Мы используем файлы cookie.
Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.

โรคจิต

Подписчиков: 0, рейтинг: 0
ระวังสับสนกับโรคประสาทและจิตพิการ ส่วนในทางกฎหมาย ดู วิกลจริต (insanity)
โรคจิต
(Psychosis)
ชื่ออื่น Psychotic break
Van Gogh - Starry Night - Google Art Project.jpg
ภาพ ราตรีประดับดาว ปี 1889 ของจิตรกรชาวดัตช์ฟินเซนต์ ฟัน โคค แสดงความเปลี่ยนแปลงของแสงและสีที่อาจปรากฏกับอาการทางจิตนี้
สาขาวิชา จิตเวช, จิตวิทยาคลินิก
อาการ หลงผิด เห็นภาพหลอนหรือได้ยินเสียงหลอนที่คนอื่นไม่เห็นไม่ได้ยิน พูดไม่ปะติดปะต่อ
ภาวะแทรกซ้อน ทำร้ายตัวเอง ฆ่าตัวตาย
สาเหตุ ความเจ็บป่วยทางจิตใจ (โรคจิตเภท โรคอารมณ์สองขั้ว) การขาดนอน โรคหรืออาการบางอย่าง ยาที่กินรักษาบางอย่าง สารเสพติด (รวมทั้งแอลกอฮอล์และกัญชา)
การรักษา ยาระงับอาการทางจิต รับคำปรึกษาแนะนำจากแพทย์พยาบาล ความช่วยเหลือทางสังคม
พยากรณ์โรค ขึ้นอยู่กับเหตุ
ความชุก ในสหรัฐอเมริกา 3% ของประชากรทั้งหมดในช่วงชีวิต

โรคจิต หรือ ภาวะโรคจิต หรือ อาการโรคจิต (อังกฤษ: psychosis) เป็นจิตภาวะที่ผิดปกติซึ่งมีผลให้กำหนดไม่ได้ว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง อาจมีอาการหลงผิด (delusion) ประสาทหลอน (hallucination) คือเห็นหรือได้ยินอะไรที่คนอื่นไม่เห็นไม่ได้ยินพูดไม่ปะติดปะต่อ มีพฤติกรรมที่ไม่สมควรกับสถานการณ์ มีปัญหานอนหลับ ปลีกตัวจากสังคม ไม่อยากจะทำอะไร และมีปัญหากับกิจกรรมในชีวิตประจำวัน

ภาวะนี้มีเหตุหลายอย่าง รวมทั้งความเจ็บป่วยทางจิต (mental illness) เช่น โรคจิตเภทหรือโรคอารมณ์สองขั้ว, การขาดนอน, โรคหรืออาการบางอย่าง, ยาที่กินรักษาบางอย่าง, สารเสพติด เช่น แอลกอฮอล์หรือกัญชา แบบหนึ่งคือโรคจิตหลังคลอด (postpartum psychosis) อาจเกิดหลังคลอดบุตรสารสื่อประสาทคือโดพามีนเชื่อว่ามีบทบาท อาการที่เป็นปัจจุบันจัดเป็นภาวะปฐมภูมิถ้ามีเหตุทางจิตเวช และเป็นภาวะทุติยภูมิถ้ามีเหตุจากโรคหรืออาการทางแพทย์อย่างอื่น ๆการวินิจฉัยความเจ็บป่วยทางจิตใจจำเป็นต้องกันเหตุอื่น ๆ ที่เป็นไปได้ออก แพทย์อาจตรวจดูว่าโรคระบบประสาทกลาง ภาวะพิษ และปัญหาทางสุขภาพอื่น ๆ อาจเป็นเหตุหรือไม่

การรักษาอาจรวมยาระงับอาการทางจิต (antipsychotic) รับคำปรึกษาแนะนำจากแพทย์พยาบาล (counselling) และความช่วยเหลือทางสังคม การได้การรักษาตั้งแต่ต้น ๆ ดูเหมือนจะทำให้ได้ผลดีขึ้น การรักษาด้วยยาดูเหมือนจะมีผลปานกลาง (moderate) ผลที่ได้จะขึ้นอยู่กับเหตุ ในสหรัฐอเมริกา ประชากร 3% จะเกิดภาวะนี้ในช่วงชีวิต แพทย์กรีกโบราณคือ ฮิปพอคราทีส ได้กล่าวถึงภาวะนี้ตั้งแต่ 4 ศตวรรษก่อน ค.ศ. และพาไพรัสอียิปต์โบราณ (ที่เรียกว่า Ebers Papyrus) อาจกล่าวถึงภาวะนี้เมื่อ 15 ศตวรรษก่อน ค.ศ.

อาการ

ประสาทหลอน

ภาพวาดแสดงอาการภาพหลอนของ ดอน กิโฮเต้

ประสาทหลอน (hallucination) นิยามว่าเป็นการรับรู้ทางประสาทสัมผัสโดยไม่มีสิ่งเร้าภายนอกจริง ๆ ผิดไปจากสิ่งลวงประสาทสัมผัส (illusion) หรือความบิดเบือนทางการรับรู้ (perceptual distortion) ซึ่งเป็นการแปลสิ่งเร้าภายนอกที่มีอยู่จริง ๆ ผิดไป ประสาทหลอนอาจเกิดทางประสาทสัมผัสใด ๆ ก็ได้ มีรูปแบบเช่นไรก็ได้ อาจเป็นการรับรู้อย่างง่าย ๆ (เช่น แสง สี เสียง รส หรือกลิ่น) หรือเป็นประสบการณ์ที่ซับซ้อนละเอียดยิ่งกว่า (เช่น เห็นและมีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์หรือบุคคล ได้ยินเสียงคน หรือมีการสัมผัสที่ซับซ้อน) โดยทั่วไปปรากฏอย่างชัดเจนและควบคุมไม่ได้ ตัวอย่างรวมทั้งได้ยินเสียงคนที่ตายไปแล้ว ได้ยินเสียงกระแสจิต หรือเห็นภาพที่คนอื่นไม่เห็น ได้กลิ่นที่คนอื่นไม่ได้กลิ่น หูแว่วโดยเฉพาะที่ได้ยินเสียงพูดเป็นประสบการณ์สามัญสุดและเด่นสุดของภาวะโรคจิต

ประชากรทั่วไปถึง 15% อาจประสบกับหูแว่ว ความชุกในคนไข้โรคจิตเภททั่วไประบุว่าอยู่ที่ 70% แต่อาจมีถึง 98% ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 หูแว่วจัดว่าเกิดบ่อยเป็นอันดับสองต่อจากประสาทหลอนทางตา แต่ปัจจุบันปรากฏบ่อยสุดในโรคจิตเภท แม้อัตราจะต่างกันบ้างในวัฒนธรรมต่าง ๆ และเขตภูมิภาคต่าง ๆ หูแว่วมักจะเป็นเสียงพูดที่จับความไม่ได้ จำนวนเสียงบุคคลที่คนไข้ได้ยินโดยเฉลี่ยประเมินว่าอยู่ที่ 3 คน รายละเอียดต่าง ๆ เช่นความบ่อยครั้งที่ได้ยิน จะต่างกันอย่างสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อเทียบทางวัฒนธรรมและกลุ่มประชากรต่าง ๆ คนที่หูแว่วบ่อยครั้งสามารถระบุความดัง แหล่งเกิดเสียง และอาจระบุเสียงว่าเป็นของบุคคลต่าง ๆ ได้ คนในวัฒนธรรมตะวันตกมักจะหูแว่วในเรื่องศาสนา บ่อยครั้งเกี่ยวกับบาป ประสาทหลอนอาจผลักดันให้บุคคลทำอะไรที่เป็นอันตรายเมื่อมีอาการหลงผิดประกอบด้วย

extracampine hallucination เป็นการรับรู้เกินพิสัยของอวัยวะรับความรู้สึก (เช่น เสียงที่รับรู้ด้วยเข่า)

ประสาทหลอนทางตาเกิดขึ้นกับคนไข้โรคจิตเภทในอัตราประมาณ 1 ใน 3 แต่ก็มีรายงานว่าอาจถึง 55% สิ่งที่เห็นบ่อยครั้งเป็นสิ่งเคลื่อนที่ แต่สิ่งที่รับรู้ผิดปกติอาจรวมระดับแสง เงา ริ้วลาย และเส้น การเห็นผิดปกติอาจขัดกันกับการรับรู้อากัปกิริยา เช่น อาจเห็นว่าพื้นเอียง (โดยไม่ได้รู้สึกว่าพื้นเอียง) การเห็นวัตถุใหญ่ เล็ก ใกล้ไกลเกินความเป็นจริง (Lilliputian hallucination) จะเกิดน้อยกว่าในโรคจิตเภท และเกิดบ่อยกว่าในโรคสมองต่าง ๆ (เช่นใน ภาวะประสาทหลอนเหตุก้านสมอง คือ peduncular hallucinosis) ประสาทหลอนภายใน (visceral hallucination, cenesthetic hallucination) เป็นความรู้สึกเกี่ยวกับอวัยวะภายในโดยไม่มีสิ่งเร้าจริง ๆ ซึ่งอาจทำให้รู้สึกเหมือนถูกเผาถูกไหม้ หรือว่ามีการจัดเรียงอวัยวะใหม่

อาการหลงผิด

ภาวะโรคจิตอาจมีอาการหลงผิด (delusion) ซึ่งก็คือความรู้สึกมั่นใจในเรื่องผิด ๆ อย่างไม่ลดละแม้จะมีหลักฐานที่แสดงว่าไม่จริง การตัดสินว่าอะไรเป็นความหลงผิดจะขึ้นอยู่กับบริบทและวัฒนธรรม ความเชื่อที่ทำให้ไม่สามารถทำสิ่งที่ควรและจัดว่าเป็นความหลงผิดในประชากรกลุ่มหนึ่งอาจเป็นเรื่องสามัญ (แม้จนกระทั่งเป็นการปรับตัวที่ดี) ในอีกกลุ่มหนึ่ง หรือแม้แต่ในกลุ่มประชากรเดียวกันต่อ ๆ มา แต่เพราะความเชื่อความเห็นปกติอาจไม่ตรงกับหลักฐานความจริงเอง ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องฝ่าฝืนความเชื่อของสังคมเพื่อที่จะจัดว่า เป็นความหลงผิด ตัวอย่างรวมทั้งคิดว่ามีคนจะมาฆ่า ทั้งที่จริง ๆ ไม่มี หรือคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้ากลับชาติมาเกิด หรือคิดว่ามนุษย์ต่างดาวได้จับตนไปฝังเครื่องส่งสัญญาณ โดยที่ไม่มีรายละเอียดหรือเหตุผลใดที่น่าเชื่อถือ

