Мы используем файлы cookie.
Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.

สแตติน

Подписчиков: 0, рейтинг: 0
การเข้าจับกับตำแหน่งเร่งปฏิกิริยา (catalytic center) บนเอนไซม์ HMG-CoA reductase ของยาเมวาสแตติน

สแตติน (อังกฤษ: Statins หรือ HMG-CoA reductase inhibitors) เป็นกลุ่มของยาลดไขมันในกระแสเลือด (Hypolipidemic agents หรือ Lipid lowering agents) มีโครงสร้างเป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ได้ทั้งจากการสังเคราะห์และจากธรรมชาติที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 3-hydroxy-3-methyl-glutaryl coenzyme A reductase (HMG-CoA reductase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ในขั้นกำหนดอัตรา (rate limiting enzyme) ที่ทำหน้าที่เปลี่ยน HMG CoA เป็นสารจำพวกคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ดังนั้น จึงมีการนำยากลุ่มสแตตินนี้มาใช้เป็นยาลดระดับคอเลสเตอรอลในกลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disease) จากภาวะไขมันสูงกว่าปกติ ทั้งในรูปแบบการใช้สแตตินเพียงชนิดเดียวหรือใช้ร่วมกับยาลดไขมันในกระแสเลือดกลุ่มอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ลดลงในผู้ที่ใช้สแตตินนั้นไม่ได้เป็นผลมาจากการลดระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดเพียงอย่างเดียว หากแต่มาจากฤทธิ์ของยาต่อระบบหัวใจและหลอดหลายอย่างรวมกัน ที่เรียกว่า ไพลโอทรอปิกเอฟเฟกต์ (pleiotropic effect) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฤทธิ์ในการลดการอักเสบ เพิ่มความคงตัวของคราบพลัคไขมันที่เกาะอยู่ในผนังหลอดเลือด (atherosclerotic plaques) รวมทั้งผลจากการรบกวนกระบวนการแข็งตัวของเลือด (coagulation and fibrinolysis system)

สมาชิกในกลุ่มสแตติน

สูตรโครงสร้างของโลวาสแตติน, ซึ่งถือเป็นสแตตินชนิดแรกที่วางตลาด

มีดังนี้

การแบ่งประเภท

เห็ดนางรม (Oyster mushroom) ที่พบขึ้นตามธรรมชาติ
ข้าวแดงหมักแห้ง (Dried grain red yeast rice) ที่ได้จากการหมักข้าวด้วยเชื้อรา Monascus purpureus

ยาลดไขมันในกระแสเลือดกลุ่มสแตตินนี้มีทั้งชนิดที่ได้มาจากธรรมชาติ, กึ่งสังเคราะห์, หรือบางชนิดได้จากการสังเคราะห์ขึ้นเองภายในห้องปฏิบัติการ โดยสแตตินที่ได้มาจากธรรมชาติ ได้แก่ โลวาสแตติน, เมวาสแตติน, และ ปราวาสแตติน สแตตินกึ่งสังเคราะห์ ได้แก่ ซิมวาสแตติน ซึ่งได้จากสารที่เกิดขึ้นจากกระบวนการสร้างโลวาสแตติน แต่ในปัจจุบันพบว่าเชื้อ Escherichia coli ที่มีการสร้างเอนไซม์ acetyltransferase มากเกินไป ส่วนสแตตินชนิดที่เหลือ คือ อะโทวาสแตติน, เซอริวาสแตติน, ฟลูวาสแตติน, โรสุวาสแตติน,และ พิทาวาสแตติน ล้วนแล้วแต่ได้จากการสังเคราะห์ขึ้นในห้องปฏิบัติการเท่านั้น

ทั้งนี้ ยาลดไขมันในกระแสเลือดกลุ่มสแตตินที่ได้จากธรรมชาตินั้น ส่วนใหญ่แล้วมักได้จากกระบวนการการหมักผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจำพวกเห็ดรา เช่น โลวาสแตตินที่ได้จากการหมักเห็ดนางรม (oyster mushroom หรือ Pleurotus ostreatus) และจากการหมักข้าวแดงจากเชื้อราโมแนสคัส (Red Yeast Rice)

สแตตินที่ได้จากเชื้อรา

ในปัจจุบัน ยากลุ่มสแตตินนั้นสามารถถูกสร้างได้โดยเห็ดราหลายชนิด ได้แก่ Aspergillus terreus, บางสายพันธ์ของตระกูล Monascus, Penicillium, Doratomyces, Eupenicillinum, Gymnoascus, Hypomyces, Paecilomyces, Phoma, Trichoderma และ Pleurotis ในกรณีการผลิตปราวาสแตติน ในระดับอุตสาหกรรมนั้นจะใช้วิธีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเมวาสแตติน โดยกระบวนการทางชีวภาพ (bioconversion) ถึงแม้ว่าปราวาสแตตินจะสามารถสร้างขึ้นได้จากเห็ดราบางสายพันธ์ในตระกูล Aspergillus และ Monascus ก็ตาม ตารางต่อไปนี้เป็นตารางที่แสดงถึงสายพันธ์ของเห็ดราที่สามารถสร้างสแตตินได้

สายพันธ์ของเชื้อราที่สามารถสร้างสารกลุ่มสแตตินได้
ชนิดของสแตติน สายพันธ์ของเห็ดรา
เมวาสแตติน

Penicillium citrinum
Penicillium compactum
Penicillium brevicompactum
Penicillium cyclopium
Paecilomyces sp.
Eupenicillium sp.
Hypomyces chrysospermus
Trichoderma longibrachiatum
Trichoderma pseudokoningii

โลวาสแตติน

Monascus rube
Monascus purpureus
Monascus vitreus
Monascus pilosus
Monascus pubigerus
Aspergillus terreus
Aspergillus flavipes
Pleurotis ostreatus
Pleurotis sapidus
Pleurotis saca

ปราวาสแตติน

Aspergillus sp.
Monascus sp.
Actinomadura sp.
Mucor hiemalis
Nocardia
Streptomyces carbophilus
Streptomyces tanashiensis
Streptomyces anulatus

สแตตินที่ได้จากผลิตภัณฑ์อาหาร

นอกจากโลวาสแตตินจะถูกสร้างได้จากเชื้อราบางสายพันธ์ดังแสดงในตารางดังข้างต้นแล้ว ยาดังกล่าวยังสามารถถูกสร้างได้จากเห็ดนางรม (Pleurotus ostreatus) ซี่งพบได้ทั่วไปในธรรมชาติและมีการผลิตเชิงอุตสาหกรรมเพื่อเป็นส่วนประกอบของอาหารหลายชนิด โดยเห็ดนางรมที่พบในธรรมชาตินั้นสามารถพบได้ทั่วไปแทบทุกส่วนของภาคพื้นทวีป ยกเว้นในแอนตาร์กติกา โดยมักพบเห็ดสายพันธ์ดังกล่าวขึ้นตามลำต้นของต้นไม้ที่ตายแล้ว นอกจากนั้นอาจพบขึ้นได้ตามกองฟางข้าว, ข้าวโพด, หรือธัญพืชชนิดอื่นๆ ได้ นอกเหนือจากนั้น การหมักข้าวแดงจากเชื้อราโมแนสคัส (Red Yeast Rice) ก็ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ในการสร้างโลวาสแตติน ซึ่งทำได้ดดยการหมักข้าวด้วยเชื้อราสายพันธ์ Monascus purpureus ซึ่งเป็นสายพันธ์ที่พบได้ตามธรรมชาติในอาหารพื้นเมืองของจีน เช่น เป็ดปักกิ่ง (Peking Duck) เป็นต้น

ประวัติการค้นพบ

การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดแข็ง

ลำดับการค้นพบยากลุ่มสแตติน

ในปี ค.ศ. 1575 นายแพทย์และนักกายวิภาคศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อ Gabrielle Falloppio ค้นพบการเปลี่ยนแปลงพยาธิสภาพของหลอดเลือดเป็นครั้งแรก โดยพบการสะสมของหินปูนบริเวณผนังหลอดเลือด ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเกิดการเสื่อมสลายของกระดูก (bone degeneration) ส่วนการเกิดคราบพลัคเกาะบริเวณผนังหลอดเลือดนั้นได้ถูกอธิบายไว้เป็นครั้งแรกในช่วงศตวรรษที่ 17 โดยนักกายวิภาคศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ 2 คน ชื่อ Johann Conrad Brunner และ Albrecht von Haller และต่อมาในปี ค.ศ. 1799 Caleb Hillier Parry นายแพทย์ชาวอังกฤษพบว่าการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (ischemic heart disease) อาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจแข็ง (coronary atherosclerosis) จากนั้นก็เริ่มมีการใช้ศัพท์ทางการแพทย์ว่า arteriosclerosis เพื่อใช้แทนความผิดปกติของหลอดเลือดในรูปแบบดังกล่าว ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1835 โดยศัลยแพทย์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ Jean Lobstein, ปี ค.ศ. 1904 โดย Felix Marchand พยาธิแพทย์ชาวเยอรมนี และต่อมาในปี ค.ศ. 1843 Julius Vogel แพทย์ชาวเยอรมนีได้ค้นพบว่าส่วนประกอบหลักของคราบหลักที่เกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือดนั้นมักเป็นคอเลสเตอรอล ซึ่งบทบาทของคอเลสเตอรอลต่อการเกิดความผิดปกติของหลอดเลือดในรูปแบบดังกล่าวนั้นถูกค้นพบภายหลังในปี ค.ศ. 1852 และ 1856 โดย Karl von Rokitansky และ Rudolf Virchow ตามลำดับ ในปี ค.ศ. 1913 Nikolai Anichkov พยาธิแพทย์ชาวรัสเซีย ได้ทำการศึกษาถึงความความสัมพันธ์ระหว่างคอเลสเตอรอลกับการเกิดโรคหลอดเลือดแข็งในสัตว์ทดลองที่ได้รับการเหนี่ยวนำให้มีภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ผลการทดลองพบว่าสัตว์ทดลองเหล่านั้นเกิดโรคหลอดเลือดแข็งดังเช่นสมมติฐานที่ตั้งไว้

