Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.
ความภูมิใจแห่งตน
ในสังคมวิทยาและจิตวิทยา ความภูมิใจในตน หรือ ความภูมิใจแห่งตน หรือ การเคารพตนเอง หรือ การเห็นคุณค่าในตัวเอง (อังกฤษ: self-esteem) เป็นการประเมินคุณค่าตนเองโดยทั่วไปที่เป็นอัตวิสัยและอยู่ในใจ เป็นทั้งการตัดสินและทัศนคติต่อตนเอง ความภูมิใจในตนอาจรวมความเชื่อ (เช่น ฉันเก่ง ฉันมีคุณค่า) และอารมณ์ความรู้สึก เช่น การได้ชัยชนะ ความซึมเศร้า ความภูมิใจ และความอับอาย หนังสือปี 2550 ให้คำนิยามว่า "ความภูมิใจในตนเป็นการประเมินในเชิงบวกหรือเชิงลบเกี่ยวกับตัวเอง คือ เรารู้สึกกับตัวเองอย่างไร" เป็นแนวคิดทางจิตวิทยา (psychological construct) ที่น่าสนใจเพราะว่านักวิจัยเชื่อว่ามันเป็นตัวพยากรณ์ที่ทรงอิทธิพลต่อผลบางอย่าง เช่น การเรียนเก่ง ความสุข ความพึงพอใจในชีวิตแต่งงานและในความสัมพันธ์กับผู้อื่น และพฤติกรรมอาชญากรรม ความภูมิใจอาจจะเป็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ (เช่น ฉันเชื่อว่าฉันเป็นนักเขียนที่ดีและมีความสุขเพราะเหตุนั้น) หรืออาจเป็นการประเมินรวม (เช่น ฉันเชื่อว่าฉันเป็นคนไม่ดี และรู้สึกไม่ดีกับตนเองโดยทั่วไป) นักจิตวิทยามักจะพิจารณาความภูมิใจในตนว่าเป็นลักษณะบุคลิกภาพที่คงยืน (คือเป็น trait) แม้ว่า สภาวะที่ชั่วคราวและเป็นเรื่องปกติ (คือเป็น state) ก็มีด้วยเหมือนกัน ไวพจน์ของคำภาษาอังกฤษว่า self-esteem รวมทั้ง self-worth (การเห็นคุณค่าของตน) self-regard (การนับถือตน) และ self-respect (ความเคารพในตน)
ประวัติ
การระบุความภูมิใจในตนโดยเป็นแนวคิดทางจิตวิทยาเชื่อว่าเริ่มจากงานของ นพ. วิลเลียม เจมส์ คือคุณหมอเจมส์ได้ระบุด้านต่าง ๆ ของอัตตา (self) โดยมีลำดับชั้นสองชั้น คือ กระบวนการรู้ (เรียกว่า 'I-self') และความรู้เกี่ยวกับตนที่เป็นผล (เรียกว่า 'Me-self' ) สังเกตการณ์และการเก็บข้อมูลของ I-self สร้างความรู้ 3 ประเภท ซึ่งรวมกันเป็น Me-self 3 ประเภทคือ ความรู้เรื่องตนทางกาย ตนทางสังคม และตนทางจิตวิญญาณ ตนทางสังคมเป็นสิ่งที่ใกล้ที่สุดกับความภูมิใจในตนเอง ซึ่งประกอบด้วยลักษณะต่าง ๆ ที่คนอื่นเห็น ส่วนตนทางกายเป็นตัวแทน (representation) ของร่างกายและทรัพย์สมบัติ ตนทางจิตวิญญาณเป็นตัวแทนแบบพรรณนา (descriptive representations) และเป็นลักษณะที่ได้ประเมิน (evaluative dispositions) เกี่ยวกับตน และมุมมองว่าความภูมิใจในตนเป็นทัศนคติเกี่ยวกับตนโดยรวม ๆ ก็ยังคงอยู่ทุกวันนี้
ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ขบวนการพฤติกรรมนิยมได้หลีกเลี่ยงการศึกษากระบวนการทางจิตใจ อารมณ์ความรู้สึก ที่ต้องมองเข้าข้างใน แล้วใช้การศึกษาแบบปรวิสัยผ่านการทดลองทางพฤติกรรมที่สังเกตเห็นสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม เพราะว่า พฤติกรรมนิยมมีความคิดว่ามนุษย์ก็เหมือนสัตว์อย่างอื่นที่ตกอยู่ในกฎการเสริมแรง และเสนอเปลี่ยนจิตวิทยาให้เป็นวิทยาศาสตร์ที่อาศัยหลักฐานการทดลอง คล้ายกับเคมีหรือชีววิทยา โดยเป็นผลความคิดเช่นนี้ การทดลองทางคลินิกเกี่ยวกับความภูมิใจในตนจึงได้ความสนใจน้อย เพราะว่านักพฤติกรรมนิยมคิดว่า เป็นประเด็นที่ทดสอบด้วยการวัดได้ไม่ดี
ต่อมาในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 การเพิ่มความนิยมของปรากฏการณ์วิทยาและจิตวิทยามนุษยนิยม ได้สร้างความสนใจเกี่ยวกับความภูมิใจในตนอีกครั้งหนึ่ง ความภูมิใจในตนพบว่ามีบทบาทสำคัญต่อการเข้าถึงศักยภาพของตน (self-actualization) และในการรักษาความผิดปกติทางจิตต่าง ๆ นักจิตวิทยาได้เริ่มพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างจิตบำบัดกับความพึงพอใจในชีวิตของบุคคลที่ภูมิใจในตนสูง ว่าเป็นประโยชน์ในการรักษา จึงได้เกิดไอเดียใหม่ ๆ ซึ่งเสริมเติมต่อแนวคิดเรื่องความภูมิใจในตน รวมทั้งการช่วยให้เข้าใจเหตุผลว่า ทำไมบางคนจึงมักจะรู้สึกว่าตนมีคุณค่าน้อย และการเข้าใจว่าทำไมบางคนจึงท้อถอยและไม่สามารถเข้าใจปัญหาความท้าทายด้วยตนเอง
ในกลางคริสต์ทศวรรษ 1960 นักสังคมวิทยาคนหนึ่ง (Morris Rosenberg) จึงนิยามคำนี้ว่าเป็นความรู้สึกว่าตนมีคุณค่า และได้พัฒนาแบบวัด Rosenberg self-esteem scale (RSES) ซึ่งกลายเป็นแบบวัดความภูมิใจที่ใช้มากที่สุดในสังคมศาสตร์
ในปัจจุบัน ทฤษฎีการประเมินตัวเองหลัก (core self-evaluations ตัวย่อ CSE) รวมความภูมิใจในตนว่าเป็นมิติ 1 ใน 4 มิติที่บุคคลประเมินตัวเอง รวมทั้ง locus of control, neuroticism, และความมั่นใจในความสามารถของตน (self-efficacy) โดยทฤษฎีตรวจดูเป็นครั้งแรกในปี 2540 และตั้งแต่นั้นได้พิสูจน์ว่า สามารถพยากรณ์ผลการทำงานหลายอย่าง โดยเฉพาะก็คือความพอใจในงานและประสิทธิภาพการทำงาน ความภูมิใจในตนจริง ๆ แล้วอาจเป็นมิติที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในทฤษฎี CSE เพราะเป็นคะแนนประมวลความรู้สึกที่มีแก่ตนเอง