คู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (DSM-5) จัดความหลงผิดบางอย่างว่า แปลกประหลาด (bizarre) ถ้าชัดเจนว่าเป็นไปไม่ได้ หรือว่าไม่เข้ากับบริบททางสังคมและวัฒนธรรม แต่แนวคิดเรื่องนี้ก็มีข้อวิพากษ์วิจารณ์หลายอย่าง ที่เด่นสุดก็คือการตัดสินว่าคนไข้มีหรือไม่มีอาการนี้ เชื่อถือได้ไม่มากแม้ในบุคคลที่ได้ฝึกมาแล้ว ความหลงผิดอาจมีตีมหลายอย่าง แบบสามัญที่สุดก็คือ ความหลงผิดว่ามีคนตามรังควาน (persecutory delusion) คือเชื่อว่า บุคคลหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งกำลังพยายามทำร้ายตน แบบอื่น ๆ รวมทั้ง

  • การหลงผิดว่าหมายเพื่อตนเอง (delusions of reference) เป็นความเชื่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดเป็นการกระทำที่ตั้งใจโดยเฉพาะ ๆ หรือเป็นการส่งสารจากบุคคลหรือสิ่งที่มีตัวตนอื่น ๆ
  • ภาวะหลงผิดคิดตนเขื่อง (delusions of grandiosity) เป็นความเชื่อว่าตนมีอำนาจหรือมีอิทธิพลพิเศษเกินกว่าที่มีจริง ๆ
  • การกระจายความคิด (thought broadcasting) เป็นความเชื่อว่า ความคิดของตนคนอื่นได้ยินได้
  • การแทรกความคิด (thought insertion) เป็นความเชื่อว่า ความคิดที่มีไม่ใช่ของตน

ตามประวัติ จิตแพทย์ชาวเยอรมันคือ คาร์ล จัสเปอร์ (Karl Jaspers) ได้แบ่งความหลงผิดเหตุโรคจิตออกเป็นปฐมภูมิ (primary) และทุติยภูมิ (secondary) โดยแบบปฐมภูมินิยามว่า เกิดอย่างฉับพลัน อธิบายไม่ได้ว่าเป็นกระบวนการทางจิตที่ปกติ เทียบกับแบบทุติยภูมิที่ปกติจะได้อิทธิพลจากประวัติหรือสถานการณ์ปัจจุบันของบุคคลนั้น ๆ (เช่น ชาติพันธุ์ ศาสนา ความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ และความเชื่อทางการเมือง)

ความสับสนวุ่นวาย (disorganization)

ความสับสนแยกเป็นทางคำพูดหรือทางความคิด และการเคลื่อนไหวที่สับสน คำพูดที่สับสน ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า formal thought disorder เป็นความสับสนทางความคิดที่รู้ได้โดยคำพูด ลักษณะของคำพูดสับสนรวมทั้งการเปลี่ยนประเด็นไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งเรียกว่า derailment หรือ loose association การเปลี่ยนประเด็นไปในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเรียกว่า tangential thinking คำพูดที่จับใจความไม่ได้เรียกว่า word salad หรือ incoherence (คำพูดไม่ปะติดปะต่อ)

การเคลื่อนไหวสับสนรวมการเคลื่อนไหวที่ซ้ำ ๆ แปลก ๆ หรือไม่มีจุดมุ่งหมาย การเคลื่อนไหวสับสนน้อยครั้งที่จะรวมอาการเคลื่อนไหวน้อยหรือมากเกิน (catatonia) แม้นี่จะเป็นอาการเด่นตามประวัติ แต่ก็ไม่ค่อยเห็นในปัจจุบัน แต่เป็นเพราะการรักษาที่เคยใช้หรือการไม่ได้รักษาก็ไม่ชัดเจน

อาการเคลื่อนไหวน้อยหรือมากเกิน (catatonia) เป็นภาวะกายใจไม่สงบอย่างรุนแรงที่การรับรู้ความจริงพิการโดยทั่วไป มีพฤติกรรมที่ปรากฏสองอย่างโดยหลัก อาการคลาสสิกก็คือไม่เคลื่อนไหว ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมเมื่อตื่นโดยประการทั้งปวง ซึ่งมักประกอบกับอาการจัดท่าทางได้เหมือนหุ่นขี้ผึ้ง (waxy flexibility) คือคนอื่นสามารถปรับท่าทางแขนขาของบุคคลนั้นแล้วดำรงอยู่ในท่านั้นแม้จะเป็นท่าที่แปลกหรือไม่ได้ช่วยอะไร เช่น ยกแขนของบุคคลนั้นตั้งขึ้นแล้วก็คงอยู่อย่างนั้น

อีกรูปแบบหนึ่งมีอาการเป็นกายใจไม่สงบอย่างรุนแรง คือคลื่อนไหวมากเกิน ไม่มีจุดมุ่งหมาย โดยประกอบกับคิดอะไรอยู่ทางใจที่ทำให้ไม่สามารถรับรู้ความจริงได้ ตัวอย่างเช่น เดินอย่างเร็ว ๆ เป็นวงกลมโดยไม่สนใจอะไรอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการเดิน ซึ่งไม่ปกติสำหรับบุคคลนั้นก่อนจะมีอาการ คนไข้ทั้งสองแบบปกติจะไม่ตอบสนองต่ออะไร ๆ นอกเหนือสิ่งที่ตนทำ การแยกแยกภาวะเช่นนี้กับคราวฟุ้งพล่าน (mania) ที่เกิดจากโรคอารมณ์สองขั้วเป็นเรื่องสำคัญ แต่บุคคลหนึ่ง ๆ ก็สามารถมีอาการทั้งสองอย่างพร้อม ๆ กัน

อาการนี้ถ้าในช่วงแรกจะสังเกตได้ยาก ต้องเป็นคนใกล้ชิดเท่านั้นที่พอทราบ แต่ช่วงหลังจะเปลี่ยนไปอย่างหนัก เช่น ไม่หลับไม่นอน ไม่กินอาหาร เดินทั้งคืน พูดคนเดียว

อาการเชิงลบ/บกพร่อง (negative symptoms)

อาการเชิงลบ หรืออาการบกพร่อง (negative symptoms) รวมการแสดงออกทางอารมณ์ที่ลดลง ไม่มีแรงจูงใจทำอะไร และพูดเองน้อยลง เป็นการขาดความสนใจและการไม่ทำอะไรเอง และไม่สามารถเกิดความยินดี

เหตุ

ที่เป็นปกติ

ประสาทหลอนระยะสั้น ๆ ไม่ใช่อะไรที่มีน้อยในบรรดาบุคคลที่ไม่มีโรคทางจิตเวช เหตุหรือสิ่งที่จุดชนวนรวมทั้ง

  • เมื่อกำลังจะหลับหรือเมื่อกำลังจะตื่น เป็นการเห็นภาพหลอนขณะเคลิ้มหลับ (hypnagogic) และการเห็นภาพหลอนขณะเคลิ้มตื่น (hypnopompic) ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
  • การเสียบุคคลที่รัก ประสาทหลอนเห็นคนรักผู้เสียชีวิตไปแล้วเป็นเรื่องสามัญ
  • การขาดนอนอย่างรุนแรง
  • ความเครียด

ความบาดเจ็บ

เหตุการณ์ในชีวิตที่ทำให้บอบช้ำทางกายใจพบว่า สัมพันธ์กับความเสี่ยงเกิดอาการโรคจิตเพิ่มขึ้น ความบอบช้ำทางกายใจในวัยเด็กโดยเฉพาะพบว่าเป็นตัวพยากรณ์อาการโรคจิตในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ คนไข้ที่มีอาการโรคจิต 65% ประสบกับการบาดเจ็บทางกายใจในวัยเด็ก (เช่น ถูกทารุณกรรมทางกายหรือทางเพศ ถูกละเลยทางกายหรือทางใจ)

ความอ่อนแอที่เพิ่มขึ้นของบุคคลอาจมีปฏิสัมพันธ์กับประสบการณ์ที่ทำให้บอบช้ำทางกายใจ ส่งเสริมให้เกิดอาการโรคจิตในอนาคต โดยเฉพาะในช่วงระยะพัฒนาการที่อ่อนไหวมาก ที่สำคัญก็คือ อาการโรคจิตดูจะสัมพันธ์กับเหตุการณ์บอบช้ำทางกายใจในชีวิตโดยเป็นไปตามความมากน้อย คือเหตุการณ์ที่เจ็บปวดหลายเหตุการณ์จะรวม ๆ กันเพิ่มการแสดงออกและความรุนแรงของอาการ จึงแสดงว่า การป้องกันความบอบช้ำทางกายใจและการรักษาตั้งแต่ต้น ๆ อาจเป็นเป้าหมายที่สำคัญเพื่อลดความชุกและบรรเทาผลของโรคจิต

โรคทางจิตเวช (psychiatric disorder)

จากมุมมองของการวินิจฉัยโรค โรคทางกาย (organic disorder) จัดว่ามีเหตุจากความเจ็บป่วยทางกายที่มีผลต่อสมอง (และมีผลเป็นโรคทางจิตเวชซึ่งเป็นรอง คือ ทุติยภูมิ) เทียบกับโรคเชิงหน้าที่ (functional disorder) ซึ่งจัดว่ามีเหตุจากการทำงานของจิตใจโดยไม่มีความผิดปกติทางกายอื่น ๆ (คือ เป็นโรคทางจิต [psychological] หรือทางจิตเวช [psychiatric] แบบปฐมภูมิ) แต่จริง ๆ ก็ได้พบความผิดปกติทางกายที่ละเอียดอ่อนในโรคที่ปกติจัดเป็นโรคเชิงหน้าที่ เช่น โรคจิตเภท ดังนั้น คู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิตรุ่น DSM-IV-TR จึงไม่แบ่งแยกระหว่างโรคทางกายกับโรคทางหน้าที่ แต่จัดรายการเป็นโรคจิตแบบดั้งเดิม (traditional psychotic illnesses), ภาวะโรคจิตเพราะอาการทางแพทย์ทั่วไป (psychosis due to general medical condition) และภาวะโรคจิตเหตุสารภายนอก (substance-induced psychosis)