ในการศึกษาวิจัยในประเด็นที่เชื่อกันว่า การเกิดโรคหลอดเลือดแข็งนั้นถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้จากการเสื่อมถอยตามธรรมชาติของร่างกายมนุษย์เมื่อมีอายุมากขึ้นและไม่มีวิธีการใดที่จะรบกวนการเกิดกระบวนการดังกล่าวได้นั้นยังคงไม่มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม จนกระทั่งในช่วงต้นทศวรรษที่ 40 ในปี ค.ศ. 1949 John Gofman ได้ค้นพบไลโปโปรตีนคอเลสเตอรอลชนิดความเข้มข้นต่ำ (low-density lipoprotein; LDL) ในกระแสเลือด จากนั้นอีกไม่กี่ปีถัดมา Gofman ก็ได้ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างการมีระดับ LDL ในกระแสเลือดสูงกับการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary heart disease) จากนั้นในปี ค.ศ. 1959 สถานบันวิจัยเซลล์ชีววิทยาและพันธุศาสตร์ระดับโมเลกุลมักซ์ พลังค์ (Max Planck Institute of Molecular Cell Biology and Genetics; MPI-CBG) ในเยอรมนีได้ค้นพบว่าเอนไซม์ HMG-CoA reductase นั้นเป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลของร่างกายมนุษย์ และต่อมาในปี ค.ศ. 1961 จากการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ฉบับหนึ่งที่มีชื่อการศึกษาว่า Framingham study (Framingham Heart Study) ได้ค้นพบว่า การมีระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดที่สูงกว่าปกตินั้นถือเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (cardiovascular diseases) หลังจากนั้นไม่นาน เอกสารตีพิมพ์ของสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association) ได้ยืนยันถึงความสัมพันธ์ดังกล่าวและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการควบคุมอาหารในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจสูง อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ 60 ได้มีการค้นพบในประเด็นดังกล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้จะมีการควบคุมการรับประทานอาหารเป็นอย่างดี ร่างกายก็ยังสามารถสร้างคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้นได้ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายได้โดยผ่านกระบวนการการเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ที่ใช้สังเคราะห์คอเลสเตอรอลในตับ และในช่วงนั้น บทบาทของการใช้ยาลดระดับไขมันในกระแสเลือดเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและอัตราการเกิดความพิการจากโรคหลอดเลือดหัวใจนั้นยังสรุปได้ไม่แน่ชัดและยังคงเป็นเพียงการตั้งสมมติฐานที่ยังไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นได้เด่นชัด จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1984 การศึกษาวิจัยที่มีชื่อว่า LRC-CPPT ได้ค้นพบว่า การลดลงของระดับ LDL ในกระแสเลือดนั้นสามารถลดอัตราการเสียชีวิตและอัตราการเกิดความพิการจากโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ป่วยชายที่มีระดับ LDL ในกระแสเลือดสูงได้

การค้นพบยากลุ่มสแตติน

เอริกะ เอ็นโดะ (Akira Endo) นักชีวเคมีชาวญี่ปุ่น ผู้คนพบ ML-236B

ในปี ค.ศ. 1973 เอริกะ เอ็นโดะ (Akira Endo) นักชีวเคมีชาวญี่ปุ่น ได้ทำการคัดแยกสารประกอบต่างๆ ที่ได้จากเชื้อจุลชีพมากกว่า 6,000 ชนิด โดยเฉพาะกลุ่มของเชื้อรา และพบว่าสารประกอบ ML-236B (เมวาสแตติน) ที่ถูกสร้างโดยเชื้อ Penicillium citrinum นั้นมีคุณสมบัติในการลดระดับคอเลสเตอรอลและ LDL ในกระแสเลือดทั้งในสัตว์ทดลองและในมนุษย์ แต่การศึกษาถึงผลของสารดังกล่าวในสัตว์ทดลองต่อมาในภายหลังพบว่ามีความเป็นพิษค่อนข้างสูง ในปี ค.ศ. 1976 นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งก็สามารถแยกสารประกอบที่มีชื่อว่า คอมเพคติน (Compactin) ได้จากสารเมทาบอไลต์ของเชื้อรา Penicillium brevicompactum ซึ่งต่อมาทราบว่าสารดังกล่าวนั้นเป็นสารชนิดเดียวกันกับเมวาสแตติน อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์กลุ่มดังกล่าวนั้นมุ่งเน้นศึกษาคุณสมบัติในการต้านเชื้อราของสารที่ค้นพบเป็นหลัก ไม่ได้มุ่งเน้นศึกษาฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ HMG-CoA reductase แต่อย่างใด ต่อมาในปี ค.ศ. 1978 คณะศึกษาของ Alfred Alberts ได้ค้นพบสารชนิดหนึ่งที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับสารประกอบ ML-236B ที่ได้จากกระบวนการการหมักของรา Aspergillus terreus ซึ่งต่อมาสารดังกล่าวถูกเรียกชื่อว่า Mevinolin และในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง เอริกะ เอ็นโดะ ก็สามารถคัดแยกสารประกอบที่มีชื่อว่า Monacolin K ซึ่งมีกลไกออกฤทธิ์คล้ายคลึงกับสแตติน ได้จากรา Monascus ruber จากนั้นในปี 1979 เอ็นโดะก็ได้รับสิทธิบัตรในการผลิตสารดังกล่าว และในช่วงปลายปีนั้น ก็ได้มีการค้นพบว่า โดยที่จริงแล้ว Monacolin K และ Mevinolin นั้นเป็นสารประกอบชนิดเดียวกัน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบันภายใต้ชื่อว่า โลวาสแตติน

การพัฒนายากลุ่มสแตติน

ในปี ค.ศ. 1987 ได้มีการผลิต โลวาสแตติน เพื่อจำหน่ายเชิงการค้าเป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อการค้า Mevacor ของบริษัท Merck & Co. (หรือ Merck Sharp & Dohme, MSD สำหรับในประเทศอื่นนอกเหนือจากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา) ซึ่งสแตตินชนิดแรกที่ถูกผลิตขึ้นในเชิงอุตสาหกรรมการค้า และต่อมาไม่นานนัก บริษัท ไดอิจิ ซังเคียว (Daiichi Sankyo) ซึ่งเป็นผู้ค้นพบเมวาสแตติน ได้พัฒนาสแตตินชนิดใหม่ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของเมวาสแตตินขึ้นมา มีชื่อว่า ปราวาสแตติน ซึ่งมีความแรงและความจำเพาะในการออกฤทธิ์มากกว่าสารต้นแบบเดิม และถูกนำออกจำหน่ายในญี่ปุ่นภายใต้ชื่อการค้า Mevalotin ในปี ค.ศ. 1988 และปี ค.ศ. 1991 ในสหรัฐอเมริกา ภายใต้ชื่อการค้า Pravachol และจากนั้นอีก 2 เดือนถัดมา ซิมวาสแตติน ภายใต้ชื่อการค้า Zocor ก็ถูกผลิตออกวางจำหน่ายในท้องตลาด ส่วนสแตตินที่ได้จากการสังเคราะห์ชนิดแรกที่ถูกผลิตออกจำหน่ายเชิงการค้า คือ ฟลูวาสแตติน (ชื่อการค้า Lescol) ของบริษัท โนวาร์ติส (Novartis) ในช่วงปี ค.ศ. 1993 และอีก 3 ปีถัดมา บริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) ก็ได้ผลิตสแตตินสังเคราะห์อีกชนิดหนึ่งออกจำหน่ายในท้องตลาด คือ อะโทวาสแตติน ภายใต้ชื่อการค้า Lipitor หลังจากนั้นมาเพียงแค่อีก 1 ปี บริษัท เบเยอ่ร์เอจี (Bayer AG) ก็ได้ผลิตสแตตินสังเคราะห์อีกชนิด คือ เซอริวาสแตติน ออกจำหน่ายในท้องตลาด ภายใต้ชื่อการค้า Baycol และ Lipobay ซึ่งต่อมาในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 2001 ตัวยาดังกล่าวถูกถอนทะเบียนออกจากตลาดโดยความสมัครใจของบริษัท (ภายใต้ความเห็นชอบของคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา) เนื่องจากการใช้ยาดังกล่าวนั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรงคือ การเกิดภาวะกล้ามเนื้อสลายแบบ rhabdomyolysis จากนั้น ในปี ค.ศ. 2000 บริษัท โนวาร์ติส (Novartis) ได้มีการวางจำหน่ายยากลุ่มสแตตินชนิดใหม่ คือ ฟลูวาสแตติน ภายใต้ชื่อการค้า Lescol XL และถัดจากนั้นมาอีกแค่ 3 ปี บริษัทโควะ ฟาร์มาซูตคอลส์ (Kowa Pharmaceuticals) ก็ได้มีการผลิตสแตตินตัวใหม่อีก 2 ชนิด ออกจำหน่ายในท้องตลาด คือ พิทาวาสแตติน ภายใต้ชื่อการค้า Livalo และโรสุวาสแตติน ภายใต้ชื่อการค้า Crestor และ AstraZeneca

การศึกษาทางคลินิก

จากข้อมูลการศึกษาทางคลินิกหลายการศึกษาที่มีในปัจจุบันให้ผลสนับสนุนข้อเท็จจริงที่ว่าการใช้ยากลุ่มสแตตินมีผลลดอุบัติการณ์การเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคดังกล่าวสูง ซึ่งรวมไปถึงการลดอัตราการเสียชีวิตจากการเกิดความผิดปกติดังกล่าวด้วย การศึกษาที่สำคัญที่ให้ข้อมูลยืนยันถึงประสิทธิภาพของสแตตินในการเป็นยาป้องกันปฐมภูมิ (primary prevention) ต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่ การศึกษา WOSCOPS, AFCAPS / TEXCAPS, HPS และ JUPITER ส่วนการศึกษาที่ให้ข้อมูลยืนยันถึงประสิทธิภาพของสแตตินในการเป็นยาป้องกันทุติยภูมิ (secondary prevention) ต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่ การศึกษา 4S, LIPID และ CARE และการศึกษาที่ให้ผลสนับสนุนถึงประสิทธิภาพของการใช้สแตตินร่วมกับยาลดไขมันในกระแสเลือดชนิดอื่น ได้แก่ การศึกษา ACCORD study และ LIPID SHARP ซึ่งรายละเอียดของแต่ละการศึกษาดังแสดงในตารางต่อไปนี้