ผลต่อนโยบายของรัฐ
มีองค์กรทั้งของรัฐและนอกภาครัฐที่รับรองความสำคัญของความภูมิใจในตนเริ่มตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 จนเรียกได้ว่ามีขบวนการภูมิใจในตนได้เกิดขึ้น ขบวนการนี้ได้ใช้เป็นหลักฐานว่า งานวิจัยทางจิตวิทยาสามารถมีผลต่อนโยบายของรัฐ ไอเดียหลักของขบวนการก็คือว่า ความภูมิใจในตนต่ำเป็นมูลรากปัญหาของบุคคล จึงเป็นมูลรากปัญหาสังคมด้วย ผู้นำขบวนการนักจิตบำบัดคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า "ผมไม่สามารถคิดถึงปัญหาทางจิตใจเพียงอย่างเดียวเริ่มตั้งแต่ความวิตกกังวลและความซึมเศร้า ความกลัวความใกล้ชิดและความสำเร็จ จนถึงการตีคู่ชีวิตและทารุณกรรมทางเพศต่อเด็ก ที่ไม่สามารถสืบสายไปยังปัญหาการมีความภูมิใจในตนต่ำได้" แต่ว่าความภูมิใจในตนเชื่อว่าเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมของโลกตะวันตกที่เน้นความเป็นตัวของตัวเอง เนื่องจากว่า ความภูมิใจในตนต่ำไม่เป็นปัญหาในประเทศที่เน้นผลส่วนรวมเช่นญี่ปุ่น
แนวคิดเรื่องปัญหาที่เกิดจากการมีความภูมิใจในตนต่ำทำให้สมาชิกสภารัฐแคลิฟอร์เนียคนหนึ่งจัดตั้ง "คณะทำงานเฉพาะกิจในเรื่องความภูมิใจในตนและความรับผิดชอบส่วนตัวและทางสังคม" ขึ้นในปี 2529 โดยเชื่อว่า คณะทำงานจะสามารถสู้ปัญหาต่าง ๆ ของรัฐเริ่มตั้งแต่อาชญากรรม การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น จนถึงปัญหาการเรียนไม่ดีและมลภาวะ แล้วเปรียบเทียบการเพิ่มความภูมิใจในตนว่าเหมือนให้วัคซีนเพื่อป้องกันโรค คือสามารถช่วยป้องกันประชาชนจากความรู้สึกเหมือนถูกถล่มท่วมทับโดยปัญหาชีวิต คณะทำงานได้จัดตั้งคณะวิชาการเพื่อทบทวนวรรณกรรมในเรื่องความภูมิใจในตน แต่ว่า คณะนักวิชาการกลับพบความสัมพันธ์น้อยมากระหว่างความภูมิใจในตนต่ำและผลที่อ้างว่ามี ซึ่งเป็นหลักฐานว่า การมีความภูมิใจในตนต่ำไม่ใช่รากปัญหาทางสังคมทั้งหมด และไม่สำคัญเท่าที่คิดแต่ตอนแรก แต่ว่า ผู้เขียนรายงานนี้ก็ยังเชื่อว่า ความภูมิใจในตนเป็นตัวแปรอิสระที่มีผลต่อปัญหาสังคมใหญ่ ๆ คณะทำงานสลายตัวในปี 2538 แล้วจึงมีการจัดตั้งองค์กรที่มีจุดประสงค์เดียวกันต่อ ๆ มา โดยในที่สุดเป็น National Association for Self-Esteem (NASE)
ทฤษฎี
ทฤษฎีในตอนต้นหลายทฤษฎีเสนอว่า ความภูมิใจในตนเป็นความต้องการหรือแรงจูงใจพื้นฐานของมนุษย์ ศาสตราจารย์นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ดร. อับราฮัม มาสโลว์ รวมความภูมิใจในตนเป็นส่วนของทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของเขา โดยแยกแยะความภูมิใจสองอย่าง คือ ความต้องการได้ความยอมรับนับถือจากผู้อื่น และการเคารพตนเองในรูปการรักตัวเอง, ความมั่นใจในตน, ทักษะหรือความสามารถ แต่ว่า ความนับถือจากผู้อื่นเชื่อว่าเปราะบางกว่าและเสียไปได้ง่ายกว่าการเคารพตนเอง ตาม ดร. มาสโลว์ ถ้าไม่ได้ความภูมิใจในตนตามที่จำเป็น บุคคลนั้นก็จะพยายามหามันและไม่สามารถพัฒนาให้ถึงศักยภาพของตนได้ และความภูมิใจที่ดีที่สุดก็คือที่เราได้จากผู้อื่นอย่างสมควรจะได้ ซึ่งเป็นอะไรที่มากกว่าชื่อเสียงหรือคำยกยอ
ส่วนทฤษฎีต่าง ๆ ในปัจจุบันตรวจสอบเหตุผลว่าทำไมมนุษย์จึงมีแรงจูงใจให้ดำรงการเคารพตนไว้ในระดับสูง มีทฤษฎี (Sociometer theory) ที่อ้างว่า ความภูมิใจในตนวิวัฒนาการขึ้นเพื่อเช็คสถานะทางสังคมและการยอมรับของกลุ่มสังคม ส่วนอีกทฤษฎีหนึ่ง (Terror Management Theory) อ้างว่า ความภูมิใจในตนมีหน้าที่ป้องกันและลดระดับความวิตกกังวลเกี่ยวกับชีวิตและความตาย
ความภูมิใจในตนเป็นเรื่องสำคัญเพราะว่ามันสะท้อนให้เห็นว่าเรามองทั้งตัวเองและค่านิยมส่วนตัวอย่างไร ดังนั้นจึงมีผลกับเราและพฤติกรรมที่เรามีสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ส่วน ศ. ดร. คารล์ รอเจอร์ส (2445 - 2530) ผู้โปรโหมตจิตวิทยามนุษยนิยม สันนิษฐานว่า รากฐานปัญหาหลายอย่างของมนุษย์มาจากการเกลียดตัวเอง และการมองตัวเองว่าไม่มีคุณค่าและเป็นคนที่ใคร ๆ รักไม่ได้ ซึ่งเป็นเหตุให้เขาเชื่อถึงความสำคัญในการยอมรับคนไข้อย่างไม่มีข้อแม้ ซึ่งเมื่อทำได้ ก็จะปรับความภูมิใจในตนของคนไข้ ดังนั้น ในช่วงการบำบัดคนไข้ของเขา เขาจะให้ความนับถือแก่คนไข้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จริงเช่นนั้น ต่อจากนั้นจิตวิทยามนุษยนิยมจึงมองความภูมิใจในตนว่าเป็นสิทธิที่โอนให้กันไม่ได้สำหรับทุกคน ดังสรุปดังต่อไปนี้
“ | มนุษย์ทุกคน โดยไร้ข้อยกเว้น ในฐานะเพียงแค่เป็นมนุษย์ สมควรได้ความเคารพนับถือที่ไม่มีเงื่อนไขจากทุกคน
เขาสมควรจะเคารพนับถือตนเองและเคารพนับถือโดยผู้อื่น |
” |
การวัด