ในทางจิตเวช โรคปฐมภูมิที่เป็นเหตุของภาวะโรคจิตรวมทั้ง

อาการโรคจิตยังอาจพบใน

ความเครียดรู้ว่ามีบทบาทและเป็นตัวจุดชนวนภาวะโรคจิต ประวัติการมีเหตุการณ์บอบช้ำทางกายใจในชีวิต และประสบการณ์เครียดที่เพิ่งมี ทั้งสองสามารถมีบทบาทให้เกิดภาวะโรคจิต ภาวะแบบสั้น ๆ ที่จุดชนวนโดยความเครียดเรียกว่า brief reactive psychosis และคนไข้อาจกลับเป็นปกติภายในสองอาทิตย์ ในกรณีที่มีน้อย บุคคลอาจจะมีภาวะโรคจิตเป็นเวลาหลายปี หรืออาจมีอาการโรคจิตที่บรรเทาลงบ้างอยู่ตลอดเวลา (เช่น ประสาทหลอนอย่างอ่อน ๆ)

ลักษณะทางบุคลิกภาพคือวิตกจริต (neuroticism) เป็นตัวพยากรณ์การเกิดภาวะโรคจิตที่เป็นอิสระตัวหนึ่ง

ประเภทย่อย

ประเภทย่อย ๆ ของภาวะโรคจิตรวมทั้ง

  • ภาวะโรคจิตตามประจำเดือน (menstrual psychosis) เกิดป็นคาบ ๆ ตามรอบประจำเดือน
  • ภาวะโรคจิตหลังคลอด (postpartum psychosis) เกิดหลังคลอดบุตร
  • monothematic delusions เป็นภาวะหลงผิดในเรื่อง ๆ เดียว
  • โรคจิตเหตุขาดไทรอยด์ (myxedema psychosis) เป็นผลที่มีน้อยเนื่องกับภาวะขาดไทรอยด์ (hypothyroidism) เช่น ในโรค Hashimoto's thyroiditis และในคนไข้ที่ผ่าเอาต่อมไทรอยด์ออกและไม่ทานยา thyroxine ต่อมไทรอยด์ที่ทำงานน้อยเกินอาจก่อภาวะสมองเสื่อมที่แย่ลงเรื่อย ๆ อาการเพ้อ และในกรณีรุนแรงประสาทหลอน โคม่า หรือภาวะโรคจิต โดยเฉพาะในคนชรา
  • stimulant psychosis เป็นความผิดปกติทางจิต (mental disorder) ที่มีอาการเป็นภาวะโรคจิต (เช่น ประสาทหลอน คิดระแวง หลงผิด ความคิดไม่ประติดประต่อ พฤติกรรมไม่มีจุดมุ่งหมาย) โดยปกติหลังจากทานยากระตุ้นประสาท (psychostimulant) มากเกินไป แต่ก็มีรายงานว่าเกิดกับบุคคลประมาณ 0.1% หรือ 1 คนในพันคนภายในสัปดาห์แรก ๆ หลังเริ่มกินยาเพื่อรักษาคือแอมเฟตามีน หรือ methylphenidate
  • tardive psychosis เป็นภาวะที่เกิดเพราะการใช้ยารักษาโรคจิต (neuroleptics) เป็นระยะเวลานาน จะเห็นภายหลังเมื่อยาลดประสิทธิภาพ จำเป็นต้องใช้มากขึ้น หรือเมื่อคนไข้ไม่ตอบสนองต่อยาขนาดที่มากขึ้น
  • shared psychosis

Cycloid psychosis

cycloid psychosis เป็นภาวะโรคที่แย่ลงจากปกติไปเป็นโรคจิตอย่างสมบูรณ์ ปกติใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงจนเป็นวัน ๆ โดยไม่เกี่ยวกับยาที่กินหรือความบาดเจ็บที่สมอง cycloid psychosis มีประวัติยาวนานตามประวัติจิตเวชยุโรป จิตแพทย์ชาวเยอรมัน Karl Kleist ได้ใช้คำนี้เป็นครั้งแรกในปี 1926 แม้จะเป็นประเด็นทางคลินิกที่สำคัญ แต่ทั้งวรรณกรรมและวิทยาการจำแนกโรคในช่วงนั้นก็ไม่ได้ให้ความสนใจแก่การวินิจฉัยโรคเช่นนี้ และแม้จะได้ความสนใจจากวรรณกรรมทั่วโลกในช่วง 50 ปีก่อน แต่งานศึกษาทางวิทยาศาสตร์ก็ได้ลดลงอย่างมากภายใน 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอาจเป็นเพราะความเข้าใจผิดว่า วินิจฉัยนี้ได้รวมเข้ากับระบบการจัดวินิจฉัยโรคแล้ว ซึ่งจริง ๆ กล่าวถึงอาการนี้เป็นบางส่วนเท่านั้น นี้เป็นโรคโดยเฉพาะของมันเองที่ต่างกับโรคอารมณ์สองขั้ว และกับโรคจิตเภท แม้จะมีทั้งอารมณ์แปรปรวนเป็นสองขั้วและอาการทางจิตเภท โรคมีภาวะโรคจิตอย่างฉับพลันโดยปกติจำกัดเวลา มีอาการหลายอย่างโดยมีความสับสนหรือความงุนงงที่อาจก่อทุกข์ ลักษณะหลักของโรคก็คือการเกิดอาการต่าง ๆ อย่างฉับพลัน และปกติจะกลับคืนปกติ พยากรณ์โรคระยะยาวจึงดี

เกณฑ์วินิจฉัยรวมอาการอย่างน้อย 4 อย่างดังต่อไปนี้

  • สับสน
  • อาการหลงผิดที่ไม่เป็นไปตามอารมณ์
  • ประสาทหลอน
  • วิตกกังวลอย่างรุนแรงที่ไม่จำกัดต่อเหตุการณ์หรือสถานการณ์
  • มีความสุขหรือดีใจมาก
  • มีปัญหาการเคลื่อนไหวแบบไม่เคลื่อนไหวหรือเคลื่อนไหวเกิน
  • กังวลเรื่องความตาย
  • อารมณ์แปรปรวนในระดับหนึ่ง แต่ยังน้อยเกินกว่าจะวินิจฉัยเป็นความผิดปกติทางอารมณ์

โรคนี้เกิดกับผู้มีอายุระหว่าง 15-50 ปี

โรคอื่น ๆ

โรคหรืออาการทางแพทย์เป็นจำนวนมากอาจก่อภาวะโรคจิต บางครั้งเรียกว่า โรคจิตทุติยภูมิ (secondary psychosis) ตัวอย่างรวมทั้ง

  • โรคที่เป็นเหตุของอาการเพ้อ (หรือ toxic psychosis) ที่ความรู้สึกตัวมีปัญหา
  • ปัญหาพัฒนาการทางประสาทและความผิดปกติทางโครโมโซม รวมทั้ง velocardiofacial syndrome
  • โรคประสาทเสื่อม (neurodegenerative disorder) เช่น โรคอัลไซเมอร์, dementia with Lewy bodies และโรคพาร์คินสัน
  • โรคทางประสาทเฉพาะจุด เช่น โรคหลอดเลือดสมอง เนื้องอกในสมองโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง และโรคลมชักบางรูปแบบ
  • มะเร็ง (ปกติเพราะก้อนเนื้อในสมอง และ paraneoplastic syndromes)
  • อาการติดเชื้อหรือที่เกิดหลังติดเชื้อ รวมทั้งการติดเชื้อที่ทำให้เพ้อ ที่ก่อสมองอักเสบเหตุไวรัส (viral encephalitis) และที่ก่อเอดส์มาลาเรีย และซิฟิลิส
  • โรคระบบต่อมไร้ท่อ (endocrine disease) เช่น โรคไทรอยด์ ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน กลุ่มอาการคุชชิง hypoparathyroidism (โรคพาราไทรอยด์) และ hyperparathyroidism (โรคต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกิน) ฮอร์โมนทางเพศก็อาจมีผลต่ออาการโรคจิต ดังนั้น จึงก่ออาการโรคจิตเมื่อคลอดบุตรที่เรียกว่า ภาวะโรคจิตหลังคลอด (postpartum psychosis)
  • ความผิดปกติทางเมแทบอลิซึมตั้งแต่กำเนิด เช่น succinic semialdehyde dehydrogenase deficiency, พอร์ไฟเรีย และ metachromatic leukodystrophy
  • การขาดสารอาหารเช่น การขาดวิตามินบี12
  • โรคทางเมแทบอลิซึมที่ได้มา (acquired metabolic disorder) รวมทั้งปัญหาอิเล็กโทรไลต์ไม่สมดุล เช่น ภาวะเลือดมีแคลเซียมน้อยเกิน (hypocalcemia) ภาวะเลือดมีโซเดียมมากเกิน (hypernatremia) ภาวะเลือดมีโซเดียมน้อยเกิน (hyponatremia) ภาวะเลือดมีโพแทสเซียมน้อยเกิน (hypokalemia) ภาวะเลือดมีแมกนีเซียมน้อยเกิน (hypomagnesemia) ภาวะเลือดมีแมกนีเซียมมากเกิน (hypermagnesemia) ภาวะเลือดมีแคลเซียมมากเกิน (hypercalcemia) ภาวะเลือดมีฟอสเฟตน้อยเกิน (hypophosphatemia) ภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อยเกิน (hypoglycemia) ภาวะขาดออกซิเจน (hypoxia) และตับหรือไตวาย
  • ภาวะภูมิต้านตนเองและโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ลูปัส อีริทีมาโตซัส ทั่วร่าง (SLE), sarcoidosis, Hashimoto's encephalopathy, anti-NMDA-receptor encephalitis และ non-celiac gluten sensitivity
  • ยาเป็นพิษ ไม่ว่าจะเป็นยาเพื่อรักษา (ดังจะกล่าวต่อไป) ยาเสพติด (ดังจะกล่าวต่อไป) พืช รา โลหะ สารประกอบอินทรีย์ และพิษสัตว์บางชนิด
  • ความปกติทางการนอนหลับ เช่น ภาวะง่วงเกิน (ที่ภาวะการหลับช่วง REM เกิดเมื่อตื่น)
  • โรคปรสิต เช่น โรคจากไข่พยาธิตัวตืด

สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท (psychoactive drug)

ดูบทความหลักที่: Substance-induced psychosis

สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทหลายอย่าง ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมายเชื่อว่า เป็นเหตุ หรือทำให้แย่ลง หรือเร่งให้เกิด ซึ่งภาวะโรคจิตหรือโรคอื่น ๆ สำหรับผู้ที่ใช้สาร โดยมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ต่าง ๆ กัน อาการจะเกิดหลังใช้สารเป็นระยะเวลานานหรือหลังจากการขาดยา บุคคลที่มีภาวะโรคจิตที่สารก่อมักจะสำนึกในภาวะโรคจิตของตนมากกว่า และมักคิดฆ่าตัวตายมากกว่าบุคคลที่มีโรคปฐมภูมิที่มีอาการโรคจิต ยาที่อ้างว่าชักนำให้เกิดอาการโรคจิตรวมทั้งแอลกอฮอล์, กัญชา, โคเคน, แอมเฟตามีน, cathinone, สารก่ออาการโรคจิต (เช่น แอลเอสดีและ psilocybin), κ-opioid receptor agonist เช่น enadoline และ salvinorin A, NMDA receptor antagonist เช่น เฟนไซคลิดีนและ ketamineกาเฟอีนอาจทำให้อาการแย่ลงในคนไข้โรคจิตเภทและก่อภาวะโรคจิตสำหรับคนปกติถ้ากินในขนาดมาก ๆ

แอลกอฮอล์

คนประมาณ 3% ที่ติดเหล้า (alcoholism) จะประสบกับภาวะโรคจิตในช่วงที่เมามากหรือกำลังขาดเหล้า อาจปรากฏโดยเป็นส่วนของภาวะทางประสาทที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากการขาดเหล้าซ้ำ ๆ ที่เรียกว่า kindling นี่เป็นผลระยะยาวของแอลกอฮอล์ซึ่งบิดเบือนเยื่อเซลล์ประสาท บิดเบือนการแสดงออกของยีน พร้อมกับทำให้ขาดไทอามีน (วิตามินบี1) อาจเป็นไปได้ว่า ในบางกรณี กลไก kindling สำหรับการติดเหล้าในระยะยาวอาจก่อความผิดปกติเรื้อรังที่มีอาการโรคจิตโดยสารเป็นตัวชักนำ คือ โรคจิตเภท ผลของภาวะโรคจิตเนื่องกับแอลกฮอล์รวมความเสี่ยงที่สูงขึ้นต่อโรคซึมเศร้า ต่อการฆ่าตัวตาย และต่อความพิการทางจิตสังคม

กัญชา

ตามงานศึกษาบางส่วน ยิ่งใช้กัญชาบ่อยเท่าไร ก็จะมีโอกาสเกิดโรคที่มีภาวะโรคจิตเท่านั้น คนใช้บ่อยจะมีสหสัมพันธ์กับความเสี่ยงภาวะโรคจิตและโรคจิตเภทเป็นสองเท่า แม้นักวิชาการบางส่วนจะยอมรับว่ากัญชาเป็นเหตุส่วนหนึ่งของโรคจิตเภท แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่มีข้อยุติ โดยความอ่อนแอต่อภาวะโรคจิตที่มีอยู่แล้วปรากฏกว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างการใช้กัญชากับภาวะโรคจิต งานศึกษาบางงานได้ระบุว่า ผลของสารประกอบออกฤทธิ์สองอย่างในกัญชา คือ เตตร้าไฮโดรแคนนาบินอล (THC) และ cannabidiol (CBD) มีผลตรงกันข้ามกันในเรื่องภาวะโรคจิต โดย THC อาจก่ออาการโรคจิตในบุคคลปกติ และ CBD อาจลดอาการที่เกิดจากกัญชา

อย่างไรก็ดี การใช้กัญชาได้เพิ่มขึ้นอย่างสำคัญในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่อัตราการเกิดภาวะโรคจิตกลับไม่เพิ่ม ดังนั้น สิ่งที่พบเหล่านี้อาจแสดงว่า การใช้กัญชานั้นเร่งการเกิดภาวะโรคจิตในบุคคลที่อ่อนแอต่อภาวะนี้อยู่แล้ว การใช้กัญชาที่มีฤทธิ์แรงก็ดูเหมือนจะเร่งการเกิดภาวะโรคจิตในคนไข้ที่อ่อนแอต่อการเกิดอาการ งานศึกษาปี 2012 สรุปว่า กัญชามีบทบาทสำคัญในการเกิดภาวะโรคจิตในบุคคลที่อ่อนแอ ดังนั้น การสูบกัญชาในช่วงต้นวัยรุ่นควรห้าม

เมแทมเฟตามีน

เมแทมเฟตามีนอาจก่ออาการโรคจิตสำหรับผู้ใช้ยาอย่างหนัก 26-46% บางคนอาจเกิดภาวะโรคระยะยาวที่คงยืนเกินกว่า 6 เดือน อนึ่ง ผู้ที่มีภาวะโรคจิตระยะสั้น ๆ เนื่องกับยาก็อาจเกิดอาการอีกหลังจากนั้นหลายปีเมื่อเกิดเหตุการณ์เครียด เช่น การนอนไม่หลับอย่างรุนแรง หรือการดื่มแอลกอฮอล์ขนาดหนักแม้จะไม่ได้กลับไปใช้ยาใหม่ ผู้ที่ใช้ยาเป็นเวลานานและได้เกิดอาการโรคจิตในอดีตเพราะยา มีโอกาสสูงมากที่จะกลับมีภาวะโรคจิตเนื่องกับยาภายในสัปดาห์เดียวที่กลับไปใช้ยาอีก

ยา

การกินยาหรือการขาดยาเป็นจำนวนมากอาจก่ออาการโรคจิต ยาที่ก่ออาการโรคจิตในการทดลองหรือในกลุ่มประชากรเป็นส่วนสำคัญ รวมแอมเฟตามีนและยากลุ่ม sympathomimetic อื่น ๆ, dopamine agonist, ketamine, corticosteroids (ซึ่งทำให้อารมณ์เปลี่ยนไปด้วย) และยากันชัก เช่น vigabatrin สารกระตุ้นที่ก่ออาการนี้รวมทั้ง lisdexamfetamine

การเข้าสมาธิ (meditation) อาจมีผลข้างเคียงทางจิตใจ รวมทั้ง depersonalization, derealization และอาการโรคจิต เช่นประสาทหลอนและความแปรปรวนทางอารมณ์

พยาธิสรีรวิทยา

การสร้างภาพทางประสาท (neuroimaging)

ภาพสมองของคนไข้ภาวะโรคจิตภาพแรกได้ทำอย่างช้าที่สุดก็ปี 1935 ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า การถ่ายภาพรังสีโพรงสมองหลังฉีดอากาศ (pneumoencephalography) เป็นหัตถการที่ทำให้เจ็บและปัจจุบันถือว่าล้าสมัย ทำโดยระบายน้ำในท่อสมองไขสันหลัง (CSF) จากรอบ ๆ สมองแล้วแทนที่ด้วยอากาศเพื่อให้ถ่ายภาพเอกซ์เรย์เห็นได้ชัดเจนขึ้น

ทั้งอาการโรคจิตคราวแรก และภาวะที่มีความเสี่ยงต่ออาการโรคจิตสูง สัมพันธ์กับปริมาตรเนื้อเทา (GMV) ที่ลดลง ความสัมพันธ์ในกลุ่มคนทั้งสองแม้จะคล้ายกันแต่ก็ต่างกันบ้าง การลดปริมาตรใน middle temporal gyrus ซีกขวา, รอยนูนสมองกลีบขมับส่วนบน (STG) ซีกขวา, พาราฮิปโปแคมปัสซีกขวา, ฮิปโปแคมปัสซีกขวา, middle frontal gyrus ซีกขวา และ anterior cingulate cortex (ACC) ซีกซ้าย ล้วนพบในกลุ่มประชากรที่เสี่ยงสูง ส่วนผู้มีภาวะโรคจิตเป็นครั้งแรกมีปริมาตรลดลงตั้งแต่ STG ซีกขวาไปจนถึง insular cortex ซีกขวา, ใน insular cortex ซีกซ้าย และในสมองน้อย โดยมีระดับการลดปริมาตรใน ACC ซีกขวา, STG ซีกขวา, insular cortex และสมองน้อยที่รุนแรงกว่างานวิเคราะห์อภิมานอีกงานรายงานการลดปริมาตรในซีกสมองทั้งสองข้างของ insular cortex, operculum, STG, medial frontal cortex และ ACC แต่ก็รายงานปริมาตรที่เพิ่มขึ้นใน lingual gyrus ซีกขวา และ precentral gyrus ซีกซ้ายด้วย โรคจิตเภทต่างกับโรคอารมณ์สองขั้วเพราะปริมาตรของเนื้อเทาลดลงมากกว่า แต่เมื่อปรับตามความแตกต่างระหว่างเพศด้วย ก็จะลดความแตกต่างเหลืออยู่ที่ dorsomedial prefrontal cortex ซีกซ้าย และ dorsolateral prefrontal cortex ซีกขวาเท่านั้น

เมื่อทำงานที่ต้องใส่ใจ ภาวะโรคจิตครั้งแรกสัมพันธ์กับการทำงานของ middle frontal gyrus ซีกขวาที่น้อยกว่า เป็นบริเวณที่ปกติจัดว่าครอบคลุม dorsolateral prefrontal cortex (dlPFC) และการทำงานที่น้อยกว่าของ insular cortex ซีกขวาและสมองกลีบข้างด้านล่างซีกขวาก็พบด้วยสมกับงานศึกษาในเรื่อง GMV

เมื่อทำงานทางประชาน พบว่า insular cortex ซีกขวา, dorsal ACC (dACC), และ precuneus ซีกซ้ายทำงานลดลง พร้อมกับที่ basal ganglia ซีกขวา, ทาลามัสซีกขวา, inferior frontal gyrus ซีกขวา และ precentral gyrus ซีกซ้ายทำงานมากขึ้น (reduced activation) ผลเหล่านี้คงเส้นคงวาและทำซ้ำได้เป็นอย่างดียกเว้นความผิดปกติของ inferior frontal gyrus ซีกขวา

