 8 ถึง 20 วันถือว่ามีรอบไม่สม่ำเสมอปานกลาง ส่วนความแตกต่างเกิน 21 วันถือว่าไม่สม่ำเสมออย่างยิ่ง

รอบประจำเดือนเฉลี่ยกินเวลา 28 วัน หญิงอายุต่ำกว่า 25 ปีมีความแปรปรวนของความยาวรอบประจำเดือนสูงสุด และอายุ 25 ถึง 39 ปีต่ำสุดหรือสม่ำเสมอที่สุด ต่อจากนั้นความแปรปรวนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยสำหรับหญิงอายุ 40 ถึง 44 ปี

ระยะลูเทียม (หลังตกไข่) ของรอบประจำเดือนนั้นมีความยาวเกือบเท่ากันในบุคคลส่วนใหญ่ (เฉลี่ย 14.13 วัน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.41 วัน) ขณะที่ระยะถุงน้อยมีแนวโน้มแปรปรวนมากกว่า (การแจกแจงล็อกปกติ 95% ของบุคคลมีระยะถุงน้อยอยู่ระหว่าง 10.3 ถึง 16.3 วัน) ระยะถุงน้อยยังดูเหมือนสั้นลงอย่างมีนัยสำคัญตามอายุ (ค่าเฉลี่ยเรขาคณิต 14.2 วันในหญิงอายุ 18–24 ปีเทียบกับ 10.4 วันในหญิงอายุ 40–44 ปี)

ผลกระทบต่อสุขภาพ

กายภาพ

หญิงบางส่วนที่มีอาการทางระบบประสาทมีอาการกำเริบเพิ่มขึ้นในเวลาเดียวกับรอบประจำเดือนแต่ละรอบ ตัวอย่างเช่น ทราบกันว่าการลดระดับเอสโตรเจนเป็นปัจจัยกระตุ้นของไมเกรน โดยเฉพาะเมื่อหญิงที่ป่วยเป็นไมเกรนนั้นกำลังรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดอยู่ด้วย หญิงหลายคนที่เป็นโรคลมชักมีอาการชักมากขึ้นในแบบรูปที่เชื่อมโยงกับรอบประจำเดือน เรียกว่า "โรคลมชักที่เกี่ยวข้องกับประจำเดือน" (catamenial epilepsy) ทั้งนี้ดูเหมือนโรคลมชักที่เกี่ยวข้องกับประจำเดือนมีหลายแบบรูป (เช่น โรคลมชักที่สอดคล้องกับเวลามีประจำเดือน หรือสอดคล้องกับเวลาตกไข่) และยังไม่มีการศึกษาความถี่ของอาการชักแน่ชัด การศึกษาของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งพบว่า เมื่อใช้บทนิยามจำเพาะหนึ่งมาอธิบาย หญิงที่มีโรคลมชักชนิดจำกัดเฉพาะส่วนที่ดื้อยากันชัก (intractable partial epilepsy) ประมาณหนึ่งในสามเป็นโรคลมชักที่เกี่ยวข้องกับประจำเดือน มีการเสนอว่าผลของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่ลดลงและเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้นเป็นตัวกระตุ้นอาการชัก เมื่อไม่นานมานี้ การศึกษาแสดงว่าเอสโตรเจนขนาดสูงอาจทำให้เกิดอาการชักหรือทำให้อาการทรุดลง ในขณะที่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนขนาดสูงสามารถออกฤทธิ์คล้ายยากันชัก การศึกษาโดยวารสารการแพทย์พบว่าหญิงขณะที่มีประจำเดือนนั้นมีโอกาสพยายามฆ่าตัวตายมากกว่ากลุ่มควบคุม 1.68 เท่า

มีการใช้หนูเป็นระบบทดลองเพื่อตรวจสอบกลไกที่เป็นไปได้ ในการใช้ระดับสเตอรอยด์เพศอาจควบคุมการทำหน้าที่ของระบบประสาท ระหว่างส่วนหนึ่งของรอบเป็นสัด (estrous) ของหนูเมื่อโปรเจสเตอโรนมีระดับสูงสุด ตัวรับกาบาของเซลล์ประสาท ชนิดย่อยเดลตา มีระดับสูงสุดด้วย เนื่องจากตัวรับกากบาเหล่านี้เป็นชนิดยับยั้ง เซลล์ประสาทที่มีตัวรับเดลตามากกว่าจะมีโอกาสปล่อยสัญญาณน้อยกว่าเซลล์ที่มีน้อยกว่า ระหว่างส่วนของรอบเป็นสัดของหนูที่ระดับเอสโตรเจนสูงกว่าโปรเจสเตอโรน ระดับของตัวรับเดลตาลดลง เพิ่มกัมมันตภาพของเซลล์ประสาท จึงเพิ่มความวิตกกังวลและความไวรับต่อการชัก

ระดับเอสโตรเจนอาจส่งผลต่อพฤติกรรมของต่อมไทรอยด์ ตัวอย่างเช่นในระยะลูเทียม (เมื่อระดับเอสโตรเจนต่ำ) การไหลเวียนของเลือดในต่อมไทรอยด์มีความเร็วต่ำกว่าในระยะถุงน้อย (เอสโตรเจนสูง)

ในหมู่หญิงที่อยู่ด้วยกันใกล้ชิด ครั้งหนึ่งเคยคิดกันว่าการเริ่มต้นมีประจำเดือนจะเกิดพร้อม ๆ กัน ปรากฏการณ์นี้มีการอธิบายครั้งแรกในปี 2514 และมีคำอธิบายที่เป็นไปได้ว่าเป็นฤทธิ์ของฟีโรโมนในปี 2541 การวิจัยในครั้งหลังตั้งคำถามถึงสมมติฐานดังกล่าว

การวิจัยชี้ว่าหญิงมีความน่าจะเกิดการบาดเจ็บของเอ็นไขว้หน้าในระยะก่อนตกไข่สูงกว่าระยะหลังตกไข่หลังมีนัยสำคัญ

ภาวะเจริญพันธุ์

หน้าต่างเจริญพันธุ์ โอกาสของการปฏิสนธิจากการร่วมเพศตามวันที่ของรอบประจำเดือนโดยสัมพัทธ์กับวันที่ตกไข่

ช่วงที่มีภาวะเจริญพันธู์สูงสุด (หรือเวลาที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงสุดจากการมีเพศสัมพันธ์) กินเวลาตั้งแต่ประมาณ 6 วันก่อนการตกไข่ จนถึง 2 วันหลังการตกไข่ (ประมาณ 8 วัน) ในรอบ 28 วันที่มีระยะลูเทียม 14 วันจะตรงกับประมาณสัปดาห์ที่ 2 จนถึงต้นสัปดาห์ที่ 3 มีการพัฒนาหลายวิธีขึ้นเพื่อช่วยให้หญิงกะประมาณวันที่ค่อนข้างเจริญพันธุ์และค่อนข้างไม่เจริญพันธุ์ในรอบเดือน เรียกว่า การนับระยะปลอดภัย (fertility awareness)