ความภูมิใจปกติวัดโดยใช้แบบวัดที่ผู้ได้วัดรายงานเอง แบบที่ใช้มากที่สุดคือ RSES (Rosenberg, 2508) เป็นแบบวัด 10 คำถามที่ให้ผู้รับการวัดบ่งระดับที่ตนเห็นด้วยกับคำถามเกี่ยวกับตนเอง ส่วนแบบวัดทางเลือก คือ The Coopersmith Inventory มี 50 คำถามเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ และถามผู้รับการวัดว่าตนคิดว่าบุคคลอื่นเหมือนหรือไม่เหมือนกับตนมากแค่ไหน ถ้าได้คะแนนที่แสดงว่านับถือตนเองอย่างชัดเจน แบบวัดมองผู้รับการวัดว่าปรับตัวเข้ากับชีวิตได้ดี ถ้าคะแนนแสดงว่ารู้สึกละอายใจ ก็จะพิจารณาว่าเสี่ยงต่อการมีความผิดปกติทางสังคมบางอย่าง
ส่วนแบบวัดโดยนัย (implicit measure) เริ่มใช้ตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ซึ่งอาศัยการวัดการประมวลการรู้คิด (cognitive processing) ที่เชื่อว่าสัมพันธ์โดยนัยกับความภูมิใจในตน รวมทั้งการวัดโดยงานเช่น Name letter effect (ที่บุคคลชอบใจอักษรที่อยู่ในชื่อของตนมากกว่าอักษรอื่น ๆ) และการวัดโดยอ้อมเช่นนี้ออกแบบเพื่อให้ลดความสำนึกว่ากำลังได้รับการประเมินเรื่องอะไร
เมื่อวัดความภูมิใจโดยอ้อม นักจิตวิทยาจะแสดงสิ่งเร้าที่เกี่ยวกับตนกับผู้รับการวัดและวัดว่า บุคคลจะสามารถระบุสิ่งเร้าอย่างอื่นไม่ว่าจะเป็นเชิงบวกหรือเชิงลบได้เร็วขนาดไหน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหญิงได้สิ่งเร้าว่า "หญิง" และ "มารดา" นักจิตวิทยาจะวัดว่าเธอสามารถระบุคำเชิงลบ คือ "ชั่วร้าย (evil)" หรือระบุคำเชิงบวก คือ "ใจดี (kind)" ได้เร็วขนาดไหน
พัฒนาการในชีวิต
ประสบการณ์ในชีวิตมีผลต่อพัฒนาการของความภูมิใจในตนอย่างสำคัญ ในชีวิตระยะต้น ๆ พ่อแม่มีอิทธิพลสำคัญต่อความภูมิใจในตนและพิจารณาว่าเป็นสาเหตุของประสบการณ์ทั้งเชิงบวกเชิงลบที่เด็กจะมี ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขจากพ่อแม่ช่วยให้เด็กพัฒนาความรู้สึกว่ามีคนห่วงใยและนับถือ ซึ่งมีผลต่อความภูมิใจในตนเมื่อเด็กโตขึ้น
เด็กประถมที่ภูมิใจในตนสูงมักจะมีพ่อแม่ที่เด็ดขาดแต่เป็นห่วง ช่วยเหลือสนับสนุน ตั้งขอบเขตพฤติกรรมให้แก่เด็ก และให้ออกความเห็นเมื่อตัดสินใจ แม้ว่างานศึกษาจะแสดงเพียงแค่ค่าสหสัมพันธ์ระหว่างสไตล์ความเป็นพ่อแม่แบบให้ความอบอุ่น ช่วยเหลือสนับสนุน (โดยหลักคือแบบ authoritative และ permissive) กับเด็กมีความภูมิใจสูง แต่ว่าสไตล์ความเป็นพ่อแม่เช่นนี้สามารถมองได้ว่าเป็นเหตุพัฒนาการทางความภูมิใจในตนของเด็ก ประสบการณ์วัยเด็กที่ทำให้เกิดความภูมิใจรวมทั้งพ่อแม่ฟัง พ่อแม่พูดด้วยดี ๆ ได้รับความเอาใจใส่และความรัก มีการแสดงคุณค่าต่อความสำเร็จ และสามารถยอมรับความผิดพลาดและความล้มเหลว ประสบการณ์ที่ทำให้ภูมิใจในตนต่ำรวมทั้ง ถูกด่าว่าอย่างรุนแรง ถูกทารุณกรรมไม่ว่าจะทางกาย ทางเพศ หรือทางอารมณ์ ไม่ได้รับความเอาใจใส่ ถูกหัวเราะเยาะ ถูกล้อ หรือหวังให้เพอร์เฝ็กต์ตลอดเวลา
ในช่วงที่อยู่ในโรงเรียน การเรียนได้ดีจะเป็นตัวช่วยสร้างความภูมิใจในตน เด็กที่เรียนดีตลอดหรือเรียนตกตลอดจะมีผลสำคัญต่อความภูมิใจในตน ประสบการณ์ทางสังคมจะเป็นตัวช่วยความภูมิใจในตนอีกอย่างหนึ่ง ในขณะที่เติบโตผ่านวัยเรียน เด็กจะเริ่มเข้าใจและรู้จักความแตกต่างของตัวเองกับเพื่อน โดยเปรียบเทียบกับเพื่อน เด็กจะประเมินว่าตนทำได้ดีกว่าหรือแย่กว่าเพื่อนในกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาความภูมิใจในตน และมีอิทธิพลต่อความรู้สึกดีชั่วที่มีต่อตัวเอง
เมื่อถึงวัยรุ่น อิทธิพลจากเพื่อนจะสำคัญมากยิ่งขึ้น วัยรุ่นประเมินตัวเองโดยความสัมพันธ์กับเพื่อนที่ใกล้ชิด การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อน ๆ สำคัญมากต่อพัฒนาการของความภูมิใจในตนในเด็ก เพราะการได้ความยอมรับจากเพื่อนทำให้เกิดความั่นใจและความภูมิใจ เทียบกับการไม่ยอมรับที่ทำให้เหงา ไม่มั่นใจในตน และภูมิใจในตนต่ำ
เด็กวัยรุ่นจะมีความภูมิใจในตนสูงขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงวัยกลางคน แต่จากวัยกลางคนจึงถึงวัยชรา ความภูมิใจจะตกลงแม้ว่าจะไม่ชัดเจนว่าตกน้อยหรือตกมาก เหตุผลที่แปรไปเช่นนี้อาจเป็นเพราะปัญหาสุขภาพ สมรรถภาพทางการรู้คิด และฐานะทางสังคม-เศรษฐกิจในวัยชรา
ไม่พบความแตกต่างกันระหว่างเพศในเรื่องพัฒนาการทางความภูมิใจในตนงานศึกษาตามรุ่นแสดงว่า ไม่มีความแตกต่างกันในวิถีการดำเนินของความภูมิใจตลอดชั่วชีวิตระหว่างคนรุ่นต่าง ๆ เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เช่น การให้เกรดสูงขึ้นในสถาบันศึกษา หรือสื่อทางสังคม (social media)
ความชำนาญสูง การไม่ทำอะไรเสี่ยง ๆ และสุขภาพที่ดีกว่าเป็นตัวพยากรณ์ความภูมิใจในตนที่สูงกว่า ในเรื่องบุคลิกภาพ คนที่มีอารมณ์เสถียร คนที่สนใจสิ่งภายนอก และคนที่พิถีพิถัน ภูมิใจในตนสูงกว่า ตัวพยากรณ์เหล่านี้แสดงว่า ความภูมิใจในตนมีลักษณะที่ยั่งยืน (เป็น trait) ที่คงยืนเหมือนกับทั้งบุคลิกภาพและเชาวน์ปัญญา แม้ว่า นี่จะไม่ได้หมายความว่าไม่สามารถเปลี่ยนได้