GMV ที่ลดลงพร้อมกับการทำงานที่ลดลงของซีกสมองทั้งสองซีกได้พบใน insular cortex ด้านหน้า, dorsal medial frontal cortex และ dACC ส่วน GMV ที่ลดลงพร้อมกับการทำงานเกินของซีกสมองทั้งสองซีกพบที่ posterior insular cortex, ventral medial frontal cortex และ ventral ACC

ประสาทหลอน

งานศึกษาในคนไข้ที่กำลังประสบประสาทหลอนแสดงการทำงานที่เพิ่มขึ้นในคอร์เทกซ์รับความรู้สึกทั้งส่วนปฐมภูมิและทุติยภูมิ เพราะหูแว่วเกิดบ่อยสุดในภาวะโรคจิต หลักฐานจึงชัดเจนที่สุดว่า middle temporal gyrus ซีกซ้าย, superior temporal gyrus ซีกซ้าย (เป็นที่อยู่ของเปลือกสมองส่วนการได้ยินปฐมภูมิและ Wernicke's area) และ inferior frontal gyrus ซีกซ้าย (คือ Broca's area) ล้วนทำงานเพิ่มขึ้น การทำงานในส่วน striatum ด้านล่าง, ฮิปโปแคมปัส และ ACC สัมพันธ์กับความเหมือนจริงของประสาทหลอน จึงแสดงว่า การทำงานหรือบทบาทของวงจรประสาทเกี่ยวกับอารมณ์เป็นกุญแจสำคัญในเรื่องผลกระทบของการทำงานผิดปกติในคอร์เทกซ์รับความรู้สึก รวม ๆ กันแล้ว สิ่งที่ได้ค้นพบเหล่านี้ระบุว่า การแปลผลผิดปกติซึ่งประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสที่สร้างขึ้นภายใน (internally generated) เมื่อจับคู่กับการแปลผลทางอารมณ์ มีผลเป็นประสาทหลอน

แบบจำลองที่เสนอแบบหนึ่งระบุว่า ประสาทหลอนเกิดจากความล้มเหลวของเครือข่ายประสาทแบบ feedforward ที่เริ่มต้นจากคอร์เทกซ์รับความรู้สึกและส่งไปยัง inferior frontal cortex (บริเวณที่ Broca's area อยู่) ซึ่งปกติจะหักลบกระแสประสาทจากคอร์เทกซ์รับความรู้สึกเมื่อระบบประสาทกำลังสร้างคำพูดซึ่งเริ่มจากภายใน ความขัดข้องเกี่ยวกับคำพูดที่คาดหวังและคำพูดที่รับรู้เชื่อว่า ก่อประสาทหลอนที่เหมือนจริง

อาการหลงผิด

แบบจำลองอาการหลงผิดมีสองปัจจัย (two-factor model of delusions) ระบุว่า การทำงานผิดปกติของทั้งระบบประสาทสร้างความเชื่อและระบบประสาทประเมินความเชื่อจำเป็นเพื่อให้เกิดอาการหลงผิด การทำงานผิดปกติของระบบประเมินความเชื่อซึ่งเกิดจำเพาะอยู่ที่ lateral prefrontal cortex ซีกขวา ไม่ว่าจะเป็นการหลงผิดในเรื่องใด ได้หลักฐานจากงานวิจัยที่สร้างภาพประสาทโดยเข้ากับบทบาทของมันในการตรวจตราข้อมูลขัดแย้งในบุคคลปกติ การทำงานผิดปกติและปริมาตรที่ลดลงได้พบในคนไข้ที่มีอาการหลงผิด และในโรคที่สัมพันธ์กับอาการหลงผิดเช่น frontotemporal dementia, โรคจิต และ dementia with Lewy bodies อนึ่ง รอยโรคในบริเวณนี้สัมพันธ์กับการด่วนตัดสินใจ (jumping to conclusion) ความเสียหายในบริเวณนี้สัมพันธ์กับอาการหลงผิดหลังเกิดโรคหลอดเลือดสมอง เมแทบอลิซึมที่ต่ำเกินในบริเวณนี้สัมพันธ์กับโรคหลอดเลือดสมองที่บริเวณ caudate nucleus ซึ่งมีอาการหลงผิด

แบบจำลองความเด่นที่ผิดปกติ (aberrant salience model) ระบุว่า ความหลงผิดเป็นผลของการให้ความสำคัญเกินจริงกับสิ่งเร้าที่ไม่สำคัญ หลักฐานสนับสนุนสมมติฐานนี้ก็คือ บริเวณประสาทที่สัมพันธ์กับเครือข่ายความเด่น (salience network) ปรากฏกว่ามีเนื้อเทาที่ลดลงในคนไข้ที่มีอาการหลงผิด และสารสื่อประสาทคือ โดพามีน ซึ่งมีบทบาทในการแปลผลเรื่องความเด่นทางการรับรู้ ก็มีบทบาทในโรคต่าง ๆ ที่มีอาการโรคจิต

บริเวณประสาทโดยเฉพาะ ๆ สัมพันธ์กับความหลงผิดโดยเฉพาะ ๆ ปริมาตรในฮิปโปแคมปัสและพาราฮิปโปแคมปัสสัมพันธ์กับอาการหลงผิดแบบหวาดระแวง (paranoid delusion) ในคนไข้โรคอัลไซเมอร์ และมีรายงานว่าผิดปกติหลังตายสำหรับคนไข้คนหนึ่งที่มีอาการหลงผิด อาการหลงผิดคะกราส์สัมพันธ์กับความเสียหายที่สมองกลีบท้ายทอย-กลีบขมับ และอาจเกี่ยวกับความล้มเหลวในการเกิดอารมณ์หรือความจำเมื่อเห็นใบหน้า

อาการเชิงลบ/อาการบกพร่อง (negative symptom)

อาการโรคจิตสัมพันธ์กับการทำงานน้อยกว่าปกติของสมองส่วน ventral striatum ในช่วงการหวังสิ่งที่ชอบใจ (reward anticipation) และการได้สิ่งที่ชอบใจ (reward feedback) การทำงานน้อยกว่าปกติของ ventral striatum ซีกซ้าย มีสหสัมพันธ์กับความรุนแรงของความบกพร่องทางอารมณ์หรือทางอื่น ๆ (negative symptom)

แม้ภาวะสิ้นยินดีจะสามัญในอาการโรคจิต แต่คนไข้โรคจิตเภทโดยมากจริง ๆ ไม่มีปัญหากับการมีประสบการณ์ที่ให้ความสุข ความบกพร่องที่ปรากฏเป็นภาวะสิ้นยินดีอาจจะเป็นเพราะความไม่สามารถกำหนดเป้าหมาย การกำหนดพฤติกรรมที่จำเป็น และการดำเนินให้ถึงเป้าหมายที่ต้องการ

งานศึกษาได้สนับสนุนความบกพร่องทางประสาทในเรื่องเป้าหมายและพฤติกรรมเพื่อให้ถึงเป้าหมายโดยแสดงว่า

  • การได้สิ่งที่น่ายินดี (receipt) ไม่ใช่การมุ่งหวัง จะสัมพันธ์กับการตอบสนองที่มีกำลังของ ventral striatum
  • การเรียนรู้แบบเสริมแรงไม่มีปัญหาเมื่อผลต่าง ๆ ที่อาจได้ (stimulus-reward contingencies) เป็นเรื่องง่าย ๆ (implicit) แต่มีปัญหาเมื่อต้องประมวลผล (explicit processing) คืออาจต้องคิด
  • การตอบสนองต่อรางวัลที่พยากรณ์คลาดเคลื่อน (reward prediction errors) โดยเฉพาะในเชิงบวก (positive PE) จะผิดปกติ
  • การตอบสนองของ ACC เมื่อใช้เป็นตัวระบุความพยายามที่คนไข้ให้ ไม่เพิ่มขึ้นแม้รางวัลจะเพิ่มขึ้นหรือโอกาสได้รางวัลจะเพิ่มขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับอาการบกพร่อง (negative symptom)
  • การทำงานที่น้อยเกินของ dlPFC และการทำงานทางประชานที่ไม่ดีขึ้น เมื่อให้รางวัลเป็นเงินทอง
  • หน้าที่ที่อำนวยโดยระบบประสาทโดพามีนผิดปกติ

ประสาทชีววิทยา

อาการโรคจิตเดิมได้สัมพันธ์กับสารสื่อประสาทคือโดพามีน สมมติฐาน "dopamine hypothesis of psychosis" ที่มีอิทธิพลสูงได้ระบุว่า อาการโรคจิตเกิดจากการทำหน้าที่เกินของระบบประสาทโดพามีนในสมอง โดยเฉพาะที่วิถีประสาท mesolimbic pathway หลักฐานสำคัญสองอย่างที่สนับสนุนสมมติฐานนี้ก็คือ ยาที่ระงับการทำงานของหน่วยรับโดพามีนแบบ dopamine receptor D2 (เป็นยารักษาโรคจิตหรือ antipsychotic) มักจะลดความรุนแรงของอาการโรคจิต และยาที่เพิ่มการหลั่งโดพามีน หรือยับยั้งการดูดซึมโดพามีนเข้าไปใช้ใหม่ (เช่น แอมเฟตามีนหรือโคเคน) อาจจุดชนวนโรคจิตในบุคคลบางพวก

การทำงานผิดปกติของหน่วยรับ NMDA receptor (N-methyl D-aspartate receptor) เสนอว่าเป็นกลไกของอาการโรคจิต ทฤษฎีนี้มีหลักฐานว่า ยากลุ่มดิสโซสิเอทีฟ ยากลุ่ม NMDA receptor antagonists (สารต้านหน่วยรับ NMDA แบบดิสโซสิเอทีฟ) เช่น ketamine, phencyclidine และ dextromethorphan เมื่อกินเกินไปอย่างมาก จะก่อภาวะโรคจิต อนึ่ง อาการเนื่องจากความเป็นพิษจากยาดิสโซสิเอทีฟก็จัดว่า เลียนอาการของโรคจิตเภทรวมทั้งอาการบกพร่อง (negative symptom) ฤทธิ์ต้านหน่วยรับ NMDA นอกจากจะก่ออาการคล้ายกับโรคจิตแล้ว ยังเลียนผลทางประสาทสรีรวิทยา เช่น ลดแอมพลิจูดขององค์ evoked potential ต่าง ๆ รวมทั้ง P50, P300 และ mismatch negativity (MMN)