มีวิธีทดสอบภาวะเจริญพันธุ์หลายชนิด รวมถึงชุดตรวจปัสสาวะที่ตรวจจับฮอร์โมนในปัสสาวะ อุณหภูมิกายขณะพัก ผลการทดสอบปัสสาวะ หรือการเปลี่ยนแปลงของเมือกปากมดลูก วิธีการนับระยะปลอดภัยซึ่งอาศัยบันทึกความยาวรอบประจำเดือนอย่างเดียว เรียก วิธีที่อาศัยปฏิทิน (calender-based method) วิธีการที่ต้องมีการสังเกตอาการแสดงของภาวะเจริญพันธุ์หลักอย่างน้อยหนึ่งอย่างจากสามอย่าง (อุณหภูมิกายขณะพัก, มูกปากมดลูกและตำแหน่งปากมดลูก) เรียก วิธีที่อาศัยอาการ (symptoms-based method) วิธีการที่อาศัยฮอร์โมน เรียก วิธีฮอร์โมน (hormonal method) การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในรอบทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างอื่น เช่น อุณหภูมิหรือความหนืดของสารคัดหลั่งปากมดลูก วิธีการฮอร์โมนส่วนใหญ่ใช้การตรวจ LH, FSH หรือเอสโตรเจน การทดสอบ LH สามารถใช้ตรวจหาจุดสูงสุดของ LH หรือการเพิ่มกระทันหันของ LH ที่เกิดขึ้น 24 หรือ 36 ชั่วโมงก่อนไข่ตก การทดสอบเหล่านี้เรียก ชุดอุปกรณ์ทำนายการตกไข่ (ovulation predictor kits, OPKs) การทดสอบ FSH ในปัสสาวะสามารถใช้เพื่อตรวจหาปริมาณ FSH ที่ลดลงหรือจุดสูงสุดหรือการเพิ่มขึ้นกระทันหันเมื่อ FSH เริ่มลดลงประมาณ 6 วันก่อนตกไข่ แล้วกลับเพิ่มขึ้นกระทันหันและสูงสุดในเวลาใกล้เคียงกับ LH ทั้งระดับ FSH และ LH โดยสหสัมพันธ์บางทีเป็นตัวชี้วัดการเจริญพันธุ์หรือวัยหมดประจำเดือนด้วย อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่แปลผลอุณหภูมิกายขณะพัก ผลลัพธ์การทดสอบปัสสาวะ หรือการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาอื่น เรียก เครื่องเฝ้าสังเกตภาวะเจริญพันธุ์ (fertility monitors)

ภาวะเจริญพันธุ์ของหญิงยังขึ้นอยู่กับอายุด้วย เมื่อไข่สำรองทั้งหมดของหญิงเกิดขึ้นในทารกในครรภ์ ซึ่งกำหนดให้ตกไข่อีกหลายสิบปีต่อมา มีการเสนอว่าช่วงชีวิตยืนยาวนี้อาจทำให้มีโครมาตินของไข่ไวรับต่อปัญหาการแบ่งตัว การเสื่อมสลาย และการกลายพันธุ์มากกว่าโครมาตินของอสุจิ ซึ่งผลิตอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเจริญพันธุ์ของชาย แต่แม้มีสมมติฐานนี้ ก็มีการสังเกตพบผลกระทบของอายุบิดาที่คล้ายกันกับอายุมารดาด้วย

จากการวัดหญิงที่ได้รับการปฏิสนธินอกร่างกาย รอบประจำเดือนที่ยาวนานมีความสัมพันธ์กับอัตราการตั้งครรภ์และการคลอดที่สูงขึ้น แม้ปรับอายุแล้ว ประมาณว่าอัตราคลอดหลังจากผสมเทียมในหญิงที่มีความยาวรอบประจำเดือนยาวกว่า 34 วันมีสูงกว่าหญิงที่มีความยาวรอบประจำเดือนน้อยกว่า 26 วันเกือบสองเท่า ความยาวรอบประจำเดือนที่ยาวขึ้นนั้นยังสัมพันธ์กับการตอบสนองของรังไข่ต่อการกระตุ้นด้วยโกนาโดโทรฟินและคุณภาพของเอ็มบริโอดีขึ้น

ตะคริว

หญิงจำนวนมากประสบกับตะคริวที่เจ็บปวด หรือเรียก อาการปวดระดู ระหว่างการมีประจำเดือน ในหญิงอายุน้อย อาการปวดระดูมักเกิดโดยไม่มีโรคพื้นเดิม แต่ในหญิงสูงอายุขึ้น อาจมีโรคซ่อนอยู่เช่นเนื้องอกมดลูกหรือเยื่อบุมดลูกต่างที่ พบบ่อยขึ้นในหญิงที่มีประจำเดือนมาก ประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ การเริ่มแรกมีระดูก่อนอายุ 12 ปี และผู้มีน้ำหนักกายน้อย และพบน้อยลงในผู้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และมีลูกเร็ว การรักษาเบื้องต้นมีแผ่นร้อน ยาที่ช่วยได้มียาแก้อักเสบที่มิใช่สเตียรอยด์อย่างไอบูโพรเฟน ยาเม็ดคุมกำเนิด และห่วงอนามัยคุมกำเนิดที่มีโปรเจสโตเจน

พื้นอารมณ์และพฤติกรรม

ระยะต่าง ๆ ของรอบประจำเดือนมีความสัมพันธ์กับพื้นอารมณ์ของหญิง ในบางกรณีฮอร์โมนที่ปล่อยออกมาระหว่างรอบประจำเดือนอาจทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงด้วย การเปลี่ยนแปลงทางพื้นอารมณ์มีได้ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยถึงรุนแรง ระยะของรอบประจำเดือนและฮอร์โมนรังไข่อาจทำให้หญิงมีความร่วมรู้สึกเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนตามธรรมชาติในระยะต่าง ๆ ของรอบประจำเดือนได้รับการศึกษาร่วมกับคะแนนทดสอบ เมื่อทำแบบฝึกหัดความร่วมรู้สึก หญิงที่อยู่ในระยะถุงน้อยของรอบเดือนมีคะแนนสูงกว่าหญิงที่อยู่ในระยะกลางลูเทียม พบความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างระดับโปรเจสเตอโรนกับความสามารถในการรับรู้อารมณ์อย่างแม่นยำ ผลการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการรับรู้อารมณ์ในหญิงที่มีระดับโปรเจสเตอโรนต่ำจะทำได้ดีกว่าสูง หญิงที่อยู่ในระยะถุงน้อยมีความแม่นยำในการรับรู้อารมณ์ได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับหญิงในระยะกลางลูเทียม พบว่าหญิงมีปฏิกิริยามากขึ้นต่อสิ่งเร้าด้านลบเมื่ออยู่ในระยะกลางลูเทียมเมื่อเทียบกับระยะถุงน้อย ซึ่งบ่งชี้ว่ามีปฏิกิริยามากขึ้นต่อความเครียดทางสังคมในระยะกลางลูเทียม

