Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.
ชีวิตอารามวาสี
ชีวิตอารามวาสี (อังกฤษ: monasticism) มาจากภาษากรีก “μοναχός” - “monachos” ที่มีรากมาจากคำว่า “monos” ที่แปลว่า “สันโดษ” หรือ “ผู้เดียว” หมายถึงวิถีชีวิตทางศาสนาที่นักบวชเน้นสละชีวิตทางโลกเพื่ออุทิศตนอย่างเต็มตัวในทางธรรม คำนี้ที่มาจากภาษากรีกโบราณและอาจเกี่ยวกับภิกษุซึ่งเป็นนักพรตในพุทธศาสนา
ในคริสต์ศาสนา บุรุษที่ใช้ชีวิตอารามวาสีเรียกว่านักพรต ถ้าเป็นหญิงก็เรียกว่านักพรตหญิง นักพรตทั้งชายและหญิงจะเรียกโดยรวมว่าอารามิกชน (monastics)
ศาสนาอื่นต่างก็มีชีวิตอารามวาสีเป็นของตนเองโดยเฉพาะในศาสนาพุทธ และรวมทั้งลัทธิเต๋า ศาสนาฮินดู และศาสนาเชน แต่รายละเอียดของแต่ละระบบของแต่ละศาสนาหรือแต่ละนิกายก็แตกต่างจากกันมาก
ชีวิตอารามวาสีแบบพุทธศาสนา
คณะสงฆ์คือคณะนักพรตที่เป็นพระภิกษุและภิกษุณีที่พระพุทธเจ้าทรงก่อตั้งขึ้นเมื่อกว่า 2500 ปีมาแล้ว แนววิถีแบบอรัญวาสีนี้ได้พัฒนามากจากลัทธิของดาบสที่แพร่หลายอยู่ก่อนซึ่งพระพุทธเจ้าได้เคยศึกษามาตั้งแต่ก่อนบำเพ็ญทุกรกิริยา (คือเมื่อศึกษาในสำนักอาฬารดาบสและอุทกดาบส) ในช่วงแรกพระสงฆ์มักใช้ชีวิตอย่างฤๅษีหรืออาศัยอยู่โดดเดี่ยวเป็นปกติ ถือครองทรัพย์สินน้อยที่สุดคือเพียงเครื่องอัฐบริขารและยังชีพด้วยปัจจัยที่ชาวบ้านถวายให้ ลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาสก็ต้องจัดหาภัตตาหารในแต่ละวันและกุฏิง่าย ๆ ให้ท่านเมื่อท่านต้องการ
ภายหลังการเสด็จดับขันธปรินิพพาน คณะสงฆ์เริ่มพัฒนามาเป็นคณะนักพรตแบบอยู่รวมกลุ่ม (cenobite) โดยสันนิษฐานว่ามีต้นเค้ามาตั้งแต่สมัยพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าให้พระสงฆ์อยู่จำพรรษาในอารามตลอดหน้าฝน จนค่อย ๆ พัฒนามาเป็นการอยู่ประจำรวมกลุ่มกันเป็นชุมชนนักปฏิบัติ พระวินัยที่ภิกษุและภิกษุณีรักษากันซึ่งเรียกว่า "ปาฏิโมกข์" ก็แสดงถึงระเบียบในการดำรงชีวิตร่วมกันเป็นชุมชนในอาราม จำนวนสิกขาบทของภิกษุและภิกษุณีก็แตกต่างกัน ในนิกายเถรวาทภิกษุต้องรักษาสิกขาบท 227 ข้อ ส่วนภิกษุณีต้องรักษามากกว่าเป็น 311 ข้อ
ชีวิตอารามวาสีแบบพุทธศาสนาได้แพร่หลายจากอินเดียไปยังตะวันออกกลางและโลกตะวันตกด้วย ปรากฏว่าวิถีชีวิตแบบนี้ได้มีส่วนส่งเสริมให้ประชาชนอ่านออกเขียนได้ แม้แต่ชีวิตอารามวาสีแบบศาสนาคริสต์เมื่อได้แพร่มาถึงดินแดนที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเคยส่งสมณทูตมาก็ยังเจริญรอยตามแนวทางนี้
คณะสงฆ์ประกอบด้วยภิกษุบริษัทและภิกษุณีบริษัท โดยในระยะแรกยังมีเฉพาะภิกษุเท่านั้น ภิกษุณีเกิดภายหลังเมื่อพระพุทธเจ้าประทานพระอนุญาตให้พระนางปชาบดีโคตมีและเจ้าหญิงศากยะอื่นรับอุปสมบทได้
ทั้งภิกษุและภิกษุณีต้องรับบทบาทหลายอย่าง ประการแรกและสำคัญที่สุดคือการรักษาพระธรรมวินัย (ปัจจุบันเรียกว่าพระพุทธศาสนา) ต้องเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิตให้แก่ฆราวาส และเป็น "นาบุญ" เพื่อให้เหล่าอุบาสกและอุบาสิกาในศาสนาได้มีโอกาสทำบุญ ในทางกลับกันเพื่อประโยชน์ของฆราวาส พระสงฆ์ต้องถือวัตรเคร่งครัดในการศึกษาพระธรรม เจริญสมาธิ และรักษาสุจริตธรรม