ชื่อย่อ
การศึกษา
ชื่อ
การศึกษา
ระยะเวลา
ศึกษา
ยาที่ใช้
ในการศึกษา
กลุ่มตัวอย่าง วารสาร
ที่ตีพิมพ์
จำนวน
กลุ่มตัวอย่าง
ผลการศึกษา
4S Scandinavian
Simvastatin
Survival Study
5 ปี ซิมวาสแตติน
  • ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ
  • ผู้ป่วยที่มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง
Lancet 4444
  • อัตราการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ (all-cause mortality) ลดลง 30%
  • อัตราการเสียชีวิตจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (myocardial infarction) ลดลง 42%
LIPID Long term
Intervention
with Pravastatin
in Ischemic Disease
6 ปี ปราวาสแตติน
  • ผู้ป่วย unstable angina
  • ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (myocardial infarction)
NEJM 9014
  • อัตราการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ (all-cause mortality) ลดลง 22%
  • อัตราการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary heart disease) ลดลง 24%
  • จำนวนผู้ป่วยที่ต้องได้รับการใส่อุปกรณ์ขยายหลอดเลือดหัวใจลดลง 20%
  • จำนวนการเกิดอาการของโรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular events) ลดลง 29%
  • จำนวนการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) ลดลง19%
CARE Cholesterol
And Recurrent
Events
5 ปี ปราวาสแตติน
  • ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (myocardial infarction)
NEJM 4159
  • จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดลดลง 23%
  • จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ, กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดลดลง หรือผู้ที่ต้องได้รับการใส่อุปกรณ์ขยายหลอดเลือดหัวใจลดลง 24%
  • จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือโรคหลอดเลือดสมองลดลง 24%
WOSCOPS West Of
Scotland
Coronary
Prevention
Study
5 ปี ปราวาสแตติน
  • ระดับคอเลสเตอรอล ≥ 252 mg/dl
  • ไม่มีประวัติการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
NEJM 6595
  • อัตราการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ (all-cause mortality) ลดลง 22%
  • จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลง 32%
  • จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจลดลง 28%
  • จำนวนการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดลดลง 31%
TEXCAPS Air Force/Texas
Coronary
Atherosclerosis
Prevention
Study
5 ปี โลวาสแตติน
  • มีระดับไขมันในเลือดสูงผิดปกติ
  • ไม่เป็นโรคที่มีความสัมพันธ์กับโรคหลอดเลือดแข็ง
American Journal
of Cardiology
6605
  • ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจลดลง 37%
  • ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเป็นครั้งแรกลดลง 40%
  • จำนวนการเกิด unstable angina ลดลง 32%
  • ลดความเสี่ยงต่อการเกิดเหตุการณ์ที่จะต้องได้รับการใส่อุปกรณ์ขยายหลอดเลือดลง 33%
HPS Heart Protection
Study of cholesterol
lowering with
simvastatin
5 ปี ซิมวาสแตติน
  • มีระดับคอเลสเตอรอลผิดปกติ
  • มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจสูง
  • ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
Lancet 20,536
  • อัตราการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ (all-cause mortality) ลดลง 13%
  • อัตราการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจลดลง 18%
  • ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจลดลง 24%
  • ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดลดลง 37%
  • ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองลดลง 25%
  • จำนวนผู้ที่ต้องได้รับการใส่อุปกรณ์ขยายหลอดเลือดหัวใจลดลง 24%
JUPITER Justification
for the Use of
Statins in Primary
Prevention:
An Intervention
Trial Evaluating
Rosuvastatin trial
2 ปี โรสุวาสแตติน
  • ระดับ LDL < 130 mg/dl
  • ไม่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
  • hsCRP > 2 mg/dl
NEJM 17,802
  • อัตราการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ (all-cause mortality) ลดลง 20%
  • ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, โรคหลอดเลือดสมอง, หรือเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจลดลง 50%
ACCORD LIPID Action to
Control Cardiovascular
Risk in Diabetes
Lipid Trial
5 ปี ซิมวาสแตติน
ฟีโนไฟเบรต
  • ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
NEJM 5518
  • คามเสี่ยงต่อการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, โรคหลอดเลือดสมอง หรือเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ป่วยที่มีระดับไตรกลีเซอรได์ในเลือดสูงกว่า 204 mg/dl หรือมีระดับ HDL น้อยกว่า < 34 mg/dl ลดลง 31%
SHARP Study of
Heart and
Renal Protection
5 ปี ซิมวาสแตติน
อีเซทิไมบ์
  • ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
Lancet 9270
  • การเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ, ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง, หรือความจำเป็นที่จะต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อขยายหลอดเลือดลดลง17%

โครงสร้าง

โครงสร้างหลักของยากลุ่มสแตติน

โครงสร้างหลักของสแตตินที่ได้จากธรรมชาติ (โลวาสแตติน, ปราวาสแตติน, ซิมวาสแตติน, รวมไปถึงเมวาสแตตินที่ยังไม่มีการนำมาใช้ในทางคลินิก) จะมีโครงสร้างเป็น hydrogenated naphthalene ที่ประกอบไปด้วยคาร์บอนจำนวน 7 อะตอม มีหมู่เมธิลที่ตำแหน่งที่ 7, หมู่ไฮดรอกซิลในตำแหน่งที่ 4 (สำหรับปราวาสแตตินและ active form ของโลวาสแตติน, ซิมวาสแตติน, และแมวาสแตติน จะถูกเปลี่ยนแปลงโดยปฏิกิริยาไฮโดรไลสิสได้เป็น β-hydroxy carboxylic acid) ส่วนโครงสร้างหลักของสแตตินที่ได้จากการสังเคราะห์ ได้แก่ อะโทวาสแตตินมีโครงสร้างหลักเป็นวงไพร์โรล (pyrrole), ฟลูวาสแตตินมีโครงสร้างหลักเป็นวงอินโดล (indole), เซอริวาสแตตินมีโครงสร้างหลักเป็นวงไพริดีน (pyridine), โรสุวาสแตตินมีโครงสร้างหลักเป็นวงไพริมิดีน (pyrimidine) และปราวาสแตตินมีโครงสร้างเป็นวงควิโนโลน (quinolone) ทั้งนี้ นอกจากโครงสร้างของสแตตินทุกชนิดจะมีความคล้ายคลึงกันกับโมเลกุลของ 3-hydroxy-3-methylglutaryl-coenzyme A (HMG- CoA) แล้ว ยังมีความจำเพาะในการจับกับเอนไซม์ 3-hydroxy-3-methylglutaryl-coenzyme A (HMG-CoA) reductase ได้มากกว่า HMG-CoA ถึง 1000 เท่า ซึ่งเมื่อมีการเกิดสารประกอบเชิงซ้อนระหว่างเอนไซม์ดังกล่าวกับยากลุ่มสแตตินแล้วจะเกิดการจับกันอย่างสมบูรณ์แต่ก็สามารถเกิดการผันกลับได้ (competitively and reversibly)

การจับกับเอนไซม์ของสแตติน

Fluvastatin bounded to HMG-CoA reductase.png

จากข้อมูลที่ได้จากการศึกษาวิจัยพบความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างของสแตตินกับรูปแบบในการจับกับเอนไซม์ HMG-CoA reductase ดังต่อไปนี้

  • โครงสร้างหลัก (pharmacophore) ที่เป็น 3,5-dihydroxyhept-6-enoic acid ซึ่งมีหมู่ไฮดรอกซิลที่ตำแหน่งที่ 3 และ 5 เป็นโครงสร้างสำคัญที่ใช้จับเอนไซม์ HMG-CoA reductase
  • วงแหวนแลคโตนของโลวาสแตตินและซิมวาสแตตินจะเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลสิสและได้ผลิตภัณฑ์สุดท้ายเป็นตัวยาในรูปแบบที่ออกฤทธิ์ได้ (active form)
  • ระยะห่างที่เหมาะสมที่สุดระหว่างหมู่แทนที่และวงแหวน C5 คือ 2 อะตอม
  • วง decahydronaphthalene (Decalin) ของโลวาสแตติน, ซิมวาสแตติน และปราวาสสแตตินควรเป็นวง heterocyclic ring ที่มีคาร์บอน 5-6 อะตอม
  • พันธะระหว่าง C6 และ C7 ในวง Decalin และหมู่แทนที่ของวงไพรอลของโวาสแตติน, ซิมวาสแตติน และอะโทวาสแตติน ควรที่จะเป็นพันธะเดี่ยว ส่วนสแตตินชนิดอื่นควรจะเป็นพันธะคู่
  • หมู่แทนที่ p-fluorophenyl และสายแอลิฟาติกที่ตำแหน่ง ortho ของโครงสร้างหลักของสแตตินที่เป็นสารประกอบเฮเทอโรไซคลิกจะเพิ่มความสามารถในการจับกับ HMG-CoA reductase



กลไกการออกฤทธิ์

กลไกการออกฤทธิ์ของสแตติน ซึ่งจะยับยั้งการสร้าง mevalonate โดยการเข้าจับกับเอนไซม์ HMG-CoA reductase

กระบวนการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลในมนุษย์นั้นต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ หลายขั้นตอน โดยขั้นตอนแรก คือ การสร้าง mevalonate โดยการรีดิวซ์ 3-hydroxy-3-methylglutaryl-coenzyme A (HMG-CoA) ซึ่งในขั้นตอนนี้จำเป็นต้องใช้เอนไซม์ HMG-CoA reductase ในiรูปแบบที่ถูกรีดิวซ์ (reduced form) ของ nicotinamide adenine dinucleotide phosphate (NADPH + H +) ในการเกิดปฏิกิริยา ซึ่ง mevalonate ที่เกิดขึ้นนี้จะถูกเปลี่ยนแปลงโดยเอนไซม์ต่างๆในร่างกายอีกหลายขั้นตอนจนเกิดเป็นคอเลสเตอรอลในที่สุดสแตตินออกฤทธ์ยับยั้งเอนไซม์ ซึ่งกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นที่ตับ และคอเลสเตอรอลที่ผลิตได้คิดเป็นร้อยละ 70 ของคอเลสเตอรอลภายในร่างกายทั้งหมด โดยการทำงานของเอนไซม์ HMG-CoA reductase นี้จะถูกยับยั้งได้โดยปริมาณน้ำดีในร่างกาย, ระดับ mevalonate และระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายเท่านั้น ดังนั้นจึงอาจถือได้ว่าเอนไซม์ HMG-CoA reductase ถือเป็นเอนไซม์ที่สำคัญในกระบวนการการสร้างคอเลสเตอรอลในมุนษย์ การยับยั้งการทำงานของเอนไซม์นี้จะมีผลลดระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดลงได้