มีการตรวจสอบการตอบสนองต่อความกลัวในหญิงระหว่างสองจุดในรอบประจำเดือน เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงสุดในระยะก่อนตกไข่ หญิงนั้นบอกการแสดงออกซึ่งความกลัวได้ดีกว่าหญิงที่กำลังมีประจำเดือนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นระยะที่ระดับเอสโตรเจนต่ำสุด หญิงบอกใบหน้าเป็นสุขได้ดีเท่า ๆ กัน แสดงให้เห็นว่าการตอบสนองความกลัวเป็นการตอบสนองที่ทรงพลังกว่า กล่าวโดยสรุป ระยะของรอบประจพเดือนและระดับเอสโตรเจนมีสหสัมพันธ์กับการประมวลผลความกลัวในสมองของหญิง

อย่างไรก็ดี การพิจารณาพื้นอารมณ์รายวันของหญิงโดยวัดระดับฮอร์โมนรังไข่นั้นมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยมาก เมื่อเทียบกับระดับความเครียดหรือสุขภาพทางกายแล้ว ฮอร์โมนรังไข่มีผลกระทบต่อพื้นอารมณ์โดยรวมน้อยกว่า ซึ่งบ่งชี้ว่าแม้การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนรังไข่อาจมีอิทธิพลต่อพื้นอารมณ์ แต่ระดับวันต่อวันแล้วไม่ได้มีอิทธิพลมากกว่าสิ่งกระตุ้นความเครียดอย่างอื่น

ความรู้สึกและพฤติกรรมทางเพศมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างรอบประจำเดือน ก่อนและระหว่างการตกไข่ เอสโตรเจนและแอนโดรเจนระดับสูงส่งผลให้หญิงมีความสนใจในกิจกรรมทางเพศเพิ่มขึ้น แต่หญิงสามารถแสดงความสนใจในกิจกรรมทางเพศได้ในทุกวันของรอบประจำเดือนไม่ว่าอยู่ในช่วงเจริญพันธุ์ ซึ่งต่างกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น

ทางเลือกคู่

พฤติกรรมที่มีต่อคู่มีเพศสัมพันธ์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงในระหว่างรอบประจำเดือนระยะต่าง ๆ เมื่อใกล้การตกไข่ หญิงอาจมีความดึงดูดทางกายภาพและสนใจเข้าร่วมสังสรรค์กับชายมากขึ้น ในระยะเจริญพันธุ์ของรอบ ดูเหมือนหญิงนิยมชายที่มีความสมชาย (masculine) มากขึ้น ความเข้มข้นของความหึงหวง (mate guarding) แตกต่างกันในระยะต่าง ๆ ของรอบ โดยหญิงในระยะเจริญพันธุ์มีความหึงหวงเพิ่มขึ้น

ระหว่างระยะเจริญพันธุ์ หญิงบางส่วนอาจรู้สึกความดึงดูดเพิ่มขึ้น มีความเพ้อฝันและความสนใจทางเพศในคู่ชายอื่น (extra pair men) เพิ่มขึ้นและคู่หลักลดลง หญิงบางคนอาจจีบชายอื่นที่ไม่ใช่คู่ และแสดงความนิยมการร่วมเพศกับชายอื่นที่ไม่ใช่คู่ตน

เสียง

ความนิยมจากระดับเสียงเปลี่ยนแปลงได้ตามรอบ เมื่อเสาะหาคู่ร่วมเพศระยะสั้น หญิงอาจนิยมชายระดับเสียงต่ำหรือทุ้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างระยะเจริญพันธุ์ ในระยะถุงน้อยตอนปลาย ปกติหญิงแสดงความชอบคู่ที่มีเสียงสมชายและลึก (masculine, deep voice) มีการวิจัยศึกษาความดึงดูดของเสียงหญิงตลอดรอบประจำเดือน ระหว่างระยะที่เจริญพันธุ์สูงสุดของรอบประจำเดือน มีหลักฐานจำนวนหนึ่งพบว่าเสียงหญิงนั้นได้รับการจัดอันดับว่ามีความดึงดูดมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ไม่พบผลนี้ในหญิงที่กินยาเม็ดคุมกำเนิด

กลิ่น

มีการสันนิษฐานว่าความชอบของหญิงต่อกลิ่นกายของชายเปลี่ยนไปตามรอบประจำเดือน หญิงในระยะเจริญพันธุ์ของรอบเดือนจัดให้ชายที่มีคะแนนความเป็นใหญ่ (dominance) สูงกว่า มีความเร้าทางเพศ (sexy) มากกว่า นอกจากนี้ระหว่างระยะที่เจริญพันธุ์สูงสุด หญิงยังนิยมกลิ่นของชายที่สมมาตร ไม่พบผลนี้ในหญิงที่รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด นอกจากนี้ระหว่างปลายระยะถุงน้อยและตกไข่ หญิงนิยมกลิ่นของชายที่สมชาย หญิงนิยมกลิ่นของแอนโดสเตอโรน (ตัวควบคุมระดับเทสโทสเทอโรน) อย่างมากในช่วงที่ภาวะเจริญพันธุ์สูงสุดในรอบประจำเดือน ยิ่งไปกว่านั้น หญิงอาจแสดงออกถึงความนิยมในกลิ่นที่ระบุถึงเสถียรภาพของการเจริญเติบโตด้วย

เมื่อพิจารณากลิ่นของหญิงตลอดรอบประจำเดือน มีหลักฐานบางชนิดพบว่าชายใช้สิ่งบอกใบ้ทางกลิ่นเพื่อทราบว่าหญิงใดกำลังตกไข่ ชายจัดให้หญิงที่กำลังตกไข่มีความดึงดูดมากกว่าโดยอาศัยกลิ่นหญิง ชายมีความนิยมกลิ่นของหญิงเจริญพันธุ์มากกว่า

ข้อค้นพบบทบาทของกลิ่นและการสื่อสารทางเคมีต่อพฤติกรรมของมนุษย์ยังเป็นที่ถกเถียงกัน แม้การศึกษาหลายครั้งรายงานบทบาทนี้ แต่ผลมักเล็กน้อยและอาศัยขนาดกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กทำให้มีโอกาสทดลองได้ผลซ้ำน้อย มีความกังขาจากเหตุการขาดหลักฐานที่ใช้การสอบปริมาณสารชีวภาพ (bioassay) สำหรับข้ออ้างว่าโมเลกุลสเตียรอยด์ของการศึกษาทั้ง 4 ครั้งมักยกมาระบุว่ามีบทบาทและอาจมีความลำเอียงในการเลือกจัดพิมพ์การศึกษา

ร่างกาย

ความนิยมสำหรับเครื่องหน้าในคู่ยังเปลี่ยนแปลงในรอบเดือนเช่นกัน ไม่พบความแตกต่างในความนิยมสำหรับคู่ร่วมเพศระยะยาวระหว่างรอบประจำเดือน แต่ในผู้ที่เสาะหาความสัมพันธ์ระยะสั้นมีโอกาสเลือกคู่ที่มีเครื่องหน้าสมชายมากกว่าปกติ ซึ่งพบเป็นพิเศษในกรณีที่มีระยะความเสี่ยงการปฏิสนธิสูง และเมื่อระดับเทสโทสเตอโรนในน้ำลายสูง อย่างไรก็ตามเมื่อหญิงอยู่ในระยะลูเทียม (ไม่เจริญพันธุ์) มักนิยมชายและหญิงที่มีใบหน้าออกไปทางหญิง (feminine) มากกว่า นอกจากนี้ยังแสดงความนิยมสำหรับหน้าที่ละม้ายตนและสุขภาพพอ ๆ กันระหว่างระยะลูเทียม ความนิยมเรื่องสุขภาพที่ปรากฏนั้นพบว่าเข้มที่สุดเมื่อระดับโปรเจสเตอโรนสูง นอกจากนี้ในระยะเจริญพันธุ์ของหญิง หญิงหลายคนชอบชายที่มีสีผิวคล้ำขึ้น การวิจัยเกี่ยวกับความสมมาตรของใบหน้าไม่ไปในทิศทางเดียวกัน