ในสหรัฐอเมริกา วัยรุ่นเชื้อสายละตินอเมริกา/สเปนจะมีความภูมิใจในตนที่ต่ำกว่าวัยรุ่นเชื้อสายแอฟริกาและคนขาว แต่จะเพิ่มสูงกว่าเล็กน้อยโดยอายุ 30 ปี ส่วนคนเชื้อสายแอฟริกาเพิ่มความภูมิใจในตนอย่างรวดเร็วกว่าในช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่เบื้องต้นเทียบกับคนขาว แต่ว่า ในช่วงวัยชราก็จะประสบการลดความภูมิใจที่รวดเร็วกว่า
ความอับอาย
ความอับอายอาจมีบทบาทในผู้ที่มีปัญหาความภูมิใจต่ำ ความอับอายจะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่รู้สึกลดคุณค่าทางสังคม เช่นเมื่อได้การประเมินทางสังคมที่ไม่ดี (เช่น คนวิจารณ์) ซึ่งจะทำให้เกิดสภาพทางจิตใจที่บ่งการลดความภูมิใจในตนและการเพิ่มความอับอาย โดยอาจบรรเทาได้โดยให้เห็นใจ/มีกรุณาต่อตนเอง
ตนจริง ๆ, ตนในอุดมคติ, ตนที่ขยาด
มีพัฒนาการการประเมินตัวเอง 4 ระดับโดยสัมพันธ์กับตนจริง ๆ (real self) ตนในอุดมคติ (ideal self) และตนที่ขยาด (dreaded self) คือ
- ระยะการตัดสินดีชั่ว (Moral Judgment) - บุคคลจะระบุตนจริง ๆ ตนในอุดมคติ และตนที่ขยาด ด้วยคำเรียกทั่ว ๆ ไป เช่น "ดี" หรือ "ไม่ดี" โดยระบุถึงตนอุดมคติและตนจริง ๆ โดยแนวโน้มการกระทำหรือนิสัย และมักระบุตนที่ขยาดว่าไม่เก่งหรือมีนิสัยไม่ดี
- ระยะพัฒนาอัตตา (Ego Development) - บุคคลจะระบุตนอุดมคติและตนจริง ๆ โดยลักษณะคงยืน (trait) ตามทัศนคติและตามการกระทำ และระบุตนที่ขยาดว่าไม่เก่งตามเกณฑ์สังคมหรือว่าเห็นแก่ตัว
- ระยะเข้าใจตนเอง (Self-Understanding) บุคคลระบุตนอุดมคติและตนจริง ๆ ว่ามีเอกลักษณ์หรือลักษณะนิสัยเป็นอันเดียวกัน และระบุตนที่ขยาดว่า ล้มเหลวที่จะมีชีวิตตามอุดมคติหรือตามบทบาทที่คาดหวัง โดยบ่อยครั้งเพราะมีปัญหาจริง ๆ ระดับนี้จะรวมเอาการตัดสินดีชั่วที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นที่ครอบคลุมมากขึ้น เป็นระยะที่ความภูมิใจในตนอาจเสียหายเพราะไม่รู้สึกว่าตนเองทำได้ตามที่คาดหวัง ความรู้สึกเช่นนี้จะมีผลต่อความภูมิใจในตนพอสมควร โดยมีผลยิ่งกว่าเมื่อเชื่อว่าตนกำลังกลายเป็นตนที่ขยาด
ประเภท
ความภูมิใจในตนสูง
บุคคลที่ภูมิใจในตนในระดับดีจะ
- เชื่อมั่นในค่านิยมและหลักการบางอย่าง และพร้อมจะปกป้องมันเมื่อเจอความเป็นปฏิปักษ์ โดยรู้สึกปลอดภัย/มั่นใจพอที่จะเปลี่ยนมันได้เมื่อได้ประสบการณ์ใหม่
- สามารถทำตามแผนที่ตนคิดว่าเป็นทางดีที่สุด เชื่อการตัดสินใจของตนเอง โดยไม่รู้สึกผิดถ้าคนอื่นไม่ชอบ
- ไม่เสียเวลากังวลเรื่องที่เกิดในอดีตมาเกินไป หรือเรื่องที่อาจเกิดในอนาคต แม้ว่าจะสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีตและวางแผนเพื่ออนาคต แต่ก็อยู่ในปัจจุบันโดยมาก
- เชื่อมั่นสมรรถภาพตัวเองที่จะแก้ปัญหา ไม่ลังเลแม้เมื่อเกิดความล้มเหลวหรือมีอุปสรรค และสามารถขอให้คนอื่นช่วยได้ถ้าจำเป็น
- พิจารณาว่าตนมีศักดิ์ศรีมนุษย์เทียบเท่ากับคนอื่น ไม่ใช่มากกว่าหรือน้อยกว่า โดยยอมรับความแตกต่างในเรื่องพรสวรรค์ เกียรติยศ หรือฐานะทางเศรษฐกิจที่ไม่เท่ากัน
- เข้าใจว่าตนเป็นคนน่าสนใจและมีคุณค่าต่อคนอื่นอย่างไร อย่างน้อยก็กับบุคคลที่มีมิตรภาพด้วย
- ขัดขืนการถูกครอบงำโดยคนอื่น ร่วมมือกับคนอื่นก็ต่อเมื่อเหมาะสมและสะดวก
- ยอมรับความรู้สึกและความต้องการของตนที่ต่าง ๆ กัน ไม่ว่าจะบวกหรือลบ แสดงความในใจเหล่านี้ต่อคนอื่นเมื่อต้องการ
- ชอบทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง
- ไวความรู้สึกและความต้องการของคนอื่น เคารพกฎสังคมที่ยอมรับโดยทั่วไป และไม่ถือสิทธิไม่ต้องการได้ประโยชน์ที่เป็นการสูญเสียของผู้อื่น
- สามารถทำงานเพื่อแก้ปัญหา และแสดงความไม่ชอบใจโดยไม่ดูถูกตนเองหรือผู้อื่นเมื่อมีอุปสรรค
มั่นใจ เทียบกับ ปกป้องตัวเอง
บุคคลสามารถภูมิใจในตนสูงและมั่นใจโดยไม่จำเป็นต้องได้คำยืนยันจากผู้อื่นเพื่อรักษาภาพพจน์ที่ดีของตนไว้ เทียบกับคนอื่นที่มีความภูมิใจแบบต้องปกป้องตัวเอง แต่ก็ยังอาจได้คะแนนสูงโดยแบบวัด Rosenberg Scale เช่นกัน แต่ว่า ความภูมิใจในลักษณะนี้เสียไปได้ง่ายและอ่อนแอต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ เพราะผู้ที่มีความภูมิใจแบบนี้สงสัยตัวเองและไม่มั่นใจในระดับจิตใต้สำนึก ทำให้มีปฏิกิริยาในเชิงลบกับคำวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหมดที่ได้รับ คือบุคคลนี้จำต้องได้การยอมรับจากผู้อื่นเพื่อที่จะรักษาความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าไว้ได้ ความจำเป็นเพื่อได้คำชมบ่อย ๆ อาจสัมพันธ์กับพฤติกรรมช่างอวด หยิ่ง หรือบางครั้งแม้แต่เป็นศัตรูกับบุคคลที่ตั้งข้อสงสัยในคุณค่าของตน นี่เป็นตัวอย่างของปฏิกิริยาเมื่ออติมานะ (egotism) เกิดภัย