แบบจำลองการป้อนกลับของประสาทสัมผัสแบบ hierarchical Bayesian neurocomputational model เข้ากับงานที่สร้างภาพประสาท คือเชื่อมการทำงานน้อยเกินของหน่วยรับ NMDA กับอาการหลงผิดหรือประสาทหลอน โดยเสนอว่ากระบวนการพยากรณ์สิ่งที่จะรับรู้ทางประสาทสัมผัสของประสาทระดับสูงที่อำนวยด้วยหน่วยรับ NMDA (NMDA mediated top down prediction) ไม่สามารถลบล้างความผิดพลาดเกินของการพยากรณ์ที่มาจากประสาทสัมผัสและอำนวยด้วยหน่วยรับ AMPA (bottom up AMPA mediated predictions errors) ความผิดพลาดเกินของการพยากรณ์อันเป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้า ซึ่งเป็นสิ่งเร้าที่ปกติจะไม่ก่อปฏิกิริยาเช่นนั้น เชื่อว่า เป็นการให้ความเด่นเกิน (excessive salience) ต่อเหตุการณ์ธรรมดา ๆ การทำงานผิดปกติของประสาทระดับสูง ที่แปลข้อมูลประสาทสัมผัสอย่างเป็นนามธรรมมากกว่า อาจก่ออาการหลงผิด การลดการแสดงออกของยีน GAD67 อย่างสามัญในคนไข้ที่มีอาการโรคจิตอาจอธิบายการเพิ่มส่งกระแสปประสาทที่อำนวยโดยหน่วยรับ AMPA ซึ่งมีเหตุจากการยับยั้งโดยระบบประสาทแบบกาบาที่ลดลง

ความสัมพันธ์ระหว่างโดพามีนกับอาการโรคจิตโดยทั่วไปเชื่อว่าเป็นเรื่องซับซ้อน คือหน่วยรับ dopamine receptor D2 ระงับการทำงานของเอนไซม์ adenylate cyclase ในขณะที่หน่วยรับ dopamine receptor D1 เพิ่มการทำงานของเอนไซม์ เมื่อใช้ยาที่ระงับการทำงานของหน่วยรับ D2 โดพามีนที่ไม่จับกับ D2 ก็จะล้นไปหาหน่วยรับ D1 การทำงานที่เพิ่มขึ้นของเอนไซม์มีผลต่อการแสดงออกของยีนในเซลล์ประสาทแม้จะใช้เวลา ดังนั้น ยารักษาโรคจิต (antipsychotic) จึงใช้เวลา 1-2 สัปดาห์เพื่อลดอาการโรคจิต อนึ่ง ยารักษาโรคจิตที่ใหม่กว่าแต่มีผลเท่า ๆ กันจริง ๆ ระงับฤทธิ์ของโดพามีนน้อยกว่าเล็กน้อยแต่ก็ระงับหน่วยรับ 5-HT2A receptor ด้วยซึ่งแสดงว่า สมมติฐานโดพามีนนี้อาจจะง่าย ๆ เกินไป งานปี 2000 ไม่พบหลักฐานว่าระบบประสาทโดพามีนทำงานผิดปกติในคนไข้อาการโรคจิตเนื่องกับแอลกอฮอล์ และงานปี 1995 รายงานการใช้ยา ondansetron ซึ่งเป็นยากลุ่ม 5-HT3 receptor antagonist เพื่อรักษาอาการโรคจิตเนื่องกับยา levodopa ในคนไข้โรคพาร์คินสันโดยสำเร็จผลในระดับกลาง ๆ (moderate)

งานทบทวนวรรณกรรมงานหนึ่งพบความสัมพันธ์ระหว่างอาการโรคจิตคราวแรกกับบุคคลก่อนจะเป็นโรคเบาหวาน

การใช้ยากระตุ้นจิตประสาท (psychostimulant) เป็นระยะยาวหรือขนาดมาก ๆ อาจเปลี่ยนการทำงานของร่างกาย ก่ออาการคล้ายคราวฟุ้งพล่าน (mania) ของโรคอารมณ์สองขั้ว ยากลุ่ม NMDA antagonist ก่ออาการบกพร่อง (negative symptom) ต่าง ๆ เช่น ความผิดปกติทางความคิด (thought disorder) เมื่อกินในขนาดที่ยังไม่พอให้เกิดอาการชา และก่ออาการเคลื่อนไหวน้อยหรือมากเกิน (catatonia) เมื่อกินในขนาดสูง ยากระตุ้นจิตประสาทโดยเฉพาะเมื่อคนไข้มักมีความคิดแบบโรคจิตอยู่แล้ว อาจก่ออาการเชิงบวก (positive symptoms) เช่น ความหลงผิด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องมีคนรังควาน

วินิจฉัย

เพื่อวินิจฉัยว่าเป็นความเจ็บป่วยทางจิตใจ (mental illness) ในบุคคลที่มีอาการโรคจิต เหตุอื่น ๆ ที่อาจเป็นไปได้ต้องกันออกเสียก่อน การตรวจในเบื้องต้นรวมประวัติคนไข้และการตรวจร่างกายโดยแพทย์พยาบาล อาจตรวจเพื่อกันการใช้สาร กายใช้ยารักษา พิษ ภาวะแทรกซ้อนของการผ่าตัด และความเจ็บป่วยอื่น ๆ คนที่มีอาการโรคจิตเรียกในภาษาอังกฤษว่า psychotic

อาการเพ้อควรจะกันออก ซึ่งอาจแยกได้เพราะมีประสาทหลอนทางตา เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และมีระดับความรู้สึกต้วที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ซึ่งแสดงปัจจัยที่เป็นมูลอื่น ๆ รวมทั้งโรคหรืออาการทางแพทย์ การกันโรคอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับอาการโรคจิตออกอาจต้องตรวจเลือดตามเหตุผลดังต่อไปนี้

การตรวจอื่น ๆ รวมทั้ง

เพราะอาการโรคจิตอาจจุดชนวนหรือทำให้แย่ลงด้วยยาสามัญต่าง ๆ อาการที่เกิดจากยาควรกันออก โดยเฉพาะอาการที่เป็นคราวแรก อาการโรคจิตที่เกิดจากสารหรือยาอาจกันออกได้อย่างชัดเจนทางพิษวิทยา

เพราะอาหารเสริมบางอย่างอาจก่ออาการโรคจิตหรือภาวะฟุ้งพล่าน (mania) แต่ไม่สามารถตรวจได้ทางแล็บ จึงควรถามครอบครัว คู่ชีวิต หรือเพื่อนของคนไข้ว่ากำลังกินอาหารเสริมอยู่หรือไม่

ข้อผิดพลาดที่สามัญเมื่อวินิจฉัยคนไข้อาการโรคจิตรวมทั้ง

  • ไม่กันอาการเพ้อออกอย่างถูกต้อง
  • ไม่สำนึกเข้าใจอาการทางแพทย์ที่ผิดปกติ (เช่น สัญญาณชีพ)
  • ไม่ตรวจประวัติคนไข้หรือประวัติครอบครัว
  • ตรวจคัดโรคอย่างไม่เลือกโดยไม่มีหลักการ
  • ตรวจไม่พบอาการโรคจิตเหตุสารเป็นพิษเพราะไม่ได้ตรวจสารและยา
  • ไม่ได้ถามญาติหรือบุคคลอื่น ๆ เกี่ยวกับอาหารเสริม
  • การด่วนวินิจฉัยเร็วเกินไป
  • ไม่กลับตรวจดูหรือตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับวินิจฉัยในเบื้องต้นว่าเป็นโรคทางจิตเวชแบบปฐมภูมิ

หลังจากได้กันเหตุอื่น ๆ ของอาการโรคจิตที่สมควรออกแล้ว แพทย์จึงอาจจะวินิจฉัยแยกโรคทางจิตเวชโดยอาศัยประวัติครอบครัว ประวัติบุคคล ข้อมูลจากเพื่อนและคู่ชีวิต

ประเภทของอาการโรคจิตที่มีในบรรดาโรคจิตเวชต่าง ๆ อาจตรวจดูได้โดยใช้แบบประเมินที่ทำเป็นรูปนัย เช่น Brief Psychiatric Rating Scale (BPRS) ซึ่งประเมินโรคจิตตามอาการที่ตั้งไว้ 18 อย่าง เช่น ความไม่เป็นมิตร (hostility) ความระแวงสงสัย (suspicion) ประสาทหลอน (hallucination) และความรู้สึกว่าตนเขื่อง (grandiosity) เป็นอาการที่แพทย์สามารถสังเกตเห็นเมื่อสัมภาษณ์คนไข้และเฝ้าดูพฤติกรรมของคนไข้เป็นเวลา 2-3 วัน ครอบครัวของคนไข้ก็สามารถให้คำตอบสำหรับคำถามในแบบวัดได้ด้วย ในช่วงการประเมินเบื้องต้นและช่วงติดตาม สามารถประเมินอาการเชิงบวก (positive symtom) และอาการบกพร่อง (negative symtom) ของโรคจิตด้วยแบบคำถาม Positive and Negative Symptom Scale (PANSS) ซึ่งมี 30 รายการ

DSM-5 จัดโรคว่าเป็นโรคจิต (psychotic) หรืออยู่ในสเปกตรัมของโรคจิตเภทถ้ามีประสาทหลอน ความหลงผิด ความคิดสับสน การเคลื่อนไหวที่ไม่มีจุดหมาย หรือมีอาการบกพร่อง (negative symptom) แต่ก็ไม่นิยามอาการโรคจิต (psychosis) ในส่วนอภิธานแม้จะนิยามคำว่า "psychotic features" และ "psychoticism" ในเรื่องความผิดปกติทางบุคลิกภาพ (PD) ส่วน ICD-10 ไม่มีนิยามโดยเฉพาะสำหรับคำว่า psychosis

การวิเคราะห์ปัจจัย (factor analysis) ของอาการต่าง ๆ ที่ทั่วไปจัดเป็นของโรคจิตบ่อยครั้งจะได้ผลเฉลยเป็นปัจจัย 5 อย่าง แม้จะต่างกับโดเมน 5 อย่างตามที่ DSM-5 นิยามว่าเป็นอาการของกลุ่มอาการ schizophrenia spectrum disorders ปัจจัย 5 อย่างบ่อยครั้งขึ้นป้ายเป็นประสาทหลอน (hallucination) อาการหลงผิด (delusion) ความสับสน (disorganization) ความตื่นเต้น (excitement) และความเป็นทุกข์ (emotional distress) DSM-5 เน้นว่าอาการโรคจิตมีสเปกตรัม คือเริ่มจากน้อยสุดเป็น schizoid personality disorder และที่มากสุดเป็นโรคจิตเภท