ความนิยมรูปลักษณ์นั้นเปลี่ยนแปลงได้ระหว่างระยะเจริญพันธุ์ของคาบ หญิงที่เสาะหาคู่ระยะสั้นมีความชอบชายที่สูงกว่าและสมชายกว่า หญิงยังแสดงความนิยมชายที่มีร่างกายสมชายเมื่อภาวะเจริญพันธุ์สูงสุด พบผลลัพธ์ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันสำหรับความนิยมความสมมาตรของร่างกายในระยะต่าง ๆ ของคาบ

บุคลิกภาพ

ในคู่ระยะสั้น ระหว่างระยะเจริญพันธุ์ หญิงอาจแสดงออกว่ารู้สึกดึงดูดกับชายที่เหนือกว่าซึ่งมีสถานภาพทางสังคม สำหรับคู่ระยะยาว ไม่มีการเปลี่ยนความชอบลักษณะบุคลิกภาพ (trait) ตลอดรอบประจำเดือน

พฤติกรรมการกิน

พบว่าหญิงมีนิสัยการกินต่างกันในขั้นต่าง ๆ ของรอบประจำเดือน โดยมีการรับประทานอาหารเพิ่มขึ้นในระยะลูเทียมเมื่อเทียบกับระยะถุงน้อย คิดเป็นประมาณ 10%

การศึกษาหลายชิ้นแสดงว่าระหว่างระยะลูเทียม หญิงบริโภคคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันเพิ่มขึ้น และการใช้พลังงาน 24 ชั่วโมงเพิ่มขึ้นระหว่าง 2.5–11.5% การบริโภคที่เพิ่มขึ้นในระยะลูเทียมอาจสัมพันธ์กับความชอบอาหารหวานและไขมันสูงเพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ทั้งนี้เนื่องจากในระยะดังกล่าวมีความต้องการมาเมแทบอลิซึมสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงมีแนวโน้มแสดงความอยากช็อกโกแลต และมากขึ้นไปอีกในระยะลูเทียม

หญิงที่มีกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) รายงานการเปลี่ยนแปลงความอยากอาหารในรอบประจำเดือนมากกว่าผู้ไม่มีอาการของ PMS ซึ่งอาจเป็นเพราะผู้มีอาการมีความไวกับการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนมากกว่า ในหญิงที่มีภาวะ PMS การรับประทานอาหารในระยะลูเทียมจะสูงกว่าระยะถุงน้อย อาการอื่นที่ยังไม่ได้กล่างถึงของ PMS รวมถึง การเปลี่ยนแปลงพื้นอารมณ์ และอาการทางกายก็เกิดระหว่างระยะลูเทียมเช่นกัน ไม่พบว่าผู้ที่มีและไม่มีอาการ PMS นิยมอาหารต่างชนิดกัน

มีการใช้ระดับฮอร์โมนแต่ละชนิดในรังไข่ในระยะต่าง ๆ ของรอบอธิบายพฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนแปลงนี้ มีผู้แสดงว่าโปรเจสเตอโรนส่งเสริมการสะสมไขมัน ทำให้เกิดการบริโภคอาหารที่มีไขมันมากขึ้นในระยะลูเทียมซึ่งมีระดับโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อระดับเอสโตรเจนสูง โดปามีนจะแปลงเป็นนอร์อะดรีนาลีนได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งนอร์อะดรีนาลีนนี้เป็นฮอร์โมนกระตุ้นการกิน ฉะนั้นจึงลดความอยากอาหาร ในมนุษย์พบว่าฮอร์โมนรังไข่เหล่านี้ในรอบประจพเดือนมีอิทธิพลต่อการกินไม่หยุด (binge eating)

มีการตั้งทฤษฎีว่าการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดน่าจะมีผลต่อพฤติกรรมการกินเพราะลดหรือกำจัดความแปรปรวนของระดับฮอร์โมน นอกจากนี้ก็มีความคิดว่าสารสื่อประสาทเซโรโทนินมีบทบาทในการรับประทานอาหาร เซโรโทนินเป็นตัวการสำหรับการยับยั้งการกินและควบคุมขนาดมื้ออาหาร ฯลฯ และมีการปรับระดับส่วนหนึ่งโดยฮอร์โมนรังไข่

สำหรับปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อความเสี่ยงของการรับประทานอาหารต่อกระบวนการของประจำเดือน ได้แก่ อายุน้อย น้ำหนักน้อย และอาหารเอง โดยรอบไม่ตกไข่เกิดจากการจำกัดอาหาร ตลอดจนการออกกำลังกายปริมาณมาก และข้อสุดท้ายรอบประจำเดือนจะเกิดผลกระทบจากอาหารมังสวิรัตมากกว่าอาหารที่มิใช่มังสวิรัต

สารเสพติด

การศึกษาผลของการบริโภคแอลกอฮอล์ต่อรอบประจำเดือนนั้นไม่มีผลลัพธ์ไปในทางเดียวกัน อย่างไรก็ดีหลักฐานบางส่วนเสนอว่าหญิงบริโภคแอลกอฮอลมากขึ้นระว่างระยะลูเทียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้นั้นดื่มจัดหรือมีประวัติติดสุราในครอบครัวอยู่แล้ว

ระดับของการติดสารเสพติดเพิ่มขึ้นตาม PMS ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดสารเสพติดอย่างนิโคติน ยาสูบ และโคเคน ทฤษฎีเหตุผลเบื้องหลังหนึ่งเสนอว่าการติดสารเสพติดระดับสูงการเสียการควบคุมตัวเองอันเกิดจากความต้องการทางเมแทบอลิซึมที่สูงขึ้นระหว่างระยะลูเทียม

ความผิดปกติของประจำเดือน

การตกไข่น้อย (oligoovulation) หมายถึง การตกไข่ไม่บ่อยหรือไม่สม่ำเสมอ ส่วนถ้าไม่ตกไข่เลย เรียก ภาวะไม่ตกไข่ (anovulation) ทั้งนี้ การขับประจำเดือนยังเกิดได้ตามปกติแม้ไข่ไม่ตก ซึ่งรอบนั้นเรียก รอบไม่ตกไข่ (anovulatory cycle) ในบางรอบ การเจริญของถุงน้อยอาจเริ่มต้นแต่ไม่เสร็จสมบูรณ์ กระนั้นยังมีการผลิตเอสโตรเจนและกระตุ้นการหนาตัวของมดลูก ประจำเดือนชนิดไข่ไม่ตกเกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกที่หนามากที่เกิดจากการได้รับเอสโตรเจนอย่างต่อเนื่องยาวนานเรียกว่า การตกเลือดแบบเล็ดลอดจากเอสโตรเจน (estrogen breakthrough bleeding) เลือดประจำเดือนแบบไม่มีไข่ตกเกิดจากระดับเอสโตรเจนที่ลดฮวบกระทันหัน เรียก การตกเลือดจากการขาด (withdrawal bleeding) รอบเดือนที่ไข่ไม่ตกปกติเกิดก่อนวัยหมดระดู และในหญิงที่มีภาวะกลุ่มอาการรังไข่มีถุงน้ำจำนวนมาก (polycystic ovarian syndrome)

