Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.
นักพรต
นักพรต (อังกฤษ: monk) คือผู้บำเพ็ญพรต หรือผู้ประพฤติตามข้อกำหนดการปฏิบัติทางศาสนาเพื่อข่มกาย ใจ ของตน นักพรตมีทั้งแบบที่อาศัยอยู่โดดเดี่ยวซึ่งเรียกว่าเฮอร์มิต (hermit) และอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะในอาราม (monastery) ลักษณะการดำรงชีวิตของนักพรตเรียกว่าลัทธิพรตนิยม (monachism) หรือลัทธิอารามวาสี (monasticism)
ในวรรณกรรมไทยมักใช้คำว่า นักพรต ในความหมายเดียวกับฤๅษี มุนี นักสิทธิ์ และดาบส
นักพรตในพุทธศาสนา
ในศาสนาพุทธมีทั้งนักพรตชาย (monk) และนักพรตหญิง (nun) นักพรตชายเรียกว่าภิกษุและสามเณร นักพรตหญิงเรียกว่าภิกษุณี สิกขมานา และสามเณรี นอกจากนี้ยังมีนักพรตในรูปแบบอื่นๆ เช่น โยคี แม่ชี เป็นต้น
ภิกษุเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อพระโคตมพุทธเจ้าประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาแก่ปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน นับจากนั้นก็ทรงอุปสมบทกุลบุตรอื่น ๆ เรื่อยมา ทั้งยังทรงอนุญาตการบวชแบบติสรณคมณูปสัมปทาและจตุตถกัมมอุปสัมปทา ซึ่งเป็นการบวชที่สาวกดำเนินการได้ด้วยตนเองโดยที่ไม่ต้องกราบทูลให้พระองค์ทราบ ติสรณคมณูปสัมปทาปัจจุบันใช้สำหรับการบวชสามเณร ส่วนจตุตถกัมมอุปสัมปทาใช้กับการบวชพระภิกษุ
ภิกษุณีเกิดขึ้นครั้งแรกหลังจากพระพุทธองค์ตรัสรู้ได้ 5 พรรษา โดยการประทานครุธรรมแปดประการแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมีและเจ้าหญิงศากยะ 500 องค์ ณ เมืองเวสาลี การอุปสมบทแบบนี้เรียกว่าครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา ภายหลังทรงบัญญัติอัฏฐวาจิกาอุปสัมปทาขึ้นใช้ในแทน คือให้ผู้ขอบวชได้รับจตุตถกรรม 2 ครั้ง คือจากฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ก่อน แล้วจึงรับจากภิกษุสงฆ์ เมื่อครบแล้วจึงจะเป็นภิกษุณีโดยสมบูรณ์
ตามพระวินัยปิฎกของพระไตรปิฎกภาษาบาลีกำหนดให้ภิกษุรักษาสิกขาบท 227 ข้อ ภิกษุณีรักษาสิกขาบท 311 ข้อ ส่วนสามเณรและสามเณรีต้องรักษาศีล 10 ข้อ รวมทั้งเสขิยวัตรอีก 75 ข้อ รวมเป็นสิกขาบท 85
ปัจจุบันภิกษุณีสงฆ์คงเหลืออยู่แต่ในนิกายมหายานและวัชรยาน เพราะในนิกายเถรวาทสายภิกษุณีสงฆ์ซึ่งมีเฉพาะที่ลังกาได้ขาดช่วงสืบทอดไปตั้งแต่สมัยถูกโปรตุเกสยึดครอง ทำให้ไม่สามารถทำการบวชภิกษุณีให้ถูกต้องตามพระไตรปิฎกได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันในประเทศไทยมีความพยายามรื้อฟื้นภิกษุณีสงฆ์ในเถรวาท แต่ยังไม่ได้รับการยอมรับจากมหาเถรสมาคม
นักพรตในคริสต์ศาสนา
ในคริสตจักรโรมันคาทอลิก นักพรตหมายถึงนักบวช (religious) ไม่ว่าชายหรือหญิงที่อุทิศตนกับการอธิษฐาน การเข้าเงียบ การชดใช้บาป และการทำพลีกรรม
คำว่า monk ในภาษาอังกฤษ มาจากคำภาษากรีก monachos ซึ่งแปลว่า ผู้อยู่โดดเดี่ยว แต่ต่อมาได้ใช้ในความหมายที่กว้างขึ้นคือหมายถึงนักพรตโดยรวม อาจอยู่โดดเดี่ยวในป่าซึ่งเรียกว่าเฮอร์มิต (hermit) หรืออยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มในอาราม (monastic monk)
