Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.
ภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตนจากเบาหวาน
ภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตน จากเบาหวาน (Diabetic ketoacidosis) | |
---|---|
Dehydration may be severe in diabetic ketoacidosis, and intravenous fluids are usually needed as part of its treatment. | |
สาขาวิชา | วิทยาต่อมไร้ท่อ |
อาการ | อาเจียน ปวดท้อง หายใจหอบลึก ปัสสาวะบ่อย สับสน ลมหายใจมีกลิ่นอะซีโตน |
ภาวะแทรกซ้อน | Cerebral edema |
การตั้งต้น | รวดเร็ว |
สาเหตุ | ร่างกายขาดอินซูลิน |
ปัจจัยเสี่ยง | Usually type 1 diabetes, less often other types |
วิธีวินิจฉัย | High blood sugar, low blood pH, ketoacids |
โรคอื่นที่คล้ายกัน | Hyperosmolar nonketotic state, alcoholic ketoacidosis, uremia, salicylate toxicity |
การรักษา | Intravenous fluids, insulin, potassium |
ความชุก | 4–25% of people with type 1 diabetes per year |
ภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตนจากเบาหวาน หรือ ดีเคเอ (อังกฤษ: diabetic ketoacidosis - DKA) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่มีอันตรายถึงชีวิตซึ่งพบได้ในผู้ป่วยเบาหวาน ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 แต่ก็อาจพบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ในบางสถานการณ์ DKA เป็นผลจากการขาดอินซูลิน ทำให้ร่างกายหันไปใช้พลังงานจากกรดไขมันซึ่งผลจากการเผาผลาญกรดไขมันจะทำให้ได้ผลผลิตเป็นคีโตนบอดี้ซึ่งทำให้เกิดอาการและภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้
ผู้ป่วยเบาหวานบางรายอาจไม่เคยมีอาการหรือไม่เคยรับการตรวจมาก่อนเลย จนพบมีอาการอีกครั้งก็คือเป็นมากจนเป็น DKA แล้วก็มี สิ่งกระตุ้นให้เกิด DKA ในผู้ป่วยเบาหวานมีหลายอย่าง สาเหตุที่สำคัญและพบบ่อยคือการขาดยา อาการของ DKA ที่พบบ่อยคืออาเจียนมาก ขาดน้ำ หายใจลึกเร็ว สับสน หรือหมดสติถึงขั้นโคม่าได้ การวินิจฉัย DKA ทำได้โดยการตรวจเลือดและตรวจปัสสาวะ แยกจากภาวะเลือดเป็นกรดอื่นๆ (ซึ่งพบน้อยกว่ามาก) ได้โดยตรวจพบมีน้ำตาลในเลือดสูงมาก การรักษาที่สำคัญคือการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำเพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำ ให้อินซูลินเพื่อให้ร่างกายสามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ไม่ต้องย่อยสลายไขมันเกิดเป็นคีโตนและกรดคีโตน รักษาโรคที่พบร่วมและอาจเป็นเหตุกระตุ้นได้เช่นการติดเชื้อต่างๆ รวมทั้งติดตามอาการใกล้ชิดเพื่อตรวจและรักษาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
DKA เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้ โรคนี้ได้รับการอธิบายครั้งแรกใน ค.ศ. 1886 และยังไม่มีวิธีรักษาที่ได้ผลดีจนกระทั่งมีการค้นพบการใช้อินซูลินในการรักษาเมื่อช่วง ค.ศ. 1920 ในปัจจุบันการรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงทีสามารถลดอัตราตายได้เหลือน้อยกว่า 5%
อาการและอาการแสดง