การตกเลือดน้อยมาก (น้อยกว่า 10 มล.) เรียก อาการระดูน้อยเกิน (hypomenorrhea) รอบเดือนสม่ำเสมอที่มีช่วงห่างไม่เกิน 21 วัน เรียก อาการระดูถี่เกิน (polymenorrhea) ประจำเดือนที่มาถี่แต่รอบไม่สม่ำเสมอ เรียก มดลูกตกเลือด (metrorhagia) การตกเลือดหนักกระทันหันหรือปริมาณมากกว่า 80 มล. เรียกว่า ระดูมาก (menorrhagia) ประจำเดือนหนักที่เกิดถี่และไม่สม่ำเสมอ เรียก อาการระดูมากเกินและมดลูกตกเลือด (menometrorrhagia) รอบที่มีช่วงห่างเกิน 35 วันเรียก ภาวะประจำเดือนมาน้อย (oligomenorrhea)ภาวะขาดระดู (amenorrhea) หมายถึง ประจำเดือนขาดไปสาม ถึงหกเดือนขึ้นไป (โดยที่ไม่ใช่การตั้งครรภ์) ระหว่างวัยเจริญพันธุ์ของหญิง ขณะมีประจำเดือนอาจทำให้เกิดอาการปวดได้ เรียก อาการปวดระดู (dysmenorrhea)

รอบและระยะ

โอกาสการปฏิสนธิตามวันในรอบประจำเดือนโดยเทียบกับวันตกไข่
แผนภาพลำดับการควบคุมฮอร์โมนของรอบประจำเดือน

รอบประจำเดือนสามารถอธิบายได้ด้วยรอบรังไข่หรือมดลูก รอบรังไข่อธิบายการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในถุงน้อยของรังไข่ ในขณะที่รอบมดลูกอธิบายการเปลี่ยนแปลงในเยื่อบุมดลูก รอบทั้งสองแบ่งได้เป็นสามระยะ รอบรังไข่ประกอบด้วยระยะถุงน้อย การตกไข่และระยะลูเทียม ขณะที่รอบมดลูกประกอบด้วยประจำเดือน ระยะเพิ่มจำนวน และระยะหลั่ง

รอบรังไข่

ระยะถุงน้อย

ระยะถุงน้อยเป็นส่วนแรกของรอบรังไข่ ในระยะนี้ ถุงน้อยรังไข่จะเจริญเต็มที่และพร้อมปล่อยไข่ ครึ่งหลังของระยะนี้ซ้อนทับกับระยะเพิ่มจำนวนของรอบมดลูก

ด้วยอิทธิพลของฮอร์โมนกระตุ้นถุงน้อย (follicle stimulating hormone, FSH) ที่เพิ่มขึ้นระหว่างวันแรก ๆ ของรอบ จะมีถุงน้อยรังไข่จำนวนหนึ่งถูกกระตุ้น ถุงน้อยเหล่านี้ซึ่งมีมาตั้งแต่เกิด และมีการเจริญในช่วงอื่นของปีในกระบวนการสร้างถุงน้อย (folliculogenesis) และแต่ละถุงแย่งกันเจริญ ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนหลายชนิด ถุงน้อยเหล่านี้จะหยุดเจริญและฝ่อไป ยกเว้นถุงเดียวที่จะเป็นถุงน้อยเด่น (dominant follicle) ในรังไข่และจะเจริญต่อจนเต็มที่ ถุงน้อยที่เจริญเต็มที่ เรียก ถุงน้อยตติยภูมิหรือกราเฟียน (tertiary หรือ Graafian follicle) ภายในบรรจุไข่ (ovum)

การตกไข่

รังไข่ขณะที่กำลังปล่อยไข่

การตกไข่เป็นระยะที่สองของรอบรังไข่ โดยไข่ที่เจริญเต็มที่จะถูกปล่อยออกจากถุงน้อยรังไข่เข้าสู่ท่อนำไข่ (oviduct) ระหว่างระยะถุงน้อย เอสตราไดออล (estradiol) ยับยั้งการปล่อยฮอร์โมนลูทีไนซิง (lutienizing hormone, LH) จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า เมื่อไข่เจริญเกือบเต็มที่ ระดับของเอสตราไดออลจะถึงขีดแบ่งซึ่งผลนี้จะกลายเป็นย้อนกลับ และเอสโตรเจนจะกระตุ้นการผลิต LH ปริมาณมากแทน กระบวนการนี้ที่เรียก การเพิ่มกระทันหันของ LH (LH surge) เริ่มต้นประมาณวันที่ 12 ของรอบเฉลี่ย และอาจเกินเวลา 48 ชั่วโมง

ยังไม่เข้าใจกลไกแน่ชัดของการตอบสนองตรงกันข้ามของระดับ LH ต่อเอสตราไดออล มีการแสดงว่าการเพิ่มกระทันหันของฮอร์โมนปล่อยโกนาโดโทรปิน (gonadotropin-releasing hormone, GnRH) ในสัตว์เกิดขึ้นก่อนการเพิ่มกระทันหันของ LH เสนอว่าฤทธิ์หลักของเอสโตรเจนอยู่ที่ไฮโปทาลามัส ซึ่งควบคุมการหลั่ง GnRH โดยในไฮโปทาลามัสมีตัวรับเอสโตเจนต่างกันสองชนิด ได้แก่ ตัวรับเอสโตรเจนแอลฟาซึ่งเป็นตัวการของวงวนเอสตราไดออล-LH และตัวรับเอสโตรเจนบีตา ซึ่งเป็นตัวการของความสัมพันธ์เอสตราไดออล-LH เชิงบวก อย่างไรก็ดีในมนุษย์มีการแสดงว่าเอสตราไดออลระดับสูงสามารถกระตุ้นให้ LH เพิ่มขึ้นได้ 32 เท่า แม้ระดับของ GnRH และความถี่ของพัลส์คงที่ ซึ่งเสนอว่าเอสโตรเจนออกฤทธิ์โดยตรงต่อต่อมใต้สมองในการกระตุ้นการเพิ่มกระทันหันของ LH

การปล่อย LH ทำให้ไข่เจริญเต็มที่และทำให้ผนังของถุงน้อยในรังไข่อ่อนแอลง ทำให้ถุงน้อยที่เจริญเต็มที่ปลดปล่อยเซลล์ไข่ทุติยภูมิ ถ้าไข่มีการปฏิสนธิกับอสุจิ เซลล์ไข่ทุติยภูมิจะเจริญต่อเป็นโอโอติด (ootid) แล้วต่อไปเป็นไข่ที่เจริญเต็มที่ ถ้าไข่นั้นไม่เกิดการปฏิสนธิ เซลล์ไข่ทุติยภูมิจะสลายไป ไข่เจริญเต็มที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.2 มิลลิเมตร