การป้องกัน

หลักฐานไม่ชัดเจนว่าการรักษาเพื่อป้องกันอาการโรคจิตตั้งแต่ต้น ๆ มีประสิทธิภาพ แต่อาการโรคจิตเนื่องกับสาร/ยาสามารถป้องกันได้ แม้การรักษาตั้งแต่ต้น ๆ สำหรับคนที่เกิดอาการโรคจิตอาจทำให้ผลระยะสั้นดีขึ้น แต่ก็มีประโยชน์น้อยหลังจาก 5 ปี มีหลักฐานบ้างว่าการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (CBT) อาจลดความเสี่ยงอาการโรคจิตสำหรับคนเสี่ยงสูง ในปี 2014 สำนักงาน NICE แห่งกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษได้แนะนำให้ใช้ CBT เพื่อป้องกันสำหรับผู้ที่เสี่ยงเกิดอาการโรคจิต

การรักษา

การรักษาอาการโรคจิตจะขึ้นอยู่กับโรคที่แพทย์วินิจฉัยว่าเป็น (เช่น โรคจิตเภท โรคอารมณ์สองขั้ว หรือสารเป็นพิษ) การรักษาอันดับแรกสำหรับโรคที่มีอาการโรคจิตก็คือ ยารักษาโรคจิต (antipsychotic) ซึ่งสามารถลดอาการเชิงบวกได้ภายในเวลาประมาณ 7-14 วัน

ยา

ยารักษาโรคจิตที่เลือกใช้จะขึ้นอยู่กับประโยชน์ ความเสี่ยง และค่าใช้จ่าย ยังไม่ชัดเจนว่า ถ้ารวมเป็นหมู่ ๆ ยาตามแบบ (typical) หรือยานอกแบบ (atypical) ดีกว่ากัน หลักฐานเบื้องต้นสนับสนุนว่า ยา amisulpride, olanzapine, ริสเพอริโดน และ clozapine อาจมีประสิทธิผลที่ดีกว่าสำหรับอาการเชิงบวกแต่มีผลข้างเคียงมากกว่า ยารักษาโรคจิตตามแบบมีอัตราคนไข้เลิกกินยาและกลับเกิดอาการอีกเท่ากับยานอกแบบเมื่อใช้ในขนาดต่ำจนถึงปานกลางคนไข้ 40-50% ตอบสนองได้ดี, 30-40% ตอบสนองเป็นบางส่วน และ 20% ไม่ตอบสนองคืออาการไม่ดีขึ้นพอหลังจาก 6 สัปดาห์ที่ใช้ยารักษาโรคจิต 2-3 อย่าง clozapine เป็นยารักษาที่มีประสิทธิผลสำหรับคนไข้ที่ตอบสนองต่อยาอื่น ๆ ได้ไม่ดี (ที่เรียกว่า treatment-resistant schizophrenia หรือ refractory schizophrenia) แต่มีโอกาสให้ผลข้างเคียงที่รุนแรงคือ ภาวะแกรนูโลไซต์น้อย (agranulocytosis) คือจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลงโดยเกิดในอัตรา 4%

คนไข้ที่กินยารักษาโรคจิตโดยมากมีผลข้างเคียง ที่กินยาตามแบบ (typical antipsychotics) มักจะมีอาการ extrapyramidal ในอัตราที่สูงกว่า เทียบกับคนที่กินยานอกแบบ (atypical) ซึ่งสัมพันธ์กับน้ำหนักขึ้น โรคเบาหวาน และความเสี่ยงต่อกลุ่มอาการแมแทบอลิซึม (metabolic syndrome) ซึ่งเด่นที่สุดเมื่อกินยา olanzapine ในขณะที่ริสเพอริโดนและ quetiapine ก็สัมพันธ์กับน้ำหนักขึ้นด้วย ริสเพอริโดนมีอัตราการเกิดอาการ extrapyramidal คล้ายกับยาตามแบบคือ haloperidol

การให้คำปรึกษา

จิตบำบัดเช่น การรักษาด้วยการยอมรับและการให้สัญญา (ACT) อาจมีประโยชน์เพื่อรักษาอาการโรคจิต เพราะช่วยให้คนไข้มีกำลังใจเพื่อจะดำเนินชีวิตไปในทิศทางที่มีความหมายแม้จะมีโรค

การรักษาตั้งแต่ต้น ๆ

การรักษาอาการโรคจิตตั้งแต่ต้น ๆ (early intervention in psychosis) เริ่มมาจากสังเกตการณ์ว่า การะระบุและรักษาคนไข้ในระยะต้น ๆ ที่มีอาการโรคจิตอาจทำให้ผลระยะยาวดีขึ้น คือสนับสนุนให้ใช้วิธีการรักษาตามหลักวิชาการหลายสาขาในระยะวิกฤติ (critical period) ที่การรักษาจะได้ผลดีที่สุด และป้องกันพยาธิสภาพ (morbidity) ระยะยาวที่สัมพันธ์กับโรคเรื้อรังที่มีอาการโรคจิต

ประวัติ

ศัพทมูลวิทยา

คำว่า psychosis เริ่มใช้ในวรรณกรรมทางจิตเวชในปี 1841 โดยแพทย์ชาวเยอรมัน (Karl Friedrich Canstatt ในผลงาน Handbuch der Medizinischen Klinik) โดยใช้เป็นคำชวเลขสำหรับคำว่า psychic neurosis ในช่วงนั้น คำว่า neurosis หมายถึงโรคของระบบประสาทอะไร ๆ ก็ได้ ดังนั้น หมอจึงหมายถึงอาการทางจิตใจที่ปรากฏเนื่องกับโรคสมอง แพทย์ชาวออสเตรีย (Ernst von Feuchtersleben) ก็ได้รับเครดิตว่าบัญญัติคำนี้เช่นกันในปี 1845 โดยหมายถึงโรคอย่างอื่นที่ไม่ใช่ insanity หรือ mania

คำนี้มีรากศัพท์จากคำละตินว่า psychosis ซึ่งแปลว่า "ให้วิญญาณหรือชีวิตกับ, ทำให้มีชีวิต, คืนชีวิตให้" และจากคำกรีกโบราณว่า ψυχή (psyche) ซึ่งแปลว่าวิญญาณ และปัจจัย -ωσις (-osis) ซึ่งในกรณีนี้หมายถึง "ภาวะผิดปกติ"

คุณศัพท์ภาษาอังกฤษว่า psychotic ใช้กล่าวถึงอาการนี้ซึ่งพบได้ทั้งในวรรณกรรมทางการแพทย์และวรรณกรรมทั่วไป

การจำแนก

คำยังได้ใช้แยกภาวะที่จัดว่า เป็นความผิดปกติของจิตใจ เทียบกับ neurosis (โรคประสาท) ซึ่งจัดว่าเป็นความผิดปกติของระบบประสาท คำนี้จึงได้กลายเป็นเทียบเท่ากับคำว่าบ้า ดังนั้น จึงเกิดข้อถกเถียงว่า นี่เป็นโรคเดียวหรือมีรูปแบบต่าง ๆ ในปี 1891 เกิดคำที่ใช้แคบลง(โดยจิตแพทย์ชาวเยอรมัน Julius Ludwig August Koch) คือ psychopathic inferiorities ซึ่งต่อมาจัดเป็นกลุ่มบุคลิกภาพที่ผิดปกติ (abnormal personalities) โดยจิตแพทย์ชาวเยอรมันอีกท่านหนึ่ง (Kurt Schneider)

จิตแพทย์ชาวเยอรมันเอมีล เครพอลีน (Emil Kraepelin) ได้แบ่งโรคจิตออกเป็น manic depressive illness (ปัจจุบันเรียกว่า โรคอารมณ์สองขั้ว) และ dementia praecox (ปัจจุบันเรียกว่า โรคจิตเภท) คือหมอได้พยายามสังเคราะห์ความผิดปกติต่าง ๆ ที่ได้ระบุจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยรวมกลุ่มโรคเข้าด้วยกันตามอาการที่มีร่วมกัน โดยใช้คำว่า manic depressive insanity หมายถึงสเปกตรัมความผิดปกติทางอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งครอบคลุมกว่าที่ใช้ทุกวันนี้ และรวมโรคซึมเศร้าธรรมดา โรคอารมณ์สองขั้ว และความผิดปกติทางอารมณ์อื่น ๆ เช่น โรคไซโคลไทเมีย ในโรคเหล่านี้ คนไข้มีอารมณ์แปรปรวนโดยอาการโรคจิตจะเกิดสัมพันธ์กับความผิดปกติทางอารมณ์ คนไข้บ่อยครั้งทำกิจได้เป็นปกติในระหว่างคราวที่เกิดโรคจิตแม้จะไม่ได้กินยา ส่วนโรคจิตเภทมีคราวอาการโรคจิตที่ดูไม่สัมพันธ์กับความผิดปกติทางอารมณ์ และคนไข้ที่ไม่ได้กินยาก็ผิดปกติแม้ในระหว่างคราวที่เกิดอาการโรคจิต

คำว่า psychosis ในอดีตยังเคยใช้ในความหมายว่า เป็นความผิดปกติทางจิตใจ (mental disorder) ที่รุนแรงจนรบกวนกิจกรรมในชีวิตประจำวัน

การรักษา

อารยธรรมยุคต้น ๆ จัดความบ้าว่าเป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ นักโบราณคดีได้ขุดค้นพบกะโหลกศีรษะที่มีรูเจาะอย่างชัดเจน บางส่วนมีอายุถึง 5,000 ปีก่อน ค.ศ. ซึ่งแสดงนัยว่า การเจาะกะโหลกเพื่อรักษา (trepanning) อาการโรคจิตเป็นวิธีสามัญในสมัยโบราณ การบันทึกถึงเหตุเหนือธรรมชาติและถึงวิธีการรักษามีตัวอย่างในพันธสัญญาใหม่ บทหนึ่ง (Mark 5:8-13) กล่าวถึงชายที่ปรากฏว่ามีอาการโรคจิตตามที่ระบุในปัจจุบัน ผู้พระคริสต์ได้รักษา "ความบ้าจากปีศาจ" โดยขับเหวี่ยงปีศาจออกไปที่ฝูงสุกร วิธีการขับไล่ปีศาจเช่นนี้ก็ยังใช้อยู่ในกลุ่มศาสนาบางกลุ่มเป็นการรักษาอาการโรคจิตซึ่งเชื่อว่า เป็นปีศาจเข้าสิง