ความภูมิใจโดยนัย โดยตรง การหลงตัวเอง และเมื่ออติมานะเกิดภัย
ความภูมิใจในตนโดยนัย (implicit self-esteem) หมายถึงแนวโน้มที่บุคคลจะประเมินตัวเองในเชิงบวกหรือเชิงลบแบบอัตโนมัติและโดยจิตใต้สำนึก ซึ่งต่างกับความภูมิใจในตนเองแบบชัดแจ้ง (explicit self-esteem) ซึ่งเป็นการประเมินตนเองที่อยู่เหนือสำนึกโดยการพิจารณา แต่ทั้งสองอย่างก็ล้วนแต่เป็นความภูมิใจในตนที่รวมอยู่ในแบบ
ส่วนการหลงตัวเอง (narcissism) เป็นแนวโน้มทางพฤติกรรมซึ่งแสดงการรักตัวเองมากเกินควร มีลักษณะเป็นความรู้สึกว่าตนมีคุณค่าเกินจริง บุคคลที่ได้คะแนนสูงในแบบวัดความหลงตัวเองของ Robert Raskin คือ แบบวัดใช่หรือไม่ใช่ 40 คำถาม (40 Item True or False Test) มีโอกาสตอบว่าใช่สำหรับคำถามว่า "ถ้าฉันครองโลก โลกจะเป็นที่ที่ดีกว่ามาก" มีสหสัมพันธ์ในระดับแค่พอสมควร (moderate) ระหว่างการหลงตัวเองกับความภูมิใจในตน ซึ่งหมายความว่า บุคคลสามารถภูมิใจในตนสูงแต่หลงตัวเองน้อย หรืออาจจะเป็นคนถือตัวมาก เป็นบุคคลน่ารังเกียจ แต่ได้คะแนนสูงทั้งด้านความภูมิใจในตนและหลงตัวเอง
ส่วนปฏิกิริยาเมื่ออติมานะมีภัย (Threatened egotism) กำหนดโดยการตอบสนองต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ที่เป็นภัยต่ออัตตา (ego) ของคนหลงตัวเอง ซึ่งบ่อยครั้งจะเป็นปฏิกิริยาแบบเป็นปฏิปักษ์และก้าวร้าว
ความภูมิใจในตนต่ำ
ความภูมิใจต่ำอาจมาจากปัจจัยหลายอย่างรวมทั้งทางพันธุกรรม จากรูปร่างหน้าตาหรือน้ำหนักตัว ปัญหาทางจิต สถานะทางสังคม-เศรษฐกิจ ความกดดันจากเพื่อน และการถูกรังแก โดยอาจจะแสดงเป็นลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้คือ
- การตำหนิตัวเองเกินควร และความไม่พึงพอใจในตัวเอง
- ไวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์มาก โดยเคืองผู้วิจารณ์และรู้สึกถูกว่าร้าย
- การตัดสินใจอะไรไม่ได้ และกลัวผิดพลาดที่เกินควร
- พยายามให้คนอื่นพอใจมากเกินไป และไม่ยอมทำให้คนอื่นไม่พอใจ ไม่ว่าจะเป็นใคร
- ทุกอย่างต้องเพอร์เฝ็กต์ ซึ่งทำให้ผิดหวังเมื่อไม่ได้
- ความรู้สึกผิดเกินควร มัวแต่คิดถึงความผิดพลาดในอดีต หรือยกความผิดพลาดในอดีตเกินจริง
- ความเป็นปฏิปักษ์อย่างลอย ๆ และการป้องกันตัวเองโดยทั่วไปและหงุดหงิดโดยไม่มีเหตุใกล้
- มองโลกในแง่ร้ายโดยทั่วไป
- ความอิจฉาริษยา ใจน้อย และความขัดเคืองโดยทั่วไป
- เห็นปัญหา/อุปสรรคชั่วคราวว่าเป็นเรื่องถาวร และทนรับไม่ได้
ผู้ที่ภูมิใจในตนต่ำมักจะตำหนิตัวเอง บางคนต้องอาศัยการยอมรับและคำสรรเสริญของผู้อื่นเมื่อประเมินคุณค่าของตนเอง บางคนอาจจะวัดความน่าชอบใจของตนเองโดยความสำเร็จที่ได้ คือ คนอื่นจะยอมรับถ้าทำสำเร็จและไม่ยอมรับถ้าไม่สำเร็จ
ภาวะ 3 อย่าง
หมวดหมู่ที่เสนอในปี 2556 แบ่งภาวะความภูมิใจในตนออกเป็น 3 อย่าง โดยเปรียบเทียบว่าเป็นความดีความชอบ (feat) หรือเป็นความเสียหาย (anti-feat) ดังจะกล่าวในหัวข้อย่อยต่อ ๆ ไปดังนี้
แตก
บุคคลไม่พิจารณาตนว่ามีค่าหรือว่าเป็นคนที่รักได้ อาจจะรู้สึกท่วมท้นด้วยความพ่ายแพ้ ความอับอาย หรือมองตัวเองว่าเป็นอย่างนั้น โดยมีป้ายเรียกความเสียหาย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าบุคคลพิจารณาความแก่เกินกว่าวัยหนึ่ง ๆ ว่าเป็นความเสียหาย ก็จะนิยามตัวเองโดยใช้ชื่อของความเสียหาย และกล่าวว่า "ฉันแก่แล้ว" จะรู้สึกเวทนาตนเอง ตำหนิตัวเอง รู้สึกเสียใจ จนอาจทำอะไรไม่ได้
อ่อนแอ
บุคคลมองตัวเองในแง่ดี แต่ว่า ความภูมิใจในตนจะอ่อนแอต่อความรู้สึกเสี่ยงว่าความเสียหายกำลังจะเกิดขึ้น (เช่นความพ่ายแพ้ ความอาย และการเสียเครดิต) เพราะฉะนั้น บ่อยครั้งจะไม่รู้สึกสบายใจและต้องป้องกันตัวเองกลไกป้องกันตนสำหรับบุคคลที่มีความภูมิใจแบบอ่อนแออาจจะรวมการหลีกเลี่ยงการตัดสินใจ
แม้ว่าบุคคลอาจจะดูเหมือนมั่นใจสูง แต่ความจริงอาจจะเป็นตรงกันข้าม คือ ความมั่นใจที่ปรากฏเป็นตัวบ่งความกลัวที่เริ่มสูงขึ้นต่อความเสียหาย และบ่งความเปราะบางของความภูมิใจในตน อาจจะโทษคนอื่นเพื่อป้องกันภาพพจน์ของตนจากสถานการณ์ที่เป็นภัย และอาจจะใช้กลไกการป้องกันต่าง ๆ รวมทั้งพยายามแพ้ในเกมและการแข่งขันต่าง ๆ เพื่อป้องกันภาพพจน์ของตนโดยทำเป็นไม่แยแสว่า จำเป็นต้องชนะ เป็นการแสดงความเป็นอิสระจากความยอมรับทางสังคมที่ตนอาจจะต้องการอย่างยิ่ง เมื่อกลัวมากว่าเพื่อนจะไม่ยอมรับ ก็อาจจะเลือกทางชีวิตได้ไม่ดีโดยทำอะไรเสี่ยง ๆ
มั่นคง