การตกไข่นั้นจะมาจากรังไข่ฝั่งซ้ายหรือขวาเป็นแบบสุ่มเป็นหลัก และไม่มีกระบวนการประสานงานระหว่างสองข้าง ในบางรอบรังไข่สองข้างปล่อยไข่มาพร้อมกัน หากไข่ทั้งสองได้รับการปฏิสนธิจะเกิดแฝดต่างไข่ (แฝดไม่แท้)

หลังปล่อยออกจากรังไข่ ไข่จะถูกชายครุย (fimbria) โบกพัดเข้าสู่ท่อนำไข่ (fallopian tube) ทั้งนี้ชายครุยเป็นขอบของเนื้อเยื่อ ณ ปลายของท่อนำไข่แต่ละข้าง หลังผ่านไปวันหนึ่ง ไข่ที่ไม่ได้รับการปฏิสนธิจะสลายไปในท่อนำไข่

ปกติการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิเกิดในกระเปาะท่อนำไข่ (ampulla) ซึ่งเป็นส่วนที่กว้างที่สุดของท่อนำไข่ ไข่ที่ปฏิสนธิแล้วจะเริ่มกระบวนการเกิดเอ็มบริโอ (embryogenesis) หรือการเจริญทันที เอ็มบริโอที่กำลังเจริญนั้นใช้เวลาสามวันไปถึงมดลูก และอีกสามวันฝังตัวเข้าสู่เยื่อบุมดลูก ปกติเอ็มบริโอเข้าสู่ระยะบลาสโตซิสต์ (blastocyst) ในเวลาที่ฝังตัว

ในหญิงบางส่วน การตกไข่จะมีอาการปวดเป็นลักษณะเฉพาะซึ่งเรียก มิตดทิลชเมิร์ซ (mittelschmerz, ภาษาเยอรมันหมายถึง "การปวดตรงกลาง") การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนอย่างฉับพลันในขณะที่ตกไข่นั้น บางทีอาจทำให้เกิดการตกเลือดกลางรอบเดือนอย่างอ่อน ๆ ได้

ระยะลูเทียม

ระยะลูเทียมเป็นระยะสุดท้ายของรอบรังไข่ และตรงกับระยะหลั่งของรอบมดลูก ระหว่างระยะลูเทียม ฮอร์โมนต่อมใต้สมอง FSH และ LH ทำให้ส่วนที่เหลือของถุงน้อยเด่นเปลี่ยนสภาพเป็นคอร์ปัสลูเทียม (corpus luteum) ซึ่งผลิตโปรเจสเตอโรน ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นในต่อมหมวกไตเริ่มกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน ฮอร์โมนที่ผลิตโดยคอรปัสลูเทียมยังยังยับยั้งการผลิต FSH และ LH ที่คอร์ปัสลูเทียมที่จำเป็นต้องใช้คงสภาพตัวเอง ดังนั้นระดับของ FSH และ LH จึงลดลงอย่างรวดเร็ว และคอร์ปัสลูเทียมจะฝ่อลง ระดับของฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนที่ลดลงทำให้เกิดการมีประจำเดือนและการเริ่มต้นรอบถัดไป นับแต่การตกไข่จนถึงการถอนโปรเจสเตอโรนทำให้เริ่มการมีประจำเดือน กระบวนการดังกล่าวกินเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ซึ่งถือว่าปกติ สำหรับหญิงแต่ละคน ระยะถุงน้อยมักมีความยาวต่างกันในแต่ละรอบ แต่ระยะลูเทียมจะค่อนข้างคงที่

ทั้งนี้หากไข่ได้รับการปฏิสนธิ คอร์ปัสลูเทียมจะยังคงอยู่ ซินไซทิโอโทรโฟบลาสต์ (syncytiotrophoblast) ซึ่งเป็นชั้นนอกของบลาสโตซิสต์ (blastocyst) ที่ภายในบรรจุเอ็มบริโอ และชั้นนอกของรกในเวลาต่อมา ผลิตฮอร์โมนโกนาโดโทรปินเยื่อหุ้มทารกมนุษย์ (human chorionic gonadotropin, hCG) ซึ่งคล้ายกับ LH และทำหน้าที่คงสภาพคอร์ปัสลูเทียม จากนั้นคอร์ปัสลูเทียมจะหลั่งโปรเจสเตอโดรนต่อไปเพื่อรักษาการตั้งครรภ์ใหม่ การตรวจการตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ก็อาศัยดู hCG นี้เอง

รอบมดลูก

รอบมดลูกมีสามระยะ ได้แก่ ประจำเดือน, ระยะเพิ่มจำนวน และระยะหลั่ง

ประจำเดือน

ประจำเดือน (หรือเรียกเมนส์, ระดู, คาบ) เป็นระยะแรกของรอบมดลูก การตกเลือดประจำเดือนปกติเป็นสัญญาณว่าหญิงยังไม่ตั้งครรภ์ (แต่ก็ไม่เสมอไป มีบางปัจจัยที่เป็นเหตุให้ตกเลือดระหว่างตั้งครรภ์ได้ บางปัจจัยเกิดจำเพาะในการตั้งครรภ์ช่วงต้น และอาจทำให้ตกเลือดหนักได้)

ระดับของเอสตราไดออล (เอสโตรเจนหลัก) โปรเจสเตอโดรน ฮอร์โมนลูทีไนซิง และฮอร์โมนกระตุ้นถุงน้อย (FSH) ระหว่างรอบประจำเดือน โดยคิดความแปรผันระหว่างรอบและในหญิงแต่ละคนแล้ว (คลิกเพื่อดูภาพขยาย)

อาการระดูปกติเป็นรอบสม่ำเสมอที่ปกติกินเวลา 3 ถึง 5 วัน แต่พบได้ตั้งแต่ 2 ถึง 7 วันไม่ถือว่าผิดปกติ ปริมาณเลือดออกเฉลี่ยในการมีประจำเดือนรอบหนึ่งอยู่ที่ 35 มล. โดยปริมาณระหว่าง 10–80 มล. ถือว่าปกติ หญิงที่มีระดูมากจะมีความเสี่ยงต่อการขาดธาตุเหล็กมากกว่าคนทั่วไปเอนไซม์ชื่อ พลาสมิน ยับยั้งการจับลิ่มของเลือดในเลือดประจำเดือน

พบตะคริวเจ็บในท้อง หลังและต้นขาส่วนบนได้บ่อยในวันแรก ๆ ของการมีประจำเดือน อาการปวดมดลูกมากระหว่างมีประจำเดือน เรียก อาการปวดประจำเดือน และพบได้มากที่สุดในวัยรุ่นและหญิงผู้ใหญ่อายุน้อย (มีผลต่อหญิงวัยรุ่นประมาณ 67.2%) เมื่อเริ่มมีประจำเดือน อากาารของกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) จะค่อย ๆ ลดลง เช่น เจ็บเต้านมและความกระสับกระส่าย ผลิตภัณฑ์ถูกหลักอนามัย ได้แก่ ผ้าอนามัยและผ้าอ้อม (tampon) เป็นสิ่งสำคัญสำหรับใช้ระหว่างมีประจำเดือน