ในศาสนาคริสต์มีพื้นฐานแนวคิดแบบพรตนิยมมาตั้งแต่สมัยพระเยซู ดังปรากฏพระวจนะที่ตรัสกับชายหนุ่มคนหนึ่งว่า “...จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์” (มธ. 19:21) แต่การดำเนินชีวิตแบบนักพรตเริ่มมีบทบาทอย่างชัดเจนในศตวรรษที่ 4 คือภายหลังสิ้นสุดการเบียดเบียนคริสตชน เพราะจักรพรรดิคอนสแตนตินประกาศกฤษฎีกาแห่งมิลาน (Edict of Milan) ในปี ค.ศ. 313 ให้ประชาชนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา
ในยุคที่คริสต์ศาสนาถูกเบียดเบียนจากภาครัฐ คริสตชนยุคนั้นได้แสดงออกถึงการติดตามพระเยซูด้วยการยืนยันความศรัทธา ยอมถูกทรมาน หลายคนต้องหนีไปอยู่ในถิ่นทุรกันดาร บางคนถูกประหารชีวิต ทำให้เกิดมรณสักขีในศาสนาคริสต์ขึ้นหลายท่านเป็นแบบอย่างของผู้อุทิศตนในเวลานั้น เมื่อศาสนาคริสต์ได้รับการยอมรับตามกฤษฎีกาแห่งมิลาน การเบียดเบียนคริสตชนก็สิ้นสุดลง ชาวคริสต์จำนวนหนึ่งจึงหันไปแสดงการอุทิศตนโดยใช้ชีวิตแบบสละทางโลก อาศัยอยู่โดดเดี่ยวในถิ่นทุรกันดารและป่าเขา อธิษฐานภาวนา การบำเพ็ญพรตในยุคนั้นจึงได้รับการยกย่องว่าเป็น “วีรกรรมใหม่”
ในคริสต์ศาสนานักพรตแบ่งได้ออกเป็น 3 ประเภท) คือ
- นักพรตที่อยู่โดดเดี่ยว (eremite) หรือเฮอร์มิต (hermit) เช่น นักบุญแอนโทนีอธิการ
- นักพรตที่อยู่กึ่งโดดเดี่ยว (semi-eremite) คือนักพรตแต่ละรูปอาศัยเดี่ยว แต่ในวันเสาร์และอาทิตย์จะมาประกอบพิธีบูชาขอบพระคุณ (Eucharistic celebration) และฟังเทศน์ด้วยกัน เช่น กลุ่มนักพรตของนักบุญอัมโมน
- นักพรตที่อยู่เป็นคณะ (cenobite) นักพรตทุกรูปต้องปฏิบัติตามวินัยคณะ (rules) และเชื่อฟังอธิการอาราม (abbot) ซึ่งเป็นหัวหน้าอาราม นักพรตแบบนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากนักบุญปาโคมีอุส (Pachomius) นักบุญบาซิลแห่งซีซาเรีย (Basyl of Caesarea)
จะเห็นว่าลัทธิอารามวาสีในคริสต์ศาสนาเริ่มจากคริสตจักรตะวันออกก่อน ฝ่ายคริสตจักรตะวันตกเริ่มพบการสนับสนุนลัทธิอารามวาสีในปลายศตวรรษที่ 4 จากการที่นักบุญอะทาเนเชียสแห่งอะเล็กซานเดรียได้แปลประวัตินักบุญแอนโทนีอธิการเป็นภาษาละตินซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในคริสตจักรตะวันตก เพื่อแผยแพร่วิถีอารามวาสีให้คริสตชนที่นั่น ที่มุขมณฑลแวร์เชลี (Vercelli) นักบุญเอวเซบีอุสซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นมุขนายกก็เป็นบุคคลแรกที่นำวิถีนักพรตมาใช้กับนักบวชในมุขมณฑลของตน ต่อมานักบุญหลายท่านก็ตั้งกลุ่มนักพรตของตนและวางวินัยเอาไว้เป็นหลักปฏิบัติซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นคณะนักบวชคาทอลิกรุ่นแรก เช่น นักบุญออกัสตินแห่งฮิปโปผู้ก่อตั้งคณะออกัสติเนียนในยุคแรก นักบุญเบเนดิกต์แห่งเนอร์เซียผู้วางรากฐานคณะเบเนดิกติน เป็นต้น
นักพรตในศาสนาเชน
ลัทธิพรตนิยมในศาสนาเชนเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยศาสดาพระมหาวีระ นักพรตเชนแบ่งเป็น 2 นิกาย คือ
- ทิคัมพร เป็นนักพรตเปลือย เพราะไม่ถือครองสมบัติใด ไม่กินอาหาร
- เศวตัมพร (อ่านว่า สะ-เหฺว-ตำ-พอน) เป็นนักพรตนุ่งขาว
นักพรตเชนจะต้องถือข้อปฏิบัติที่เรียกว่า มหาพรต 5 ประการ คือ
- อหิงสา ไม่ทำลายแม้แต่ชีวิตเล็กน้อย ฉะนั้นจึงต้องมีผ้าปิดปากจมูกเพื่อกันสิ่งมีชีวิตเข้า มีไม้กวาด มีผ้ากรองน้ำไว้ป้องการกันฆ่าสัตว์โดยไม่เจตนา
- สัตยะ การพูดแต่ความจริง
- อัสเตยะ ไม่ลักขโมย
- พรหมจรรยะ เว้นจากกามโดยสิ้นเชิง
- อปริครหะ ไม่ละโมบ