ก่อนบวชเป็นภิกษุ (ภาษาบาลีเรียกว่าภิกขุ) กุลบุตรต้องได้บวชเป็นสามเณรมาก่อน ซึ่งส่วนมากสามเณรจะบรรพชากันตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ตามปกติก็จะไม่น้อยกว่าอายุ 8 ปี สามเณรต้องรักษาศีล 10 ข้อ ส่วนการอุปสมบทซึ่งใช้เรียกการบวชเป็นภิกษุจะทำได้เมื่ออายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป กรณีภิกษุณีก็มีขั้นตอนอย่างเดียวกันแต่จะต้องใช้เวลาเป็นสามเณรีนานถึง 5 ปี
สิกขาบทของภิกษุและภิกษุณีจะเน้นให้ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย สละทางโลกหรือเป็นพรตนิยม โดยเฉพาะการเว้นจากเพศสัมพันธ์ถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญของพระวินัย
ชีวิตอารามวาสีแบบคริสต์ศาสนา
ชีวิตอารามวาสีในคริสต์ศาสนามาจากคำว่า “นักพรต” และ “อาราม” ที่มีระบบแตกต่างจากกันเป็นหลายแบบ ชีวิตอารามวาสีก่อตั้งขึ้นไม่นานหลังจากการเริ่มต้นของคริสต์ศาสนาตามตัวอย่างและปรัชญาที่กล่าวถึงในพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่แต่ยังมิได้ระบุแยกเป็นสถาบันต่างหากในพระคัมภีร์ ต่อมาชีวิตอารามวาสีจึงได้มีการก่อตั้งบทบัญญัติเป็นวินัยนักบวช (religious rules) ในหมู่ผู้ติดตามเช่นวินัยของนักบุญบาซิล (Rule of St Basil) หรือวินัยของนักบุญเบเนดิกต์ ในสมัยปัจจุบันกฎหมายศาสนจักรของบางนิกายอาจจะระบุรูปแบบการใช้ชีวิตนักพรต
อารามในคริสต์ศาสนาเป็นวิถีชีวิตที่อุทิศให้แก่พระเจ้าเพื่อการบรรลุชีวิตนิรันดร์ (eternal life) ระหว่างการเทศนาบนภูเขาในหัวข้อพระพรมหัศจรรย์ (Beatitudes) หรือการดำเนินชีวิตตามกฎของพระเจ้า พระเยซูทรงเทศนาต่อกลุ่มชนที่มาฟังให้ “เป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดา...ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ” (แม็ทธิว 5:48) และทรงกล่าวเชิญชวนอัครทูตของพระองค์ให้ปฏิญาณความเป็นโสดโดยตรัสว่า “ผู้ที่กระทำตัวเองให้เป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรแห่งสวรรค์ก็มี ใครถือได้ก็ให้ถือเอาเถิด” (แม็ทธิว 19:12) และเมื่อทรงถูกถามว่าจะต้องทำอย่างใดนอกจากปฏิบัติตามพระบัญญัติที่จะทำให้ “บรรลุชีวิตนิรันดร์” พระองค์ก็ทรงแนะว่าให้สละทรัพย์สมบัติและใช้ชีวิตอย่างสมถะ (แม็ทธิว 19:16-22, มาร์ค 10:17-22 และ ลูค 18:18-23)
ในพันธสัญญาใหม่ก็เริ่มมีหลักฐานที่กล่าวถึงการใช้ชีวิตนักพรต โดยการตระเวนช่วยเหลือแม่หม้ายและสตรี ในซีเรียและต่อมาในอียิปต์ผู้นับถือคริสต์ศาสนาบางคนก็มีความรู้สึกว่าได้รับพระกระแสเรียกให้ใช้ชีวิตอย่างสันโดษเพื่อเพิ่มความศรัทธาและเข้าถึงพระเจ้าได้มากยิ่งขึ้นโดยการออกไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษกลางทะเลทราย นักบุญอะทาเนเชียสแห่งอะเล็กซานเดรียกล่าวถึงนักบุญแอนโทนีอธิการว่าเป็นนักพรตองค์แรก ๆ ที่ออกไปใช้ชีวิตอย่าง “นักพรตฤๅษี” (Hermit monk) และทำให้ชีวิตอารามวาสีเป็นที่แพร่หลายในอียิปต์ ชีวิตอารามวาสีแพร่หลายทั่วไปในตะวันออกกลางมาจนกระทั่งเมื่อความนิยมในการนับถือคริสต์ศาสนาในซีเรียมาลดถอยลงในยุคกลาง
เมื่อผู้ประสงค์จะใช้ชีวิตอย่างสันโดษเริ่มรวมตัวเข้าด้วยกันมากขึ้น ความจำเป็นในการที่จะต้องมีกฎเกณฑ์ในชุมนุมนักบวชก็เพิ่มมากขึ้น ราวปี ค.ศ. 318 นักบุญปาโคมิอุส (Pachomius) ก็เริ่มจัดกลุ่มผู้ติดตามที่กลายมาเป็นอารามแบบหมู่คณะต่อมา ซึ่งเรียกว่าคณะนักบวชอารามิก (monastic order) ไม่นานนักก็มีการก่อตั้งสถาบันอื่นๆ ในลักษณะคล้ายคลึงกันทั่วไปในทะเลทรายในอียิปต์และทางตะวันออกของจักรวรรดิโรมัน ชีวิตอารามวาสีในตะวันออกกลางที่เป็นที่รู้จักกันดีก็ได้แก่:
- อารามเซนต์แอนโทนี ซึ่งเป็นชีวิตอารามวาสีที่เก่าแก่ที่สุดของคริสต์ศาสนาในโลก
- อารามของนักบุญมาร์ ออว์จิน (Mar Awgin) ก่อตั้งบนเขาอิซลาเหนือนิซิบิสในเมโสโปเตเมีย ราว ค.ศ. 350 ที่กลายมาเป็นชีวิตอารามวาสีแบบคณะที่เผยแพร่ไปยังเมโสโปเตเมีย เปอร์เชีย อาร์มีเนีย จอร์เจีย และแม้แต่อินเดียและจีน
- อารามของนักบุญซับบาสผู้ศักดิ์สิทธิ์ (St. Sabbas the Sanctified) ผู้ก่อตั้งกลุ่มนักพรตในทะเลทรายจูเดียนเป็นอารามไม่ไกลจากเบธเลเฮม (ค.ศ. 483) ที่ถือกันว่าเป็นอารามแม่ของอารามทั้งหลานในคริสตจักรอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์
- อารามนักบุญแคเธอริน เขาไซนาย (Saint Catherine's Monastery, Mount Sinai) ก่อตั้งระหว่าง ค.ศ. 527 ถึง ค.ศ. 565 ในทะเลทรายไซนายตามพระราชโองการของจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1
ทางตะวันตกการวิวัฒนาการของชีวิตอารามวาสีที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวินัยของชุมชนอารามได้รับการบันทึกเป็นตัวอักษร วินัยที่เชื่อกันว่าเป็นกฎแรกที่มีการบันทึกคือวินัยของนักบุญเบซิลแต่เวลาที่เขียนไม่เป็นที่ทราบแน่นอน เชื่อกันว่าวินัยของนักบุญเบซิลเป็นวินัยที่เป็นพื้นฐานของวินัยของนักบุญเบเนดิกต์ที่เขียนโดยนักบุญเบเนดิกต์แห่งเนอร์เซียเพื่อใช้ในอารามที่มอนเตคัสซิโนในอิตาลีราวปี ค.ศ. 529 และใช้ในคณะเบเนดิกตินซึ่งเป็นคณะนักบวชอารามิกที่ท่านตั้งขึ้น วินัยฉบับนี้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายที่สุดในยุคกลางของยุโรป ในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกันก็มีวินัยของนักบุญออกัสตินโดยนักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาอันสั้น เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 12 ก็มีคณะนักบวชคาทอลิกใหม่ ๆ ก่อตั้งขึ้นอีกหลายคณะ เช่น คณะฟรันซิสกัน คณะคาร์เมไลท์ และคณะดอมินิกัน แต่คณะเหล่านี้เลือกที่จะตั้งอารามในเมืองแทนที่จะไปตั้งห่างไกลจากชุมชน
ชีวิตอารามวาสีในคริสต์ศาสนาก็ยังวิวัฒนาการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้แม้แต่ในโปรเตสแตนต์ในสหรัฐอเมริกา
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
- Links to Coptic Orthodox Monasteries of Egypt and the world
- Historyfish.net: texts and articles regarding the Western Christian monastic tradition.
- Abbot Gasquet's English Monastic Life. Full Text + Illustrations.
- Public Domain Photochrom photographs, Abbeys, Cathedrals, Holy Sites and the Holy Land.
- History of Monasticism
- Monasticism Immaculate Heart of Mary's Hermitage
- "Woman" – The correct perspective for the monastic เก็บถาวร 2006-11-05 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน – An eastern point of view
- Korean Franciscan Brotherhood เก็บถาวร 2008-06-05 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Orthodox Monasticism เก็บถาวร 2008-03-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Saint Anthony's Greek Orthodox Monastery