ผู้ที่มีความภูมิใจในตนอย่างมั่นคงจะมีภาพพจน์ที่ดีเกี่ยวกับตน และมั่นคงพอที่ความเสียหายไม่สามารถเกิดกับความภูมิใจได้ เป็นบุคคลที่กลัวความล้มเหลวน้อยกว่า เป็นคนถ่อมตัว ร่าเริง และมั่นคงพอที่จะไม่อวดความดีความชอบและไม่กลัวความเสียหาย เป็นคนที่สามารถต่อสู้ด้วยแรงที่มีเพื่อให้ได้ผลตามที่ต้องการ เพราะว่า ถ้าล้มเหลว จะไม่มีผลต่อความภูมิใจของตน เป็นคนที่สามารถยอมรับความผิดก็เพราะว่ามีภาพพจน์ของตนเองที่มั่นคง และการยอมรับผิดจะไม่มีผลเสียหายต่อภาพพจน์นั้น เป็นคนที่ใช้ชีวิตโดยกลัวการเสียชื่อเสียงน้อยกว่า และมีความสุขและความอยู่เป็นสุขที่ดีกว่า แต่ว่า ไม่มีความภูมิใจแบบไหนที่ทำลายไม่ได้ และเหตุการณ์หรือสถานการณ์บางอย่างในชีวิต อาจทำให้ตกจากระดับนี้ไปยังระดับอื่น ๆ
มีเงื่อนไขและไม่มีเงื่อนไข
มีความภูมิใจแบบมีเงื่อนไข (Contingent self-esteem) และไม่มีเงื่อนไข (Non-contingent self-esteem) แบบมีเงื่อนไขจะได้ความภูมิใจจากสิ่งภายนอก เช่น (1) คนอื่นกล่าวว่าอย่างไร (2) ประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลว และ (3) ความสามารถของตน หรือว่า (4) ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ และดังนั้น ความภูมิใจในตนแบบมีเงื่อนไขจึงไม่เสถียร เชื่อถือไม่ได้ และอ่อนแอ บุคคลที่มีความภูมิใจแบบนี้จะต้องคอยหาสิ่งที่ทำให้ตนมีคุณค่า
แต่เพราะว่าการได้ความภูมิใจในตนแบบมีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับได้รับความยอมรับ จึงในที่สุดจะต้องล้มเหลว เพราะว่า ไม่มีใครที่ได้การยอมรับตลอด และการไม่ยอมรับบ่อยครั้งทำให้เกิดความซึมเศร้า นอกจากนั้นแล้ว ความกลัวการไม่ยอมรับอาจจะห้ามไม่ให้ทำกิจกรรมที่มีโอกาสล้มเหลว
ส่วนความภูมิใจแบบไม่มีเงื่อนไขเป็นสิ่งที่ไว้ใจได้ เสถียร และมั่นคง มันมีมูลฐานจากความเชื่อว่า ตน "ยอมรับได้อย่างไม่มีข้อแม้ ยอมรับได้แม้ก่อนชีวิตเสียอีก ยอมรับได้โดยความมีอยู่" ความเชื่อว่าตนยอมรับได้โดยความมีอยู่ (ontologically acceptable) ก็คือความเชื่อว่าการยอมรับได้ของตนเป็นไปตามสิ่งที่เป็น โดยไม่มีข้อแม้ ในรูปแบบความเชื่อเช่นนี้ การยอมรับได้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณธรรมของบุคคล เป็นการยอมรับแม้ "มีความผิด" ไม่ใช่เพราะ "ไม่มีความผิด" ดังนั้น ความภูมิใจในตนแบบไม่มีเงื่อนไขจึงมาจากความเชื่อว่าตนยอมรับได้เพราะความมีอยู่และว่าตนได้การยอมรับจากผู้อื่น
ความสำคัญ
ศ. ดร. อับราฮัม มาสโลว์กล่าวว่า สุขภาพจิตที่ดีเป็นไปไม่ได้ยกเว้นถ้าแกนหลักของบุคคลนั้นได้การยอมรับ ความรัก และความเคารพอย่างพื้นฐานโดยตนเอง ความภูมิใจในตนช่วยให้คนเผชิญกับชีวิตอย่างมั่นใจมากขึ้น อย่างเมตตากรุณา อย่างมองโลกในแง่ดี และดังนั้นจะสามารถถึงเป้าหมายในชีวิตและถึงศักยภาพตนเองได้ง่ายกว่า
ความภูมิใจในตนอาจช่วยให้เชื่อว่าตนสมควรจะได้ความสุข การเข้าใจเช่นนี้สำคัญมาก และมีประโยชน์โดยทั่วไป เพราะว่า การพัฒนาความภูมิใจในตนเพิ่มสมรรถภาพการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างนับถือ อย่างมีเมตตากรุณา และด้วยความหวังดี และดังนั้น จะเปิดโอกาสให้มีความสัมพันธ์กับคนอื่นที่ลึกซึ้งและหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ที่ทำลาย สำหรับนักจิตวิทยาบางท่าน ความรักคนอื่นและความรักตนเองไม่ใช่เป็นคนละเรื่องกัน คือ ความรักตนเองจะมีในบุคคลที่สามารถรักคนอื่นได้ ความภูมิใจในตนช่วยให้มีความคิดสร้างสรรค์ในที่ทำงาน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสำหรับบางอาชีพเช่นการสอน
มีนักวิชาการที่อ้างว่าความสำคัญของความภูมิใจในตนเป็นเรื่องที่ชัดเจน เพราะว่าการไม่มีความภูมิใจในตนไม่ใช่เป็นการเสียความเคารพนับถือจากคนอื่น แต่เป็นการปฏิเสธตนเอง และสัมพันธ์กับโรคซึมเศร้าซิกมุนด์ ฟรอยด์ยังอ้างด้วยว่า คนซึมเศร้ามีปัญหา "การลดลงของความนับถือตนเองอย่างผิดธรรมดา เป็นการทำอัตตา (ego) ให้ยากไร้อย่างยิ่ง... (คือ) เขาได้สูญเสียความเคารพในตน"
หลักยกยาการ์ตา (The Yogyakarta Principles) ซึ่งเป็นเอกสารเกี่ยวกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนนานาชาติ พูดถึงทัศนคติแบบเดียดฉันท์ต่อบุคคลเพศที่สาม (LGBT) ซึ่งทำให้ความภูมิใจในบุคคลเหล่านั้นต่ำกว่าควร ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และองค์การอนามัยโลกแนะนำในเอกสาร "การป้องกันการฆ่าตัวตาย (Preventing Suicide)" ที่พิมพ์ในปี 2543 ว่าการเพิ่มความภูมิใจในตนเองของนักเรียนเป็นเรื่องสำคัญเพื่อป้องกันเด็กและวัยรุ่นจากความทุกข์ทางใจและความหมดกำลังใจ และช่วยให้เด็กสามารถรับมือกับสถานการณ์ยากที่ก่อความเครียดในชีวิตได้ แต่ว่ายังไม่ชัดเจนว่าอะไรควรทำและอะไรมีประสิทธิผล นอกจากจะเพิ่มความสุขแล้ว ความภูมิใจในตนสูงมีสหสัมพันธ์กับสมรรถภาพการรับมือกับความเครียด และโอกาสสูงกว่าที่บุคคลจะเข้าจัดการปัญหาที่ยากเทียบกับคนที่ภูมิใจในตนต่ำ
สิ่งที่สัมพันธ์
จากปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 จนถึงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 คนอเมริกันเชื่อว่า ความภูมิใจในตนของนักเรียนจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อเกรดที่ได้ในโรงเรียน ต่อความสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ และต่อความสำเร็จที่จะได้ต่อ ๆ มาในชีวิต และดังนั้น จึงมีองค์กรที่ได้พัฒนาโปรแกรมเพื่อเพิ่มความภูมิใจในตนของนักเรียน แต่ว่าจนกระทั่งถึงคริสต์ทศวรรษ 1990 ก็ยังมีงานวิจัยแบบควบคุมที่ทบทวนโดยผู้รู้เสมอกันน้อยมากในประเด็นนี้ และงานวิจัยต่อ ๆ มาก็ไม่ได้ยืนยันความเชื่อเช่นนั้น คือ งานวิจัยบ่งว่า การเพิ่มความภูมิใจในตนของนักเรียนเพียงลำพังไม่ได้มีผลต่อเกรด และงานวิจัยปี 2548 กลับแสดงด้วยว่า การเพิ่มความภูมิใจโดยลำพังสามารถลดเกรดที่ได้ คือผลได้แสดงว่า การมีความภูมิใจในตนสูงไม่ได้ช่วยให้เรียนเก่งขึ้น แต่อาจหมายเพียงแค่ว่า นักเรียนอาจภูมิใจในตนเองสูงโดยเป็นผลของการเรียนเก่งเนื่องจากปัจจัยทางสังคมและชีวิตอื่น ๆ
"ความพยายามของผู้ที่สนับสนุนให้มีความภูมิใจในตนเองของเด็กนักเรียนเพราะเหตุความไม่เหมือนใครในฐานะมนุษย์ จะไม่มีผลถ้าความรู้สึกที่ดีไม่ตามด้วยการกระทำที่ดี ต่อเมื่อนักเรียนทำการที่มีความหมายสำหรับตนที่สามารถภูมิใจได้ ความมั่นใจในตนจึงจะเจริญขึ้น และความมั่นใจที่เจริญขึ้นนี่แหละจะจุดชนวนให้ได้ความสำเร็จยิ่ง ๆ ขึ้น"
ความภูมิใจในตนสูงมีสหสัมพันธ์กับความสุขที่รายงานเองอย่างสูง แต่ว่านี่เป็นความสัมพันธ์แบบเหตุผลหรือไม่ ยังไม่ชัดเจน และความสัมพันธ์ระหว่างความภูมิใจในตนสูงกับความพอใจในชีวิต จะแรงกว่าในวัฒนธรรมที่เน้นความเป็นตัวของตัวเอง
นอกจากนั้นแล้ว ความภูมิใจในตนยังสัมพันธ์กับความให้อภัยคนใกล้ชิด คือว่า คนที่ภูมิใจในตนสูงจะให้อภัยมากกว่าคนที่มีความภูมิใจในตนต่ำ
อีกอย่างหนึ่ง บุคคลที่ภูมิใจในตนต่ำ มีโอกาสสูงกว่าที่จะกลบเกลื่อนผลของพฤติกรรมเสี่ยงว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย สร้างเหตุผลสนับสนุนการตัดสินใจ และคงเชื่อว่า พฤติกรรมบางอย่างจะไม่มีผลร้ายต่อตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งอาจทำให้เกิดพฤติกรรมเป็นต้นว่า ดื่มเหล้า ใช้สารเสพติด มีเพศสัมพันธ์เด็กเกินไป และมีพฤติกรรมเสี่ยงอย่างอื่น ๆ
ประสาทวิทยาศาสตร์
งานวิจัยปี 2557 พบว่า ความภูมิใจในตนสัมพันธ์กับการเชื่อมต่อกันที่เพิ่มขึ้นของวิถีประสาท frontostriatal circuit และวิถีประสาทนี้ส่วนหนึ่งเชื่อม medial prefrontal cortex ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับความรู้ในตน กับ ventral striatum ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับแรงจูงใจและรางวัล และวิถีประสาทที่เชื่อมต่อกันทางกายภาพที่ดีกว่ามีสหสัมพันธ์กับความภูมิใจในตนในระยะยาวที่สูงกว่า ในขณะที่การทำงานร่วมกันที่สูงกว่าสัมพันธ์กับความภูมิใจระยะสั้นที่สูงกว่า
ข้อขัดแย้ง
นักจิตวิทยาทรงอิทธิพลชาวอเมริกัน ดร. อัลเบิรต์ เอ็ลลิส ได้วิพากษ์วิจารณ์หลายครั้งหลายคราวว่า แนวคิดเรื่องความภูมิใจในตนเอง เป็นการทำลายตัวเองและมีผลร้ายในระยะยาว แม้จะยอมรับว่ามนุษย์มักจะให้คะแนนต่อตนเองโดยธรรมชาติ เขาก็ได้วิจารณ์หลักปรัชญาของความภูมิใจในตนว่า ไม่สมจริง ไม่มีเหตุผล และมีผลเสียต่อตัวเองและสังคม บ่อยครั้งทำอันตรายมากกว่าประโยชน์ โดยตั้งข้อสงสัยต่อทั้งมูลฐานและประโยชน์ของความเข้มแข็งของอัตตาโดยนัยทั่วไป เขาอ้างว่า ความภูมิใจในตนเป็นบทตั้งที่มีนิยามลอย ๆ เป็นแนวคิดที่ถือเอานัยทั่วไปมากเกินไป นิยมความเพอร์เฝ็กต์ และยิ่งใหญ่มากเกินไป แม้จะยอมร้บว่า การให้คะแนนและคุณค่ากับพฤติกรรมและลักษณะต่าง ๆ ของตนเป็นเรื่องปกติและจำเป็น แต่เขาก็ยังเห็นการให้คะแนนและคุณค่าของมนุษย์และของตนเองโดยถือเอาองค์รวมว่า ไม่สมเหตุผลและไม่ถูกจริยธรรม ทางเลือกที่ดีกว่าความภูมิใจในตนก็คือการยอมรับตนเองและคนอื่นอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยมี Rational Emotive Behavior Therapy (REBT) ที่ ดร. เอ็ลลิสได้พัฒนาขึ้นเป็นตัวอย่างจิตบำบัดที่ใช้วิธีการเช่นนี้
ส่วนนักเขียนคู่หนึ่ง (Roy F. Baumeister, John Tierney) อ้างว่า ประโยชน์ของความภูมิใจในตนสามารถให้ผลตรงกันข้าม และคำสอนจากพ่อแม่ให้มีความภูมิใจในตนอาจจะขัดขวางการฝึกควบคุมตน
- "ดูเหมือนจะมีประโยชน์ที่ชัดเจนของความภูมิใจในตนสูงเพียงแค่สองอย่าง อย่างแรกก็คือ มันเพิ่มการริเริ่ม ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่ามันให้ความมั่นใจ บุคคลที่ภูมิใจในตนสูงจะเต็มใจทำตามความเชื่อของตนมากกว่า ยืนยันต่อสู้เพื่อสิ่งที่ตนเชื่อ หาคนร่วมความคิด และเสี่ยงทำอะไรใหม่ ๆ (ซึ่งบางครั้งก็ไม่ดีว่ารวมการเสี่ยงทำอะไรโง่ ๆ หรือก่อความเสียหาย แม้เมื่อคนอื่น ๆ แนะนำไม่ให้ทำ)... (แต่) ก็สามารถทำให้คนไม่สนใจคำแนะนำที่ดีเพราะว่าดื้อเสียเวลาและเงินทองในเรื่องที่สิ้นเปลืองเปล่า"
ของเทียม