การรออกฤทธิ์ของสแตตินแต่ละชนิดนั้นจะมีความจำเพาะแตกต่างกันไปในแง่ของความสามารถในการเข้าจับกับเอนไซม์หรือระยะเวลาที่จับกับเอนไซม์ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้โดยทันทีเมื่อยาเข้าสู่ภายในเซลล์ตับ การยับยั้งการสร้างคอเลสเตรอลจะส่งผลให้เกิดการลดลงระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ทำให้ร่างกายขาดแคลนคอเลสเตอรอล เป็นผลให้รบกวนทำงานของยีนหลายยีนในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SREBP ซึ่งเป็นโปรตีนที่ถูกสร้างมาจากยีนที่ทำหน้าที่ควบคุมการสร้างจำพวกสเตอรอล โดยการรบกวนการทำงานของยีนนี้จะทำให้เกิดสร้างตัวรับ LDL ที่ผิวเซลล์ตับให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น และผลจากการที่มีตัวรับ LDL เพิ่มขึ้นนี้จะทำให้ LDL ถูกเก็บเข้าสู่เซลล์ตับมากขึ้น เป็นผลให้ระดับ LDL ในกระแสเลือดลดลงได้ในที่สุด โดยผลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเหล่านี้จะเห็นผลได้ชัดเจนภายหลัง 2 สัปดาห์แรกของการใช้ยา และจะเห็นผลได้อย่างเต็มที่หลังจากการรับประทานยาครั้งแรก 6 สัปดาห์

ผลไพลโอโทรปิคของสแตติน

กลไกพื้นฐานของสแตตินที่ก่อให้เกิดผลด้านไพลโอโทรปิคของสแตตินคือ การยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 3-hydroxy-3-methylglutaryl-coenzyme A (HMG-CoA) reductase ทำให้มีสร้างสารกลุ่ม isoprenoids ลดน้อยลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อพยาธิสภาพของหลอดเลือด โดยจะลดการเกิดการทำลายเซลล์ผนังหลอดเลือดโดยอนุมูลอิสระ (oxidative stress) และลดการเกิดคราบพลัคบริเวณผนังหลอดเลือด ซึ่งคราบพลัคที่เกิดขึ้นเหล่านี้อาจทำให้เกิดการอุดกั้นของเส้นเลือด หรืออาจเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบและมีผลยับยั้งการซ่อมแซมเส้นเลือดที่สึกหรอได้ ตารางต่อไปนี้ เป็นตารางเปรียบเทียบผลไพลโอโทรปิคของสแตตินชนิดต่างๆ

เซลล์
ผลไพลโอโทรปิค
อะโทวาสแตติน
เซอริวาสแตติน
ฟลูวาสแตติน
โลวาสแตติน
พิทาวาสแตติน
ปราวาสแตติน
โรสุวาสแตติน
ซิมวาสแตติน
เกล็ดเลือด ยับยั้งการกระตุ้นเกล็ดเลือด + + + +
ห้ามการจับกันของเกล็ดเลือด + +
เยื่อบุหลอดเลือด กระตุ้นหรือเพิ่มการสังเคราะห์ไนตริกออกไซด์ + + +
ยับยั้งการสร้างอนุมูลอิสระ + + + +
เพิ่มจำนวนหรือการทำงานของเซลล์ต้นกำเนิดผนังหลอดเลือด + +
เซลล์กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด ลดการเพิ่มจำนวนเซลล์ + + +
ลดการเกิด migration + +
เพิ่มการเกิดอะพอพโทซิส + + + + +
แมคโครฟาจ/โมโนไซต์ ลดการเพิ่มจำนวนเซลล์
ลดการทำงานของเอนไซม์ MNP protease + + + +
ลดการเกิดoxidized LDL + + + +
Vasculitis ลดการทำงานของ MHC-II + + + + + +
ลดระดับ hs-CRP + + + + +

ยาในกลุ่มสแตติน

ยาเดี่ยว

ในปี ค.ศ. 2014 มียากลุ่มสแตตินที่ถูกวางจำหน่ายในม้องตลาดอยู่ทั้งสิ้น 8 ชนิด ได้แก่ อะโทวาสแตติน, ฟลูวาสแตติน, โลวาสแตติน, ปราวาสแตติน, โรสุวาสแตติน, ซิมวาสแตติน, พิทาวาสแตติน, พิทาวาสแตติน และเมวาสแตติน ส่วนเซอริวาสแตตินนั้นถูกถอนทะเบียนออกจากตลาดในปี ค.ศ. 2001 เนื่องจากการใช้ยาดังกล่าวจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกล้ามเนื้อสลายแบบ rhabdomyolysis เป็นอย่างมาก จากความแตกต่างทางเคมีและเภสัชพลนศาสตร์ของสแตตินแต่ละชนิดทำให้สามารถแยกสแตตินชนิดต่างๆ ออกไปเป็น 4 รุ่น ได้แก่

ตารางต่อไปนี้เป็นตารางแสดงสูตรโครงสร้างของสแตตินชนิดต่างๆ ที่ถูกค้นพบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

อะโทวาสแตติน เซอริวาสแตติน ฟลูวาสแตติน โลวาสแตติน เมวาสแตติน
C33H34FN2O5 C26H34FNO5 C24H26FNO4 C24H36O5 C23H34O5
Atorvastatin pharmacophore.png Cerivastatin pharmacophore.png Fluvastatin pharmacophore.png Lovastatin pharmacophore.png Mevastatin2DCSD.svg
พิทาวาสแตติน ปราวาสแตติน โรสุวาสแตติน ซิมวาสแตติน
C25H24FNO4 C23H36O7 C22H28FN3O6S C25H38O5
Pitavastatin pharmacophore.png Pravastatin pharmacophore.png Rosuvastatin pharmacophore.png Simvastatin pharmacophore.png

ยาสูตรผสม

ยากลุ่มสแตตินเป็นยาที่มีการสั่งใช้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากในปัจจุบันประชากรโลกมีแนวโน้มที่จะเกิดความผิดปกติของระดับไขมันในเลือดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง โดยพบว่ากว่าร้อยละ 50 และ 35 ของประชากรในประเทศที่มีรายได้สูงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองตามลำดับ ในขณะที่ในประเทศที่มีรายได้ปานกลาง-น้อยก็จะมีสัดส่วนของประชากรที่มีความเสี่ยงดังกล่าวลดลงมาตามลำดับ ดังนั้น การใช้ยากลุ่มสแตตินในผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงหลายชนิดในรูปแบบยาสูตรผสมร่วมกับยาลดไขมันในกระแสเลือดชนิดอื่น หรือการใช้สแตตินผสมกับยารักษาโรคเรื้อรังอื่นในผู้ที่มีโรคร่วม จึงถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะสามารถลดค่าใช้จ่ายและงบประมาณในการดูแลสุขภาวะทางสุขภาพของประชากรเหล่านั้นได้ นอกจากนี้แล้ว การใช้ยาในรูปแบบสูตรผสมยังเป็นผลให้ผู้ป่วยเหล่านั้นรับประทานยาง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาหลายหน่วยพร้อมกัน โดยที่ประสิทธิภาพในการรักษาของยาแต่ละชนิดในยาสูตรผสมนั้นไม่แตกต่างไปจากเดิม จึงถือเป็นการเพิ่มความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยทางหนึ่ง โดยยาสูตรผสมของสแตตินที่มีจำหน่ายในท้องตลาดปัจจุบัน ดังแสดงในตารางต่อไปนี้

ตาราง 1 แสดงยาสูตรผสมที่มีขนาดของสแตตินหลายขนาด

สแตติน แอมโลดิปีน อีเซทิไมบ์ ไนอะซิน ฟีโนไฟเบรต แอสไพริน แอสไพริน
รามิพริล
ซิทากลิปทิน
อะโทวาสแตติน Yes check.svg Yes check.svg
เซอริวาสแตติน
ฟลูวาสแตติน
โลวาสแตติน Yes check.svg
พิทาวาสแตติน
ปราวาสแตติน Yes check.svg Yes check.svg
โรสุวาสแตติน Yes check.svg Yes check.svg
ซิมวาสแตติน Yes check.svg Yes check.svg Yes check.svg Yes check.svg Yes check.svg

ตารางที่ 2 แสดงยาสูตรผสมที่มีขนาดของสแตตินขนาดเดียว (fixed dose)

สแตติน แอสไพริน อะทีโนลอล อีนาลาพริล ไฮโดรคลอไรไทอะไซด์ ริสิโนพริล เมโทโพรลอล รามิพริล วอลซาร์ทาน
อะโทวาสแตติน Yes check.svg Yes check.svg Yes check.svg
Yes check.svg Yes check.svg
Yes check.svg Yes check.svg Yes check.svg
Yes check.svg Yes check.svg Yes check.svg
Yes check.svg Yes check.svg
ซิมวาสแตติน Yes check.svg Yes check.svg Yes check.svg
Yes check.svg Yes check.svg Yes check.svg
Yes check.svg Yes check.svg Yes check.svg

คุณสมบัติ

คุณสมบัติทางกายภาพ

ตารางต่อไปนี้เป็นตารางแสดงคุณสมบัติทางกายภาพ และตารางแสดงค่าการละลายของสแตตินชนิดต่างๆ ตามลำดับ

คุณสมบัติ อะโทวาสแตติน เซอริวาสแตติน ฟลูวาสแตติน โลวาสแตติน พิทาวาสแตติน ปราวาสแตติน โรสุวาสแตติน ซิมวาสแตติน
มวลโมลาร์ 557.63
459.55
411.46 404.53 421.46 424.52 481.53 418.56
ลักษณะภายนอก ผงสีขาวหรือเทาขาว
ผงสีขาวหรือเทาขาว ดูดความชื้นได้ดี
ผงผลึกสีขาวหรือเทาขาว, เหลืองอ่อนไปจนถึงแดงอ่อน ดูดความชื้นได้ดีมาก ผงผลึกสีขาวหรือเกือบขาว ผงสีขาวหรือเหลืองอ่อน ผงหรือผลึกผงสีขาวถึงเหลืองอ่อน ดูดความชื้นได้ดี ผงสีขาว ผงผลึกสีขาวหรือเกือบขาว
จุดหลอมเหลว [°C] 159.2-160.7
197-199
194-197 174.5 171-174 171.2-173 151-156 135-138
logP 5.7
3.4
4.5 4.26 3.75 0.59 0.13 4.68
ค่าการละลายในตัวทำละลายชนิดต่างๆ (mg/ml)
น้ำ 1.23
0.00024
0.00046 0.0004 0.00394 19.0 0.0886 0.0122
อะซิโตน 47.0
อาซีโตไนไตรล์ 28.0
เอ็น-บิวทานอล 7.0
ไอโซบิวทานอล 14.0
คลอโรฟอร์ม 350.0
DMF 15.0 10.0 90.0 30.0 30.0 5.0 20.0
DMSO 15.0 10.0 25.0 30.0 5.0 20.0
เอทานอล 0.5 0.5 16.0 30.0 1.0 20.0
เมทานอล 28.0
เอ็น-ออคทานอล 2.0
เอ็น-โพรพานอล 11.0
ไอโซโพรพานอล 20.0