ระยะเพิ่มจำนวน

ระยะเพิ่มจำนวนเป็นระยะที่สองของรอบมดลูก เมื่อเอสโตรเจนทำให้เยื่อบุมดลูกเติบโตหรือเพิ่มจำนวนระหว่างช่วงนี้ เมื่อโตเต็มที่ ถุงน้อยรังไข่จะหลั่งเอสตราไดออลและเอสโตรเจนปริมาณเพิ่มขึ้น เอสโตรเจนทั้งสองรูปจะเริ่มการก่อตัวของเยื่อบุมดลูกชั้นใหม่ ซึ่งในทางมิญชวิทยา (histology) ระบุว่าเป็น เยื่อบุมดลูกแบบเพิ่มจำนวน (proliferative endometrium) เอสโตรเจนยังกระตุ้นคริปต์ (crypt) ในปากมดลูกให้หลั่งเมือกปากมดลูก ซึ่งทำให้มีสารคัดหลั่งของช่องคลอด ไม่ว่าหญิงนั้นเกิดความรู้สึกทางเพศหรือไม่ และหญิงที่กำลังนับวันปลอดภัยสามารถใช้เมือกดังกล่าวบอกได้

ระยะหลั่ง

ระยะหลั่งเป็นระยะสุดท้ายของรอบมดลูก และตรงกับระยะลูเทียมของรอบรังไข่ ระหว่างระยะหลั่ง คอร์ปัสลูเทียมผลิตโปรเจสเตอโรน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการทำให้เยื่อบุมดลูกพร้อมรับการฝังตัวของบลาสโตซิสต์ และรองรับการตั้งครรภ์ระยะแรก โดยการเพิ่มเลือดไหลเวียนและสารคัดหลั่งของมดลูก และลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบในมดลูก นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงทำให้เพิ่มอุณหภูมิกายขณะพักของหญิง

การยับยั้งการตกไข่

การคุมกำเนิด

ซองยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม เม็ดยาสีขาวเป็นยาหลอก ส่วนใหญ่มีไว้ให้กินยาต่อไปเรื่อย ๆ กันลืม

การคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนออกฤทธิ์ยับยั้งรอบประจำเดือน ผลป้อนกลับเชิงลบของโปรเจสโตเจนลดความถี่พัลส์ของการปล่อยฮอร์โมนปล่อยโกนาโดโทรปิน (GnRH) จากไฮโปทาลามัส ซึ่งลดการปล่อยฮอร์โมนกระตุ้นถุงน้อย (FSH) และฮอร์โมนลูทีไนซิง (LH) จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า ระดับ FSH ที่ลดลงยับยั้งการเจริญของถุงน้อย และป้องกันการเพิ่มปริมาณเอสตราไดออล ผลป้อนกลับเชิงลบของโปรเจสโตเจนและการขาดผลป้อนกลับเชิงบวกต่อการหลั่ง LH ของเอสโตรเจนป้องกันการเพิ่มปริมาณกระทันหันของ LH ในกลางรอบ การยับยั้งการเจริญของถุงน้อยและการขาดการเพิ่มปริมาณกระทันหันของ LH นี้เองที่ป้องกันการตกไข่

ระดับของการยับยั้งการตกไข่ในการคุมกำเนิดชนิดโปรเจสโตเจนอย่างเดียวขึ้นอยู่กับกัมมันตภาพและขนาดของโปรเจสโตเจน การคุมกำเนิดชนิดโปรเจสโตเจนอย่างเดียวขนาดต่ำ อันประกอบด้วยยาเม็ดเฉพาะโปรเจสโตเจน ยาคุมชนิดฝังใต้ผิวหนังยี่ห้อนอร์แพลนต์และจาเดล และระบบสอดในมดลูก มีเรนา (Mirena) ยับยั้งการตกไข่ในรอบประจำเดือนประมาณ 50% และส่วนใหญ่อาศัยฤทธิ์อย่างอื่นมากกว่า เช่น ทำให้เมือกปากมดลูกหนาขึ้น เพื่อประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด การคุมกำเนิดชนิกโปรเจสโตเจนอย่างเดียวขนาดกลาง ได้แก่ ยาเม็ดเฉพาะโปรเจสโตเจนยี่ห้อเซราเซต (Cerazette) และยาฝังใต้ผิวหนัง เน็กซ์พลานอน (Nexplanon) ยังปล่อยให้ถุงน้อยเจริญได้บ้าง แต่ยับยั้งการตกไข่ได้สม่ำเสมอในรอบประจำเดือน 97–99% โดยมีการเปลี่ยนแปลงต่อเมือกปากมดลูกแบบเดียวกับโปรเจสโตเจนขนาดต่ำมาก การคุมกำเนิดเฉพาะโปรเจสโตเจนขนาดสูง ยาฉีดยี่ห้อเดโป-โพรเวราและนอริสเตอแรต (์Noristerat) ยับยั้งการเจริญของถุงน้อยและการตกไข่อย่างสิ้นเชิง

การคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนผสมมีทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจน ผลป้อนกลับเชิงลบของเอสโตรเจนต่อต่อมใต้สมองส่วนหน้าลดการหลั่ง FSH อย่างมาก ทำให้การคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมนรวมมีประสิทธิภาพสูงกว่าในการยับยั้งการเจริญของถุงน้อยและป้องกันการตกไข่ เอสโตรเจนยังลดอุบัติการณ์ของการตกเลือดแบบเล็ดลอด (breakthrough bleeding) ที่ไม่สม่ำเสมอ การคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวมหลายชนิด ซึ่งประกอบด้วยยาเม็ด นูวาริง (NuvaRing) และแผ่นแปะคุมกำเนิด ปกติใช้เพื่อทำให้เกิดการตกเลือดจากการขาดอยู่แล้ว ในรอบปกติ ประจำเดือนเกิดเมื่อระดับเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนลดลงอย่างรวดเร็ว การหยุดใช้ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวมชั่วคราว (สัปดาห์ที่ใช้ยาหลอก ไม่ใช้แผ่นแปะหรือห่วงเป็นเวลา 1 สัปดาห์) มีฤทธิ์เหมือนกับการปล่อยให้เยื่อบุมดลูกหลุดลอกตัว หากไม่ประสงค์ให้ตกเลือดจากการขาด อาจใช้ฮอร์โมนรวมอย่างต่อเนื่องก็ได้ แต่จะมีความเสี่ยงของการตกเลือดแบบเล็ดลอดสูงขึ้น