สำหรับบุคคลที่ภูมิใจในตนต่ำ สิ่งเร้าเชิงบวกจะเพิ่มความภูมิใจในตนชั่วคราว ดังนั้น ทรัพย์สมบัติ เพศสัมพันธ์ ความสำเร็จ หรือรูปร่างหน้าตาจะเพิ่มความภูมิใจในตน แต่การเพิ่มเช่นนี้อย่างมากก็ชั่วคราว
ดังนั้น ความพยายามเพิ่มความภูมิใจด้วยสิ่งเร้าเชิงบวกเช่นนี้จะเป็นแบบขึ้น ๆ ลง ๆ เช่น คำสรรเสริญสามารถช่วยเพิ่มความภูมิใจ แต่ก็จะตกเมื่อไร้คำสรรเสริญ ดังนั้น สำหรับคนที่ภูมิใจในตนแบบมีข้อแม้ ความสำเร็จจะไม่ "หวานเป็นพิเศษ" แต่ความล้มเหลวจะ "ขมเป็นพิเศษ"
โดยเป็นการหลงตัวเอง
ความพอใจในชีวิต ความสุข พฤติกรรมที่ถูกสุขภาพ ความมั่นใจในตนเอง การเรียนเก่ง และการปรับตัวได้ดี ล้วนแต่สัมพันธ์กับการมีความภูมิใจในตนสูง แต่ว่า เป็นความผิดพลาดสามัญที่จะคิดว่า การรักตัวเอง (self-love) ต้องเป็นการหลงตัวเอง (narcissism)
บุคคลที่มีความภูมิใจในตนที่ดีจะยอมรับและรักตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยยอมรับทั้งความดีชั่วของตน และสามารถรักตนเองได้แม้จะมีข้อผิดพลาดต่าง ๆ เปรียบเทียบกับผู้ที่หลงตัวเอง ผู้มี "ความไม่แน่ใจโดยธรรมชาติเกี่ยวกับคุณค่าของตัวเองซึ่งทำให้เกิด... รัศมีความโอ้อวดที่เป็นการป้องกันตัวเองแต่เป็นของปลอม" ซึ่งสร้างกลุ่ม "ผู้หลงตัวเอง หรือคนที่มีความภูมิใจในตัวเองสูงแบบไม่มั่นใจ ซึ่งผันแปรไปตามการสรรเสริญหรือการไม่ยอมรับของสังคม" ดังนั้น จึงสามารถมองการหลงตัวเองว่าเป็นอาการของความภูมิใจในตนต่ำโดยพื้นฐาน และเป็นการไม่รักตนเอง แต่บ่อยครั้งประกอบด้วย "การเพิ่มความภูมิใจในตนเองอย่างยิ่ง" ซึ่งเป็นกลไกป้องกันตนแบบปฏิเสธความจริงโดยชดเชยเกินจริง หรือเป็น "ความรักอุดมคติต่อตัวเองโดยปฏิเสธส่วนของตัวเอง" ที่ตนไม่ชอบใจที่เป็น "เด็กน้อยที่ชอบทำความเสียหาย" ภายใน ผู้หลงตัวเองจะเน้นคุณธรรมของตนเมื่อคนอื่นอยู่ด้วย เพื่อพยายามทำให้ตนเชื่อว่ามีคุณค่าและเพื่อห้ามความรู้สึกอับอายต่อความไม่ดีของตนเอง แต่น่าเสียดายว่า "คนที่มองตัวเองดีเกินจริง ซึ่งอาจจะไม่เสถียรอย่างยิ่งและอ่อนแอต่อข้อมูลเชิงลบ... มักจะมีทักษะทางสังคมที่ไม่ดี"
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
- Baumeister, Roy F. (2001). "Violent Pride: Do people turn violent because of self-hate or self-love?," in Scientific American, 284, No. 4, pages 96-101; April 2001.
- Branden, N. (1969). The Psychology of Self-Esteem. New York: Bantam.
- Branden, N. (2001). The psychology of self-esteem: a revolutionary approach to self-understanding that launched a new era in modern psychology. San Francisco: Jossey-Bass, 2001. ISBN 0-7879-4526-9
- Burke, C. (2008)"Self-esteem: Why?; Why not?," N.Y. 2008 [1]
- Crocker J., Park L. E. (2004). "The costly pursuit of self-esteem". Psychological Bulletin. 130 (3): 392–414. doi:10.1037/0033-2909.130.3.392. PMID 15122925.
- Franklin, Richard L. (1994). "Overcoming The Myth of Self-Worth: Reason and Fallacy in What You Say to Yourself." ISBN 0-9639387-0-3
- Hill, S.E.; Buss, D.M. (2006). "The Evolution of Self-Esteem." In Kernis, Michael, (Ed.), Self Esteem: Issues and Answers: A Sourcebook of Current Perspectives.. Psychology Press:New York. 328-333. Full text เก็บถาวร 2015-08-23 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Lerner, Barbara (1985). "Self-Esteem and Excellence: The Choice and the Paradox," American Educator, Winter 1985.
- Mecca, Andrew M., et al., (1989). The Social Importance of Self-esteem University of California Press, 1989. (ed; other editors included Neil J. Smelser and John Vasconcellos)
- Mruk, C. (2006). Self-Esteem research, theory, and practice: Toward a positive psychology of self-esteem (3rd ed.). New York: Springer.
- Rodewalt F., Tragakis M. W. (2003). "Self-esteem and self-regulation: Toward optimal studies of self-esteem". Psychological Inquiry. 14 (1): 66–70. doi:10.1207/s15327965pli1401_02.
- Ruggiero, Vincent R. (2000). "Bad Attitude: Confronting the Views That Hinder Student's Learning" American Educator.
- Sedikides, C., & Gregg. A. P. (2003). "Portraits of the self." In M. A. Hogg & J. Cooper (Eds.), Sage handbook of social psychology (pp. 110-138). London: Sage Publications.
- Twenge, Jean M. (2007). Generation Me: Why Today's Young Americans Are More Confident, Assertive, Entitled — and More Miserable Than Ever Before. Free Press. ISBN 978-0-7432-7698-6