คุณสมบัติทางเคมี

เมื่อสแตตินสัมผัสกับแสงแดดหรือแสงรังสีจากแหล่งสร้างแสงอื่นที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับแสงแดด พบว่าไม่เกิดปฏิกิริยาการเสื่อมสลายของตัวยา ถึงแม้ว่าจะมีการเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลสิสที่บริเวณวงแหวนแลคโตนของโครงสร้างหลัก แต่ปฏิกิริยาดังกล่าวนั้นสามารถผันกลับได้ จากการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่า การฉายรังสีอุลตร้าไวโอเลตความยาวคลื่น 254 นาโนเมตรไปยังสแตติน พบว่าสามารถเหนี่ยวนำให้เกิดการสลายตัวของสแตตินได้อย่างช้าๆ

ส่วนการตกค้างของยากลุ่มสแตตินในสิ่งแวดล้อมนั้น พบการเกิดการตกค้างได้น้อยมาก เนื่องจากยากลุ่มดังกล่าวโดยส่วนใหญ่มักถูกขับออกจากร่างกายในรูปแบบของสารเมทาบอไลต์โดยมีรายงานการพบอะโทวาสแตตินในสิ่งปฏิกูลและน้ำในแม่น้ำ ปกติแล้ว สแตตินเมื่ออยู่ในตัวกลางที่เป็นสารละลายภายใต้สภาพแวดล้อมที่ต้องสัมผัสกับแสงอาทิตย์และอุณหภูมิสูงจะเกิดการสลายตัวไปเป็นรูปแบบที่ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ จนเกิดการสลายตัวของสารได้ในที่สุด ส่วนในสภาวะที่ไม่มีแสงและอยู่ในแก๊สเฉื่อย ยากลุ่มสแตตินจะเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลสิสได้อย่างช้าๆ โดยปฏิกิริยาการสลายตัวนี้จะเพิ่มอัตราเร็วขึ้นจนถึงระดับที่มีนัยสำคัญทางสถิติในสภาวะที่เป็นด่าง

ประสิทธิภาพในการรักษา

เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการลดระดับ LDL ของสแตตินชนิดต่างๆ พบว่าเซอริวาสแตติน มีความแรงในการลดระดับ LDL ได้มากที่สุด รองลงมาเป็น โรสุวาสแตติน, อะโทวาสแตติน, ซิมวาสแตติน, โลวาสแตติน, ปราวาสแตติน และ ฟลูวาสแตติน ตามลำดับ ส่วนพิทาวาสแตตินนั้นยังไม่มีการศึกษามากพอที่จะยืนยันถึงประสิทธิภาพได้เด่นชัด ตารางต่อไปนี้เป็นตารางที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการลดระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดของสแตตินชนิดต่างๆ ในขนาดที่ต่างกัน

Statin equivalent dosages
% LDL ที่ลดลง (ประมาณ) อะโทวาสแตติน ฟลูวาสแตติน โลวาสแตติน ปราวาสแตติน โรสุวาสแตติน ซิมวาสแตติน
10–20%
20 mg
10 mg
10 mg
5 mg
20–30%
40 mg
20 mg
20 mg
10 mg
30–40%
10 mg
80 mg
40 mg
40 mg
5 mg
20 mg
40–45%
20 mg
80 mg
80 mg
5–10 mg
40 mg
46–50% 40 mg 10–20 mg 80 mg*
50–55% 80 mg 20 mg
56–60% 40 mg
* ไม่แนะนำให้ใช้ในขนาด 80-mg dose เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกล้ามเนื้อสลายแบบ rhabdomyolysis
ขนาดยาเริ่มต้น
ขนาดยาเริ่มต้น 10–20 mg 20 mg 10–20 mg 40 mg 10 mg; 5 mg สำหรับผู้ที่มีภาวะ
พร่องไทรอยด์ฮอร์โมน, อายุ >65 ปี, ชาวเอเชีย
20 mg
กรณีต้องการลด LDL เป็นจำนวนมาก 40 mg ถ้าต้องการลด >45% 40 mg ถ้าต้องการลด>25% 20 mg ถ้าต้องการลด >20% -- 20 mg ถ้า LDL >190 mg/dL (4.87 mmol/L) 40 mg ถ้าต้องการลด >45%
เวลาที่เหมาะสมในการรับประทานยา ไม่จำกัด ตอนเย็น พร้อมอาหารเช้า ไม่จำกัด ไม่จำกัด ตอนเย็น


กราฟต่อไปนี้แสดงประสิทธิภาพในการลดระดับไลโปโปรตีนคอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นต่ำ (แสดงด้วยเส้นกราฟสีฟ้า), ระดับคอเลสเตอรอลรวม (แสดงด้วยเส้นกราฟสีน้ำตาล) และระดับไตรกลีเซอรได์ (แสดงด้วยเส้นกราฟสีเขียว)ในกระแสเลือดของยากลุ่มสแตตินแต่ละชนิดในขนาดความแรงต่างๆ โดยเปรียบเทียบกับค่าพื้นฐานที่ยังไม่ได้รับการรักษาด้วยยา

อะโทวาสแตติน
 
เซอริวาสแตติน
 
ฟลูวาสแตติน
 
โลวาสแตติน
 
พิทาวาสแตติน
 
ปราวาสแตติน
 
โรสุวาสแตติน
 
ซิมวาสแตติน
 


กราฟต่อไปนี้แสดงประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับไลโปโปรตีนคอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นสูง (HDL cholesterol) ในกระแสเลือดของยากลุ่มสแตตินแต่ละชนิดในขนาดความแรงต่างๆ โดยเปรียบเทียบกับค่าพื้นฐานที่ยังไม่ได้รับการรักษาด้วยยา

อะโทวาสแตติน
 
เซอริวาสแตติน
 
ฟลูวาสแตติน
 
โลวาสแตติน }
 
พิทาวาสแตติน
 
ปราวาสแตติน
 
โรสุวาสแตติน
 
ซิมวาสแตติน
 

เภสัชจลนศาสตร์

ค่าชีวปริมาณออกฤทธิ์ (bioavailability)ของสแตตินนั้นมีค่าแตกต่างกันออกไป โดยมีค่าอยู่ระหว่าง 5-80% ซึ่งค่านี้จะมีความสัมพันธ์กันกับการเกิดเฟิร์สท-พาสส์ เมตาโบลิซึม (first-pass metabolism) และการสะสมของสแตตินในเซลล์ตับ ส่วนความสามารถในการกระจายตัวไปยังเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกายนั้นจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการละลายในไขมันของสแตตินแต่ละชนิด โดยอะโทวาสแตติน, เซอริวาสแตติน, โลวาสแตติน, และซิมวาสแตตินจัดว่าเป็นสแตตินที่ละลายในไขมันได้ดี ส่วนสแตตินชนิดอื่นๆ ได้แก่ ฟลูวาสแตติน,โรสุวาสแตติน, พิทาวาสแตติน และปราวาสแตตินนั้นถือเป็นสแตตินที่ละลายในน้ำ ส่วนสัดส่วนการถูกดูดซึมโดยลำไส้เล็กของสแตตินนั้นจะอยู่ระหว่าง 30-50% ของขนาดที่รับประทาน ตารางต่อไปนี้เป็นตารางเปรียบเทียบค่าพารามิเตอร์ทางเภสัชจลนศาสตร์ต่างๆ ของสแตตินแต่ละชนิด

ค่าพารามิเตอร์ อะโทวาสแตติน เซอริวาสแตติน ฟลูวาสแตติน โลวาสแตติน พิทาวาสแตติน ปราวาสแตติน โรสุวาสแตติน ซิมวาสแตติน
โปรดรัก
(prodrug)
ไม่ใช่
ไม่ใช่
ไม่ใช่ ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ใช่
Active
metabolite
ใช่
ใช่
ไม่ใช่ ใช่ เล็กน้อย ไม่ใช่ เล็กน้อย ใช่
ปริมาณชีวอนุเคราะห์[%] 12
60
19-29 5 80 18 20 5
เวลารับประทาน
ที่เหมาะสม
ตอนเย็น
ตอนเย็น
ตอนเย็น ตอนเช้า หรือ
ตอนเย็น
และพร้อมอาหาร
ตอนเย็น ตอนเย็น ตอนเช้า หรือ
ตอนเย็น
ตอนเย็น
ชีวปริมาณออกฤทธิ์ [%] 98
>99
>99 >95 96 43-55 90 95-98
ผลของอาหารต่อ
ชีวปริมาณออกฤทธิ์
ไม่มีผล
ไม่มีผล
ไม่มีผล เพิ่ม ไม่มีผล เพิ่ม ไม่มีผล ไม่มีผล
ค่าครึ่งชีวิต[h] 15-30
2-3
0.5-2.3 2-4 11 1.3-2.8 19 2-3
ระยะเวลาที่ระดับ
ยาในเลือดขึ้นสูงสุด [h]
2-3
2.5
0.5-1 2-4 11 1.3-2.8 19 2-3
ระดับยาเฉลี่ย
ในเลือดสูงสุด [ng/ml]
27-66
2.4
448 10-20 20 45-55 37 10-34
ความชอบไขมัน ใช่
ใช่
ไม่ใช่ ใช่ ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ใช่
สัดส่วนที่ขับออก
ทางไต [%]
2
24
6 10 <2 20 10 13
การเปลี่ยนแปลง
ที่ตับ
CYP3A4
CYP3A4
CYP2C8
CYP2C9 CYP3A4 CYP2C9 sulfonation CYP2C9
CYP2C19
CYP3A4
สัดส่วนที่ขับออก
ทางอุจจาระ [%]
70
70
90 83 93 71 90 58
การเข้าสู่ระบบ
ประสาทส่วนกลาง
ไม่เข้า
เข้า
ไม่เข้า เข้า ไม่เข้า ไม่เข้า ไม่เข้า เข้า
ขนาดยาสูงสุด
ต่อวัน [mg]
80
0.3
80 80 4 40 40 80
โปรตีนขนส่งที่ใช้
ในการขับยาออก
ทางน้ำดีและเปลี่ยน
แปลงยาที่ตับ