การดำเนินโรคของ DKA ในครั้งหนึ่งๆ มักดำเนินไปภายในระยะเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง อาการที่พบบ่อยได้แก่อาการคลื่นไส้อาเจียน กระหายน้ำ ปัสสาวะมาก และปวดท้อง บางครั้งสามารถปวดท้องรุนแรงได้ ผู้ป่วยที่ได้ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเองจะพบว่ามีน้ำตาลในเลือดสูง หากเป็น DKA ชนิดรุนแรง ผู้ป่วยอาจมีอาการหายใจหอบลึก มีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่าการหายใจแบบคุสส์เมาล์ อาจมีอาการปวดท้องแบบที่มีจุดกดเจ็บชัดเจน จนอาจถูกสงสัยว่าเป็นโรคปวดท้องเฉียบพลันชนิดอื่น เช่น ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน ไส้ติ่งอักเสบ หรือทางเดินอาหารทะลุ ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งมีอาการอาเจียนเป็นตะกอนสีกาแฟซึ่งอาจเกิดจากแผลที่หลอดอาหาร หากรุนแรงมากผู้ป่วยอาจมีอาการสับสน ง่วงซึม หรือหมดสติได้
การตรวจร่างกายมักพบอาการแสดงของภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง ผิวหนังแห้ง ไม่ยืดหยุ่น หากขาดน้ำรุนแรงอาจทำให้มีปริมาตรเลือดไหลเวียนลดลง เกิดหัวใจเต้นเร็วและความดันเลือดต่ำได้ นอกจากนี้ยังอาจพบกลิ่นคีโตน ซึ่งมักถูกบรรยายว่าเป็นกลิ่นคล้ายผลิ่นผลไม้ และอาจพบการหายใจเร็ว ซึ่งสัมพันธ์กับการหายใจแบบคุสส์เมาล์ได้
ผู้ป่วยเด็กเล็กที่เป็น DKA มีความเสี่ยงต่อการเกิดสมองบวมมากกว่าผู้ป่วยกลุ่มอื่นที่เป็นโรคนี้ ภาวะนี้อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หมดสติ สูญเสียรีเฟล็กซ์ม่านตาตอบสนองต่อแสง และอาจเสียชีวิตได้ ภาวะนี้พบในผู้ป่วยเด็กที่เป็น DKA ประมาณ 0.3-1.0% พบได้บ้างในวัยรุ่น แต่พบน้อยมากในผู้ใหญ่ เมื่อเป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตประมาณ 20-50%
สาเหตุ
ส่วนใหญ่จะพบ DKA ในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานอยู่ก่อน แต่ผู้ป่วยเบาหวานบางรายอาจมีอาการครั้งแรกตอนที่เป็น DKA โดยไม่เคยทราบมาก่อนว่าเป็นเบาหวาน ส่วนใหญ่มักมีภาวะอื่นที่กระตุ้นให้เกิดเป็น DKA ภาวะเช่นนี้เช่น การเจ็บป่วย (ปอดอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ ท้องร่วง ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ) การตั้งครรภ์ การได้รับอินซูลินไม่เพียงพอ (เช่น อุปกรณ์เสีย) โรคหัวใจขาดเลือด สมองขาดเลือด หรือการใช้โคเคน เป็นต้น ผู้ป่วยเด็กหรือวัยรุ่นที่เป็น DKA บ่อยๆ อาจมีโรคทางพฤติกรรมการกิน หรืออาจใช้อินซูลินน้อยกว่าที่ควรเพราะกลัวอ้วน เป็นต้น
วิทยาการระบาด
DKA เกิดในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 4.6-8.0 ต่อ 1000 ใน 1 ปี ข้อมูลประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่ามีการรับผู้ป่วย DKA ไว้รักษาในโรงพยาบาล 100,000 ครั้งต่อปี คิดเป็นค่าใช้จ่าย 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1/4 - 1/2 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการให้การดูแลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ทั้งหมด ตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา แนวโน้มในการให้การรักษา DKA เป็นการรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาลมากขึ้น ความเสี่ยงของการเกิด DKA จะสูงในผู้ป่วยเบาหวานที่ยังคงมีพฤติกรรมหรือปัจจัยเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง เช่น การควบคุมอาหารไม่ได้ และกลุ่มที่ไม่สามารถรับการรักษาด้วยอินซูลินได้ ผู้ป่วยเด็กที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ประมาณ 30% จะเพิ่งทราบเป็นครั้งแรกว่าเป็นโรคเบาหวานหลังจากเกิดมี DKA
แหล่งข้อมูลอื่น
การจำแนกโรค | |
---|---|
ทรัพยากรภายนอก |
Volume status | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อิเล็กโทรไลต์ |
|
||||||||
กรด-เบส |
|
||||||||
|