การให้นมบุตร

การให้นมบุตรทำให้เกิดผลป้อนกลับเชิงลบต่อการหลั่งแบบพัลส์ของฮอร์โมนหลั่งโกนาโดโทรปิน (GnRH) และฮอร์โมนลูทีไนซิง (LH) ขึ้นอยู่กับความเข้มของผลป้อนกลับเชิงลบ หญิงให้นมบุตรอาจมีการเจริญของถุงน้อยถูกยับยั้งโดยสิ้นเชิง แต่ไม่มีการตกไข่ หรือรอบประจำเดือนปกติอาจดำเนินต่อไปได้ การระงับการตกไข่มีโอกาสสำเร็จสูงขึ้นตามความบ่อยของการดูดหัวนมของทารก การผลิตโปรแลคตินที่เกิดขึ้นจากการดูดหัวนมดังกล่าวมีความสำคัญต่อการคงภาวะขาดระดูเนื่องจากการหลั่งน้ำนม โดยเฉลี่ยหญิงที่ให้นมบุตรอย่างเดียวโดยที่ทารกดูดนมบ่อยครั้งจะกลับมามีประจำเดือนประมาณ 14.5 เดือนหลังคลอด มีการตอบสนองหลากหลายในหญิงที่ให้นมบุตรแต่ละคน อย่างไรก็ดี บางคนก็กลับมามีประจำเดือนภายใน 2 เดือน แต่บางคนก็ขาดประจำเดือนได้ถึง 42 เดือนหลังคลอด

การรักษาอย่างอื่น

การชักนำการตกไข่และการกระตุ้นมากเกินของรังไข่แบบมีการควบคุม (controlled ovarian hyperstimulation) เป็นเทคนิคที่ใช้ในการช่วยเจริญพันธุ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับยาช่วยเจริญพันธุ์ เพื่อรักษาการตกไข่ และ/หรือ ผลิตถุงน้อยรังไข่หลายถุง

สามารถชะลอประจำเดือนได้โดยใช้โปรเจสเตอโรนหรือโปรเจสติน สำหรับวัตถุประสงค์นี้ การรับประทานโปรเจสเตอโรนหรือโปรเจสตินทางปากระหว่างวันที่ 20 ของรอบพบว่าชะลอประจำเดือนได้อย่างน้อย 20 วันและประจำเดือนจะเริ่มหลังหยุดใช้ยานี้ 2–3 วัน

สังคมและวัฒนธรรม

ผลิตภัณฑ์อนามัยประจำเดือน

มีผลิตภัณฑ์อนามัยประจำเดือนหลายชนิดสำหรับจัดการกับประจำเดือน ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวใช้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อหลีกก่อให้เกิดความเสียหายต่อเสื้อผ้า โดยทั่วไปใช้ในประเทศตะวันตก และพบน้อยกว่าในประเทศด้อยพัฒนาบางส่วนของโลก ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เช่น ผ้าอนามัยและผ้าอ้อม (ใช้แล้วทิ้ง) แผ่นรองประจำเดือนผ้า และถ้วยอนามัย (ซึ่งใช้ซ้ำได้) อาจใช้ผลิตภัณฑ์ทำมือดัดแปลงได้ด้วย เช่น ฝ้าย ผ้า กระดาษชำระ

ในปีหลัง ๆ ปัญหาการเข้าไม่ถึงผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้รู้กันกว้างขวางยิ่งขึ้น และเป็นหัวใจของการอภิปรายว่าจะยกเลิกภาษีส่วนเกินของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ หรือแจกให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือไม่ ในปี 2561 ประเทศสกอตแลนด์เป็นประเทศแรกของโลกที่แจกผ้าอนามัยในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

การแยกสันโดษระหว่างมีประจำเดือน

กาารให้การศึกษาเพิ่มความตระหนักแก่หญิงและเด็กหญิงเพื่อแก้ไขหรือลดธรรมเนียมฉาวปฑีในประเทศเนปาล

ในบางวัฒนธรรม หญิงถูกบังคับให้แยกเดี่ยวระหว่างมีประจำเดือน เพราะถูกมองว่าสกปรก อันตรายหรือนำพาโชคร้ายแก่ผู้พบ มีการปฏิบัติอยู่ในบางส่วนของเอเชียใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเนปาล ฉาวปฑี (chhaupadi) เป็นการปฏิบัติทางสังคมที่เกิดในส่วนตะวันตกของประเทศเนปาลสำหรับหญิงฮินดู ซึ่งขัดขวางหญิงมิให้ดำเนินกิจวัตรประจำวันระหว่างมีประจำเดือน หญิงถือว่าไม่บริสุทธิ์ระหว่างช่วงนี้ และถูกกีดกันออกนอกบ้าน และให้อยู่ในเพิงสัตว์ แม้ศาลสูงสุดเนปาลวินิจฉัยให้มิชอบด้วยกฎหมายแล้วในปี 2548 แต่ประเพณียังคงเปลี่ยนแปลงได้ช้า หญิงและเด็กหญิงในวัฒนธรรมที่ยังถือปฏิบัติการแยกสันโดษนี้มักถูกจำกัดให้อยู่ในกระท่อมประจำเดือน ซึ่งเป็นสถานที่แยกสันโดษที่ใช้ในวัฒนธรรมที่มีข้อห้ามประจำเดือนที่เข้มงวด ในช่วงหลัง ๆ ประเพณีนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักเพราะมีผู้เสียชีวิต เนปาลกำหนดให้ประเพณีดังกล่าวเป็นความผิดอาญาในปี 2560 หลังมีรายงานผู้เสียชีวิตเนื่องจากถูกบังคับให้แยกสันโดษเป็นเวลานาน แต่การปฏิบัตินี้ยังคงดำเนินต่อ

ศัพทมูลวิทยา

คำว่า "menstruation" ในทางศัพทมูลวิทยา มีความสัมพันธ์กับ "ดวงจันทร์" คำว่า "menstruation" และ "menses" นั้นมาจากคำภาษาละติน mensis (เดือน) ซึ่งมาจากภาษากรีก mene (ดวงจันทร์) และรากของคำภาษาอังกฤษ month และ moon

ดวงจันทร์

แม้ว่าความยาวเฉลี่ยของรอบประจำเดือนมนุษย์จะคล้ายคลึงกับดิถี แต่ในมนุษย์สมัยใหม่ทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์กัน เชื่อว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นเรื่องบังเอิญ การรับแสงไม่ปรากฏว่ามีผลต่อรอบประจำเดือนในมนุษย์ การวิเคราะห์อภิมานของการศึกษาปี 2539 ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างรอบประจำเดือนของมนุษย์กับดิถี เช่นเดียวกับข้อมูลที่วิเคราะห์จากแอพติดตามรอบชื่อ "คลู" ที่หญิง 1.5 ล้านคนเป็นผู้ให้ข้อมูล จำนวน 7.5 ล้านรอบประจำเดือน อย่างไรก็ดี พบว่าดิถีและรอบประจำเดือนเฉลี่ยยาวแทบเท่ากัน

งาน

ในหลายประเทศ สภานิติบัญญัติและบริษัทอนุญาตให้ลาพักระหว่างมีประจำเดือนอย่างเป็นทางการ โดยพบทั้งมีรายได้และไม่มีรายได้ มักพบในทวีปเอเชียเป็นหลัก ประเทศที่มีนโยบายดังกล่าว ได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ การปฏิบัติดังกล่าวเป็นที่ถกเถียงในวัฒนธรรมตะวันตกเนื่องจากมีความกังวลว่าจะยิ่งส่งเสริมการรับรู้ว่าหญิงอ่อนแอ ไร้ประสิทธิภาพ รวมทั้งกังวลว่าไม่ยุติธรรมกับชายด้วย

แหล่งข้อมูลอื่น

วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ Menstrual cycle


Новое сообщение