OATP1B1
OATP2B1

OATP1B1

OATP1B1
OATP1B3
OATP2B1
BSEP

OATP1B1

OATP1A2
OATP1B1
OATP1B3
BCRP

OATP1B1
OATP2B1
OATP1B3
OATP2B1
OAT3
BSEP
BCRP
MDR1
MRP2

OATP1A2
OATP1B1
OATP1B3
OATP2B1
BCRP

OATP1B1

การเปลี่ยนแปลงยาภายในร่างกาย

การกระจาย (Distribution), การเปลี่ยนแปลงยา (Metabolism), และการขับออก (Excretion) ของยากลุ่มสแตติน (คำย่อในภาพ: ABC คือ ATP-binding cassette, MCT คือ transport protein monocarboxylic acids, OATP คือ organic anion transporter, SLC คือ conveyor solute และ SLCO คือ organic solute transporter)
กลไกการเปลี่ยนแปลงยากลุ่มสแตตินภายในร่างกาย (ยกเว้น ปราวาสแตติน




ยากลุ่มสแตตินทุกชนิด ยกเว้น ปราวาสแตติน จะถูกละลายในกระเพาะอาหารและภายในไซโตพลาสึมของเซลล์ และเมื่อยาถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดจะถูกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วภายในผนังลำไส้เล็กและตับโดยผ่านเอนไซม์ไซโตโครมพี 450 (cytochrome P450) หลากหลายไอโสเอนไซม์โลวาสแตตินและซิมวาสแตตินซึ่งถูกบริหารเข้าสู่ร่างกายในรูปแบบยาที่ยังไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ (inactive drug หรือ prodrug) อาจเกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงยาได้ทางใดทางหนึ่งต่อไปนี้ คือ เกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลสิสของวงแหวนแลคโตน (lactone ring) โดยเอนไซม์เอสเทอรเรส (esterase) หรือเปอรอกซิเดส (peroxidase) จนกลายเป็นยาที่มีหมุ่ไฮดรอกซี่ซึ่งสามารถออกฤทธิ์ได้ หลังจากนั้นยาในรูปแบบที่ออกฤทธิ์ได้นี้ ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงโดยไอโสเอนไซม์ซีวายพี 3เอ4 (CYP 3A4) ให้กลายเป็นสารที่ไม่ออกฤทธิ์, และอีกหนึ่งกลไกการเปลี่ยนแปลงยาสแตติน คือ ตัวยาที่ถูกรับประทานเข้าไปจะถูกเปลี่ยนแปลงโดยไอโสเอนไซม์ซีวายพี 3เอ4 (CYP 3A4) ให้กลายเป็นสารที่ไม่ออกฤทธิ์เลย หรืออาจเกิดการเปลี่ยนแปลงผ่านซีวายพี 3เอ5 (CYP 3A5) ให้กลายเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการรักษาลดน้อยลง นอกจากนี้แล้ว ยากลุ่มสแตตินนี้ยังสามารถถูกเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นวงแหวนแลคโตนที่มีกลไกการออกฤทธิ์คล้ายคลึงกับโคเอนไซม์เอ แต่กระบวนการการเกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในมนุษย์นั้นจำเป็ต้องอาศัยเอนไซม์ยูดีพี-กลูคิวโรโนซิลทรานส์เฟอเรส (UDP-glucuronosyltransferase; UGT) ซึ่งไม่ใช่กระบวนการหลักในการเปลี่ยนแปลงสแตติน เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว วงแหวนแลคโตนของสแตตินนั้นมักจะถูกเปลี่ยนแปลงโดยเอนไซม์ซีวายพี (CYP450) ได้อย่างรวดเร็ว ส่วนพิทาวาสแตติน, ปราวาสแตติน และโรสุวาสแตตินนั้นจะถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางน้ำดีในรูปแบบที่ไม่เปลี่ยนแปลง

รูปแบบการเปลี่ยนแปลงยากลุ่มสแตตินผ่านไซโตโครมพี 450 (cytochrome P450) ที่ตับนั้น ในปัจจุบันสามารถจำแนกรายละเอียดออกเป็นดังนี้:

  • สแตตินที่ละลายในไขมันได้ดีที่อยู่ในรูปแบบของโปรดรักที่มีหมู่แทนที่เป็นวงแหวนแลคโตน เช่น ซิมวาสแตติน นั้น เบื้องต้นจะถูกเปลี่ยนแปลงได้โดยเอนไซม์ซีวายพี (CYP)
  • สแตตินที่ละลายในน้ำได้ดี เช่น ปราวาสแตติน, โรสุวาสแตติน จะถูกเปลี่ยนแปลงที่ organic anion-transporting polypeptide (OATP) ที่ตับ, sodium-taurocholate cotransporting polypeptide (NTCP) และ OATP ที่ไต
  • สแตตินชนิดอื่น เช่น ฟลูวาสแตติน จะถูกเปลี่ยนแปลงโดยเอนไซม์ซีวายพี (CYP) และถูกขนส่งโดยกระบวนการขนส่งแบบใช้พลังงาน (active transport) เข้าไปยังเซลล์ตับ
  • สแตตินทุกชนิดมีความสามารถในการจับกับ multidrug resistance protein 2 MRP2, outer bile acid export pump (BSEP), P-glycoprotein (P-gp) และ breast cancer resistance protein (BCRP)

ตารางต่อไปนี้เป็นตารางแสดงรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงของสแตตินภายในร่างกายมนุษย์ รวมไปถึงเอนไซม์ที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงยาแต่ละชนิดด้วย

ค่าพารามิเตอร์ อะโทวาสแตติน เซอริวาสแตติน ฟลูวาสแตติน โลวาสแตติน พิทาวาสแตติน ปราวาสแตติน โรสุวาสแตติน ซิมวาสแตติน
การเกิดเมทาบอลิซึม +++
+++
+++ +++ ++ + + +++
จำนวน metabolite
ที่ออกฤทธิ์
2
2
ไม่มี 3 ไม่เกี่ยวข้อง 2 ไม่เกี่ยวข้อง 3
ชนิดของ
เอนไซม์ CYP
CYP3A4
CYP2C8
CYP3A4
CYP2C8
CYP2C9 CYP3A4
CYP3A5
CYP2C8
CYP2C9 CYP3A4 CYP2C9
CYP2C19
CYP3A4
CYP3A5
CYP2C8
ชนิดของ
เอนไซม์ UGT
UGT1A1
UGT1A3
UGT2B7
UGT1A1
UGT1A3
UGT1A1
UGT1A3
UGT2B7
UGT1A3
UGT2B7
UGT1A1
UGT1A3
UGT2B7
การจับกับ
โปรตีน
SLCO1B1
SLCO1B1
SLCO1B1 SLCO1B1
MC4
SLCO1B1
SLCO1B3
SLCO1B1
SLCO2B1
OAT3
MCT1
SLCO1B1
SLCO1B3
SLCO2B1
SLCO1A2
SLC10A1
SLCO1B1
การแทนที่
โปรตีน
ABCB1
ABCG2
ABCB1
ABCC2
ABCG2
ABCG2 ABCB1 ABCB1
ABCC2
ABCG2
ABCB1
ABCB11
ABCC2
ABCG2
ABCB1
ABCC2
ABCG2
ABCB1

การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์

สแตตินเป็นยาที่ถูกนำมาใช้เพื่อรักษาภาวะไขมันในกระแสเลือดสูงในเด็กอายุ 6 ปี, วัยรุ่น และผู้ใหญ่ เพื่อเป็นการป้องกันปฐมภูมิหรือทุติยภูมิสำหรับการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรม จากข้อมูลที่ได้จากการศึกษาหลายการศึกษาพบว่าการใช้ยากลุ่มสแตตินจะสามารถลดระดับไลโปรโปรตีนชนิดความเข้มข้นต่ำ (LDL) ในกระแสเลือดลงได้ประมาณ 40 mg/dL นอกจากนี้แล้วการใช้สแตตินยังมีผลดีอีกหลายประการ ดังต่อไปนี้:

  • ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ (total mortality) ลดลง 10%
  • ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ (cardiovascular disease) ลดลง 20%
  • ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจที่รุนแรง (major cardiovascular events) ลดลง 23%
  • ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) ลดลง 17%

ข้อบ่งใช้ที่จดทะเบียนรับรอง

  • รักษาภาวะไขมันในเลือดสูงที่อาจมีสาเหตุจากพันธุกรรม (primary hypercholesterolemia) หรือภาวะไขมันในเลือดสูงหลายชนิด (mixed dyslipidaemia) โดยใช้เป็นการรักษาเสริมร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย ในกรณีที่ใช้วิธีการรักษาโดยไม่ใช้ยาแล้วไม่ได้ผล
  • รักษาภาวะไขมันในเลือดสูงที่อาจมีสาเหตุจากพันธุกรรม (primary hypercholesterolemia) ในผู้ใหญ่ วัยรุ่น และเด็กอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป รวมไปถึงการรักษาไขมันในเลือดสูงจากพันธุกรรมแบบยีนเดียว (heterozygous familial hypercholesterolaemia; type IIa) หรือภาวะไขมันในเลือดสูงหลายชนิด (mixed dyslipidaemia; type IIb) โดยใช้เป็นการรักษาเสริมร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย ในกรณีที่ใช้วิธีการรักษาโดยไม่ใช้ยาแล้วไม่ได้ผล
  • รักษาภาวะไขมันในเลือดสูงจากพันธุกรรมแบบยีนเดียว (heterozygous familial hypercholesterolaemia) โดยเป็นการรักษาเสริมจากการควบคุมการรับประทานอาหารหรือการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ (เช่น การฟอกเลือดเพื่อเอา LDL ออก) เพื่อลดระดับความเข้มข้นของไขมันในกระแสเลือด หรือเมื่อไม่มีการรักษาอื่น หรือเมื่อการรักษาอื่นไม่เพียงพอ
  • รักษาภาวะไขมันในเลือดสูงจากพันธุกรรมแบบยีนเดียว (heterozygous familial hypercholesterolaemia)
  • รักษาภาวะไขมันในเลือดสูงจากพันธุกรรมแบบยีนเดียว (heterozygous familial hypercholesterolaemia) ในเด็กและวัยรุ่น (วัยรุ่นชายที่มี Tanner scale ตั้งแต่ระดับ II ขึ้นไป, เพศหญิงต้องเป็นวัยที่มีประจำเดือนมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี, หรือมีอายุ 10-17 ปี)
  • ป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (cardiovascular disease) ในผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคดังกล่าวสูง
  • ลดระดับไขมันในเลือดในผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
  • ลดการเกิดความพิการและการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดแข็งและ/หรือโรคเบาหวาน ทั้งที่มีระดับไขมันในเลือดสูงหรือเป็นปกติ โดยใช้เป็นการรักษาเสริมร่วมกับการลดปัจจัยเสี่ยงอื่นที่อาจเป็นสาเหตุที่จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้
  • ลดการเกิดความพิการและการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (acute myocardial infarction) และผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดที่ไม่มั่นคง (unstable angina pectoris) ทั้งที่มีระดับไขมันในเลือดสูงหรือเป็นปกติ โดยใช้เป็นการรักษาเสริมร่วมกับการลดปัจจัยเสี่ยงอื่นที่อาจเป็นสาเหตุที่จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้
  • ใช้เป็นการป้องกันทุติยภูมิ (secondary prevention) สำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจที่รุนแรงหลังการได้รับการรักษาหลอดเลือดหัวใจตีบตันผ่านสายสวน (Percutaneous Coronary Intervention; PCI)
  • ชะลอการดำเนินของโรคหลอดเลือดหัวใจแข็ง (coronary atherosclerosis) ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยใช้ร่วมกับการรักษาอื่นเพื่อลดความเข้มข้นของคอเลสเตอรอลโดยรวม (total cholesterol) และไลโปโปรตีนคอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นต่ำ (LDL)

ข้อบ่งใช้ตามแนวทางการรักษาภาวะไขมันในเลือดสูงของสหภาพยุโรป ESC/EAS 2011

แนวทางการรักษาโรคไขมันในเลือดสูงของสมาคมหัวใจแห่งสหภาพยุโรป (European Society of Cardiology; ESC) และสมาคมโรคหลอดเลือดแข็งแห่งสหภาพยุโรป (European Society of Atherosclerosis; EAS) ปี ค.ศ. 2011 ได้ให้คำแนะนำในการเลือกใช้ยาเพื่อบำบัดรักษาภาวะความผิดปกติดังกล่าวไว้ ดังแสดงต่อไปนี้:


แนวทางการรักษา
 
ประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจทั้งหมด
เลือกวิธีการรักษาเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
กำหนดระดับ LDL เป้าหมาย ตามระดับความเสี่ยงของผู้ป่วยแต่ละราย
ประเมินร้อยละของ LDL ที่ต้องการลด โดยเทียบกับ LDL พื้นฐานของผู้ป่วย
เลือกชนิดยาสแตติน
ประเมินประสิทธิภาพการรักษา/ติดตามปรับขนาดยาให้เหมาะสม
ประเมินประสิทธิภาพการรักษา/ผลการรักษาซ้ำ
ระดับความเสี่ยง ลักษณะทางประชากรศาสตร์ของผู้ป่วย LDL เป้าหมาย
(mg/dl)
LDL เป้าหมาย
(mmol/l)
สูงมาก
  • ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจทั้งโดยการวินิจฉัยโดยการสอดใส่เครื่องมือ หรือไม่สอดใส่เครื่องมือ (เช่น coronary angiography, scintigraphy, stress echocardiography, ultrasound), โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (acute coronary syndrome), ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจที่มีความจำเป็นต้องทำการเปิดหลอดเลือด (coronary revascularization; เช่น percutaneous coronary intervention, coronary artery bypass), และได้รับการสอดใส่อุปกรณ์ถ่างหลอดเลือด, โรคหลอดเลือดสมอง, และโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน (ทั้งชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2) ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตั้งแต่ 1 ข้อขึ้นไป หรือเกิดความผิดปกติของการทำงานของอวัยวะที่เกี่ยวเนื่อง (เช่น เกิดภาวะไมโครอัลบูมินนูเรีย ( Microalbuminuria ) : 30–300 mg/24 h)
  • ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังรุนแรง (GFR <30 ml/min/1,73 m²)
  • คะแนนความเสี่ยง ≥10%
<70 <1,8
สูง
  • ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงรุนแรงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเพียง 1 ปัจจัยเสี่ยง
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้งชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ที่ไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือไม่เกิดความผิดปกติของอวัยวะภายในที่เป็นผลมาจากเบาวหวาน (organ damaged)
  • ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มีความรุนแรงในระดับปานกลาง (GFR 30–59 ml/min/1,73 m²)
  • คะแนนความเสี่ยง ≥5% – <10%
<100 <2,5
ปานกลาง
  • คะแนนความเสี่ยง ≥1% – <5%
<115 <3,0
น้อย
  • คะแนนความเสี่ยง <1%
ไม่สามารถระบุได้
SCORE Risk Charts Europe map.png ความเสี่ยงของผู้ป่วยที่ยังไม่เคยได้รับการวินิจฉัยว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจนั้นจะประเมินจากปัจจัยต่างๆ 5 ปัจจัย (เพศ, อายุ, การสูบบุหรี่, ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดรวม, และระดับความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว) ซึ่งจะมีตารางการประเมินความเสี่ยงจากปัจจัยดังกล่าวโดยเฉพาะ โดยประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจต่ำ ได้แก่ อันดอร์รา, ออสเตรีย, เบลเยียม, ไซปรัส, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, กรีซ, สเปน, เนเธอร์แลนด์, ไอร์แลนด์, ไอซ์แลนด์, อิสราเอล, ลักเซมเบิร์ก, มอลตา, โมร็อคโค, เยอรมนี, นอร์เวย์, โปรตุเกส, ซานมารีโน, สโลวีเนีย, สวีเดน, สวิสเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร ส่วนประเทศอื่นนอกเหนือจากที่ได้กล่าวมาดังข้างต้นถือว่าเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างไรก็ตามผลการประเมินของประชากรในประเทศอาร์เมเนีย, อาเซอร์ไบจาน, เบลารุส, บัลแกเรีย, จอร์เจีย, คาซัคสถาน, คีร์กีซสถาน, ลัตเวีย, ลิทัวเนีย, มาซิโดเนีย, มอลโดวา, รัสเซีย, ยูเครน, และอาเซอร์ไบจานนั้นอาจเป็นค่าที่ต่ำกว่าปกติได้
การแบ่งกลุ่มการรักษาจะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจทั้งหมดของผู้ป่วยที่ประเมินได้ทั้งจากคะแนนตามเกณฑ์และระดับ LDL ในกระแสเลือด
คะแนนความเสี่ยง
ต่อการเสียชีวิต (%)
ระดับคอเลสเตอรอล (mg/dL)
<70 70–99 100–154 155–190 >190
ระดับคอเลสเตอรอล (mmol/l)
<1.8 1.8–2.4 2.5–3.9 4.0–4.8 >4.9
<1
1–4
5–9
≥10

      ไม่ต้องได้รับการรักษา
      รักษาโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
      รักษาโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ในกรณีที่ล้มเหลว อาจพิจารณาใช้การรักษาด้วยยาร่วมด้วย
      รักษาโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมกับการใช้ยา

ข้อบ่งใช้ตามแนวทางการรักษาภาวะไขมันในเลือดสูงของสหรัฐอเมริกา ACC/AHA 2013

ตามแนวทางการรักษาภาวะไขมันในกระแสเลือดสูงของวิทยาลัยแพทย์โรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American College of Cardiology; ACC) และสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association; AHA) ค.ศ. 2013 ได้แนะนำให้ใช้สแตตินชนิดที่มีความแรงมาก (high potency statin) ได้แก่ อะโทวาสแตติน 80 มิลลิกรัม หรือโรสุวาสแตติน 20-40 มิลลิกรัม ในการรักษาผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงมากต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งการใช้ยาสแตตินกลุ่มดังกล่าวนั้นจะสามารถลดระดับความเข้มข้นของคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดของผู้ป่วยลงได้มากกว่า 50% เมื่อเปรียบเทียบกับค่าก่อนการได้รับการรักษา ส่วนในกรณีที่ไม่สามารถใช้สแตตินชนิดที่มีความแรงมากได้ อาจพิจารณาใช้สแตตินที่มีความแรงปานกลาง (moderate potency statin) ทดแทนได้ ได้แก่ อะโทวาสแตติน 10-20 มิลลิกรัม, โรสุวาสแตติน 5-10 มิลลิกรัม, ซิมวาสแตติน 20-40 มิลลิกรัม, ปราวาสแตติน 40-80 มิลลิกรัม, โลวาสแตติน 40 มิลลิกรัม, ฟลูวาสแตติน เอ็กซ์แอล 80 มิลลิกรัม, ฟลูวาสแตติน 80 มิลลิกรัม, หรือพิทาวาสแตติน 2-4 มิลลิกรัม ซึ่งการใช้ยาสแตตินกลุ่มดังกล่าวนั้นจะสามารถลดระดับความเข้มข้นของคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดของผู้ป่วยลงได้ประมาณ 30-49% เมื่อเปรียบเทียบกับค่าก่อนการได้รับการรักษา

ลักษณะทางประชากรของผู้ป่วย ชนิดของสแตติน
ที่แนะนำ
เป้าหมาย LDL
ที่ลดลง (%)
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจหรือโรคหลอดเลือดแข็ง ชนิดความแรงมาก <50%
ผู้ป่วยที่มีระดับ LDL >190 mg/dl (4,9 mmol/l) ชนิดความแรงมาก <50%
ผู้ป่วยโรคเบาหวาน อายุ 40–75 ปี ที่มีระดับ LDL-C 70–189 mg/dl (1,8–4,9 mmol/l) แต่ยังไม่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ชนิดความแรงปานกลาง 30-49%
ผู้ป่วยที่ไม่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและไม่เป็นเบาหวาน, อายุ 40–79 ปี, ระดับ LDL-C 70–189 mg/dl (1,8–4,9 mmol/l) ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจใน 10 ปีข้างหน้า (10 years risk scores for cardiovascular diseases) ≥7,5%. ชนิดความแรงปานกลาง
หรือ
ชนิดความแรงมาก
30-49%
หรือ
<50%

ข้อบ่งใช้อื่นที่เป็นผลจากการศึกษาทางคลินิก

โรคกระดูกพรุน

ภาพจำลองการยืนของคนปกติกับผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุน
ตำแหน่งกระดูกที่มักพบการเกิดโรคกระดูกพรุน

โรคกระดูกพรุน (อังกฤษ: Osteoporosis) ตามคำนิยามขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization) หมายถึง ภาวะที่มีลดลงของมวลกระดูกและมีการเปลี่ยนแปลงของกระดูกชิ้นเล็กๆ บางๆ (trabeculae) เชื่อมโยงกันเป็นร่างแหภายในกระดูก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะนำไปสู่ความผิดปกติของโครงสร้างจุลภาคภายในกระดูก (defective bone microstructure) ทำให้กระดูกมีความแข็งแรงลดน้อยลงและเสี่ยงต่อการเกิดการแตกหักได้ง่าย โดยความชุกของการเกิดโรคกระดูกพรุนในประชากรที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไปคือ 14% โดยมักพบความชุกในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย คือ 24% และ 6% ตามลำดับ โดยพยาธิกำเนิดของโรคกระดูกพรุนนั้นเกิดจากความผิดปกติของสมดุลระหว่างกระบวนการสร้างและสลายกระดูก ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการกับมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดกระบวนการสลายกระดูกในอัตราที่มากกว่าการสร้าง ซึ่งปัจจัยเสริมส่วนหนึ่งมาจากการมีระดับฮอร์โมนเพศที่ลดลง (เช่น เอสโทรเจน, เทสโทสเทอโรน) หรือความผิดปกติของการสร้างตัวกระตุ้นการเจริญเติบโตที่มีโครงสร้างคล้ายอินซูลิน (insulin-like growth factor-I; IGF-1) หรือความผิดปกติของสมดุลแคลเซียม-ฟอสเฟตของร่างกาย ซึ่งอาจเกิดได้จากทั้งการรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุเหล่านี้ไม่เพียงพอ, ร่างกายดูดวึมแร่ธาตุดังกล่าวได้น้อยลง, โปรตีนที่ใช้ขนส่งแร่ธาตุดังกล่าวมีปริมาณลดลง, ความเป็นกรดของกระเพาะอาหารลดลง, การสร้างวิตามินดีในรูปแบบที่ออกฤทธิ์ได้ที่ตับและไตผิดปกติ, การได้รับแสงอาทิตย์ไม่เพียงพอ, หรือแม้กระทั่งการมีระดับพาราไทรอยด์ฮอร์โมนที่มากเกินไป

ในปัจจุบัน มียาที่ใช้ในการรักษาโรคกระดูกพรุนหลายชนิด โดยกลไกการออกฤทธิ์ของยาเหล่านี้อาจจะออกฤทธิ์รบกวนกระบวนการสลายกระดูกและการดูดซึมแคลเซียมกลับของร่างกาย เช่น กลุ่มยากลุ่มยาบิสฟอสโฟเนต (Bisphosphonates), ดีโนซูแมบ (denosumab), การรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทน (hormone replacement therapy), ยากระตุ้นตัวรับเอสโทรเจนอย่างจำเพาะ (selective estrogen receptor modulators; SERMs); หรือออกฤทธิ์เร่งการสร้างกระดูก เช่น เทอริพาราไทด์ (teriparatide); หรือออกฤทธิ์แบบหลายกลไกผสมกัน เช่น สทรอนเทียม ราเนเลต (strontium ranelate) ส่วนกลไกของสแตตินต่อกระบวนการสร้างและสลายกระดูกนั้นยังไม่สามารถอธิบายได้แน่ชัด และข้อมูลที่ได้จากการศึกษาล่าสุดคาดว่าน่าจะเกิดจากทั้งการส่งเสริมการสร้างมวลกระดูกและยับยั้งการสลายมวลกระดูกร่วมกัน โดยกลไกต่อไปนี้:

  • สแตตินจะกระตุ้นการแสดงออกของ mRNA ที่ทำหน้าที่สร้างโปรตีน Bone morphogenetic protein 2 (ฺBMP-2) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างกระดูกและการกระตุ้นให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์สร้างกระดูก (osteoblasts)
  • ลดจำนวนของเซลล์สลายกระดูก (osteoclasts)
  • ยับยั้งการสร้างตัวกระตุ้นตัวรับเซลล์สลายกระดูก (receptor activator) บน nuclear factor-κ B (NF-κB)
  • กระตุ้นโปรตีนไคเนส-บี (protein kinase B หรือ Akt) เป็นผลให้มีการสร้าง endothelial nitric oxide synthase (eNOS) เพิ่มมากขึ้น

ผลการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนของสแตตินนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วพบในสแตตินที่ละลายในไขมัน (เช่น ซิมวาสแตติน, โลวาสแตติน, อะโทวาสแตติน) และสแตตินสังเคราะห์เป็นหลัก (เช่น ฟลูวาสแตติน, โรสุวาสแตติน, อะโทวาสแตติน) อย่างไรก็ตาม ผลต่อการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนนี้ยังสรุปได้ไม่แน่ชัดนัด เนื่องจากการศึกษาในห้องทดลองกับการศึกษาในมนุษย์นั้นให้ผลการศึกษาที่ขัดแย้งกัน

โรคติดเชื้อ

โรคติดเชื้อ (อังกฤษ: Infectious diseases) เป็นกลุ่มโรคที่มีสาเหตุมาจากเชื้อจุลชีพหรือสารพิษที่ถูกหลั่งออกมาจากเชื้อจุลชีพที่เจริญเติบโตในร่างกายมนุษย์ และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ไม่สามารถกำจัดเชื้อหรือสารพิษเหล่านั้นออกไปได้ทันท่วงที จนทำให้เกิดอาการของโรคติดเชื้อในที่สุด ซึ่งแหล่งที่มาของโรคนี้อาจได้รับเชื้อมาจากสัตว์, พืช, สิงปฏิกูล, สิ่งแวดล้อม, หรือแม้แต่จากมนุษย์ด้วยกันเอง

โดยพยาธิกำเนิดของโรคติดเชื้อนั้นเกิดจากกระบวนการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มีการหลั่งสารสื่อการอักเสบ (cytokines) ชนิดต่างๆ ออกมา ซึ่งกระบวนการดังกล่าวนั้น สามารถถูกควบคุมได้โดยยากลุ่มสแตติน โดยสแตตินจะไปมีผลลดสารกลุ่มไอโซพรีนอยด์ (isoprenoids) ซึ่งเป็นหนึ่งในสารตั้งต้นที่ใช้ในการสังเคราะห์คอเลสเตอรอล และมีความจำเป็นในกระบวนการปฏิกิริยาพรีนิลเลชั่น (prenylation) ของโปรตีนที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างเซลล์เพื่อตอบสนองต่อการอักเสบของร่างกาย นอกจากนี้แล้ว สแตตินยังส่งผลต่อการตอบสนองต่อการอักเสบโดยการลดการแสดงออกของยีนที่ทำหน้าที่สร้างโปรตีนเกี่ยวเนื่องกับการอักเสบที่มีชื่อว่า MHC (major histocompatibility complex) class II อย่างไรก็ตาม ผลที่แน่ชัดของสแตตินต่อการเกิดโรคติดเชื้อนั้นยังไม่เป็นที่ทราบเด่นชัดนัก ถึงแม้จะมีการศึกษาบางการศึกษาที่พบว่าการใช้สแตตินจะลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อได้บ้างก็ตาม และโดยทั่วไปแล้ว การรักษาโรคติดเชื้อมักจะเป็นการใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกับการรักษาตามอาการมากกว่า จึงทำให้ในปัจจุบันยังคงขาดข้อมูลที่สามารถยืนยันได้แน่ชัดเกี่ยวกับผลสแตตินต่อโรคติดเชื้อต่างๆ

โรคปอดอักเสบ

โรคปอดอักเสบ (อังกฤษ: Pneumonia) เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของปอดอันเนื่องมาจากการมีเชื้อจุลชีพในถุงลมของปอด มีการคั่งของน้ำหรือหนองในปอด ทำให้เกิดอาการไอ อาจไอมีเสมหะหรือมีมูกหนอง, ไข้,หนาวสั่น, และหายใจลำบาก โดยในการศึกษาทางคลินิกที่ผ่านมาพบว่า สแตตินมีผลลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวติในผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวลงได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (chronic obstructive pulmonary disease; COPD) แต่ไม่มีผลลดอุบัติการณ์การเกิดโรคปอดอักเสบทั้งในโรงพยาบาลและในชุมชน

ไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่ (อังกฤษ: influenza หรือ flu) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งผู้ป่วยอาจมีอาการของโรคเพียงเล็กน้อยไปถึงขั้นรุนแรง โดยอาการที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ ไข้สูง, คัดจมูก, เจ็บคอ, ปวดกล้ามเนื้อ, ปวดศีรษะ, ไอและรู้สึกเหนื่อย ซึ่งจะเริ่มมีอาการเหล่านี้ประมาณสองวันหลังได้รับเชื้อและส่วนใหญ่แล้วมักมีอาการนานไม่เกินสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม อาการไออาจกินเวลานานกว่าสองสัปดาห์ได้ ในผู้ป่วยเด็กอาจมีคลื่นไส้อาเจียน แต่ไม่ใช่อาการปกติในผู้ใหญ่ อาการแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่อาจมีปอดบวมจากไวรัส ปอดบวมจากแบคทีเรียตาม โพรงอากาศ (sinus) ติดเชื้อ และปัญหาสุขภาพที่มีอยู่เดิมแย่ลง เช่น โรคหอบหืดหรือภาวะหัวใจล้มเหลว

การศึกษาทางคลินิกที่ผ่านมาพบว่าการใช้สแตตินจะสามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ โดยสแตตินจะไปมีผลลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ เช่น ปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย, หลอดเลือดสมองอุดกั้น, และภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน เป็นต้น

บรรณานุกรม

แหล่งข้อมูลอื่น


Новое сообщение