งานศึกษากับผู้ป่วยนอกของคลินิกจิตเวชพบว่า คนไข้ผู้นับถือศาศนา 30% โทษอาการโรคจิตของตนต่อวิญญาณร้าย คนไข้หลายคนได้ผ่านพิธีกรรมไล่ปีศาจ ที่แม้คนไข้จะรู้สึกว่าดีแต่ก็ไม่มีผลต่ออาการ ผลงานศึกษายังได้แสดงว่า อาการจะแย่ลงอย่างสำคัญสำหรับการบังคับให้ผ่านพิธีกรรมไล่ผีโดยไม่รักษาด้วยวิธีการทางแพทย์

การแพทย์พบว่าคนเป็นโรคจิต สมองมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ การรักษาจึงเป็นการใช้ยาปรับสมดุลในสมอง ซึ่งถ้าไม่รักษา ปล่อยให้ผิดปกติไปเป็นเวลานาน ๆ สิ่งที่ตามมาคือการทำลายเนื้อสมองอย่างถาวร และผู้ป่วยจะไม่กลับคืนปกติ ดังเช่นที่เห็นในผู้ป่วยบางรายที่ญาติคิดว่าผีเข้า ไม่พามารักษา ไปรักษาหมอผี หมดเงินเป็นแสน กว่าจะมาพบแพทย์ก็สายเกิน ไม่สามารถรักษาให้เหมือนเดิมได้ หรือคนที่ใช้สารเสพติดนาน ๆ สมองจะถูกทำลายไปมาก จนไม่สามารถกลับปกติได้ ส่วนใหญ่แพทย์จะไม่หักล้างความเชื่อ ถ้าญาติอยากรักษาทางไสยศาสตร์ แพทย์ก็มักจะแนะนำให้รักษาด้วยยาด้วย

แพทย์และนักปรัชญาคริสต์ศตวรรษที่ 4 คือฮิปพอคราทีส ได้เสนอเหตุตามธรรมชาติ ไม่ใช่เหนือธรรมชาติ ที่ทำให้ป่วย ในงานของเขาคือ Hippocratic corpus แนวอธิบายแบบเน้นภาพรวมเกี่ยวกับสุขภาพและโรคได้รวมความบ้าและโรคทางจิตอื่น ๆ หมอได้เขียนไว้ว่า

มนุษย์ควรจะรู้ว่า ความสุข ปิติ การหัวเราะ การล้อเล่น ตลอดจนความเศร้า ความเจ็บปวด ความโศก และน้ำตา เกิดมาจากสมองและจากสมองเท่านั้น

อาศัยสมองโดยเฉพาะ เราคิด เราเห็น ได้ยิน และแยกแยะความน่าเกลียดกับความสวยงาม ความไม่ดีกับความดี ความน่ายินดีกับความไม่น่ายินดี...

เป็นสิ่งเดียวกันที่ทำให้เราบ้าหรือเพ้อ ทำให้เราหวั่นเกรงและกลัว ไม่ว่าจะเป็นกลางคืนกลางวัน ทำให้นอนไม่หลับ ทำการผิดพลาด วิตกกังวลอย่างไร้จุดหมาย ใจลอย และมีพฤติกรรมนอกนิสัย

หมอสนับสนุนทฤษฎี humoralism ที่โรคเป็นผลจากความไม่สมดุลของน้ำในร่างกายรวมทั้งเลือด, เสลด/เสมหะ, ดีดำ (black bile) และดีเหลือง (yellow bile) ตามทฤษฎีนี้ น้ำแต่ละอย่างจะสัมพันธ์กับอารมณ์หรือพฤติกรรม ในกรณีโรคจิต อาการเชื่อว่ามีเหตุจากการมีเลือดและดีเหลืองเกิน ดังนั้นวิธีการรักษาอาการโรคจิตและอาการฟุ้งพล่าน (mania) ก็คือการผ่าเอาเลือดออก

แพทย์ชาวอเมริกันช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ผู้ได้เครดิตว่า "เป็นบิดาของจิตเวชอเมริกัน" (Benjamin Rush) ก็จัดการเอาเลือดออกเป็นวิธีการรักษาอันดับแรกของอาการโรคจิต แม้จะไม่ได้สนับสนุนทฤษฎี humoralism แต่หมอก็เชื่อว่า การถ่ายเลือดออกเป็นวิธีการรักษาที่มีผลต่อความขัดข้องในระบบไหลเวียน ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นเหตุปฐมภูมิของความบ้า แม้วิธีการรักษาของหมอปัจจุบันจะจัดว่าโบราณและไม่สมเหตุผล แต่ผลงานของหมอต่อจิตเวชศาสตร์ ซึ่งยกกระบวนการทางชีวภาพว่าเป็นเหตุของปรากฏการณ์ทางจิตเวชรวมทั้งอาการโรคจิต เป็นเรื่องหาค่าประมาณมิได้ในสาขานี้ เพื่อให้เกียรติสำหรับประโยชน์ที่ทำเยี่ยงนี้ ภาพของหมอจึงเป็นตราทางการของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน (APA)

การรักษาต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 สำหรับอาการโรคจิตที่รุนแรงและคงยืนเน้นการช็อกระบบประสาท รวมทั้ง insulin shock therapy (การบำบัดด้วยการช็อกด้วยอินซูลินให้เกิดโคม่า), cardiazol shock therapy (การบำบัดด้วยการช็อกด้วยยาให้ชัก) และ electroconvulsive therapy (การบำบัดด้วยการช็อกด้วยไฟฟ้าให้ชัก) แม้จะค่อนข้างเสี่ยง แต่การบำบัดด้วยการช็อกเคยจัดว่ามีผลดีในการรักษาอาการโรคจิตรวมทั้งในโรคจิตเภท เพราะยอมรับการรักษาที่เสี่ยงสูงเช่นนี้ ก็เลยเกิดวิธีการรักษาที่เบียดเบียนคนไข้ยิ่งกว่านั้นรวมทั้ง psychosurgery (เช่น lobotomy ที่แพทย์ตัดหรือขูดเส้นประสาทที่เชื่อมกับสมองส่วน prefrontal cortex ออก)

ในปี 1888 จิตแพทย์ชาวสวิส (Gottlieb Burckhardt) ได้ทำ psychosurgery ที่ได้การอนุมัติเป็นรายแรกโดยตัดเปลือกสมองออก แม้คนไข้บางส่วนจะมีอาการดีขึ้นและสงบลง แต่คนไข้คนหนึ่งก็ได้เสียชีวิต และอีกหลายคนเกิดภาวะเสียการสื่อความ (aphasia) และเกิดโรคชัก (seizure disorders) แม้หมอจะได้ตีพิมพ์ผลงานทางคลินิกในวารสารการแพทย์ แต่วงการแพทย์ก็ไม่ได้ยอมรับวิธีการนี้

ในปลายคริสต์ทศวรรษ 1930 ประสาทแพทย์ชาวโปรตุเกส (Egas Moniz) ประดิษฐ์การผ่าตัดสมอง คือ leucotomy (หรือ prefrontal lobotomy) ที่ตัดหรือขูดใยประสาทที่เชื่อมสมองกลีบหน้ากับสมองที่เหลือออก ซึ่งได้แรงดลใจจากงานศึกษาของนักประสาทวิทยาศาสตร์ในปี 1935 ที่ทำการเยี่ยงนี้กับลิงชิมแปนซี 2 ตัวแล้วเปรียบเทียบพฤติกรรมก่อนและหลังการผ่าตัด คือก่อนผ่าตัด ลิงมีพฤติกรรมปกติรวมทั้งขว้างอุจจาระและสู้กัน หลังจากผ่าตัด ลิงสงบลงและรุนแรงน้อยลง ในช่วงการถามและตอบคำถาม หมอได้ถามนักวิจัยว่าสามารถขยายทำกับมนุษย์ได้หรือไม่ ซึ่งนักวิจัยทั้งสองยอมรับว่าเป็นคำถามที่ทำให้สะดุ้งใจ หมอต่อมาจึงได้ขยายวิธีการปฏิบัติที่ก่อความโต้แย้งเช่นนี้กับคนไข้ผู้มีอาการโรคจิต เป็นความอุตสาหะที่เขาต่อมาได้รับรางวัลโนเบลในปี 1949 ระหว่างปลายคริสต์ทศวรรษ 1930 และต้น 1970 leucotomy เป็นวิธีการที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง และบ่อยครั้งทำในสถานที่ที่ไม่ปลอดเชื้อ เช่น คลินิกคนไข้นอกและในบ้านของคนไข้ psychosurgery เป็นวิธีการมาตรฐานจนกระทั่งค้นพบยารักษาโรคจิตในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950

การทดลองทางคลินิกของยารักษาโรคจิตแรก (เรียกทั้งด้วยคำว่า antipsychotic และ neuroleptics) เพื่อรักษาอาการโรคจิตเกิดขึ้นในปี 1952 chlorpromazine (ชื่อการค้า thorazine) ผ่านการทดลองทางคลินิกแล้วกลายเป็นยารักษาโรคจิตแรกที่อนุมัติให้ใช้รักษาทั้งอาการโรคจิตฉับพลันและเรื้อรัง แม้กลไกการออกฤทธิ์จะไม่รู้จนกระทั่งปี 1963 แต่ chlorpromazine ก็เป็นจุดเริ่มของการใช้ยากลุ่ม dopamine antagonist (สารต้านหน่วยรับโดพามีน) เป็นยารักษาโรคจิตรุ่นแรกสุด แม้การทดลองทางคลินิกจะแสดงการตอบสนองในอัตราสูงทั้งในอาการโรคจิตฉับพลันและโรคที่มีอาการโรคจิต ผลข้างเคียงก็ค่อนข้างหนัก รวมทั้งการเกิดอาการโรคพาร์คินสันที่บ่อยครั้งแก้คืนไม่ได้เช่น tardive dyskinesia (อาการยึกยือเหตุยาที่เกิดทีหลัง)

ยารักษาโรคจิตนอกแบบ (atypical antipsychotic) คือยารักษาโรคจิตรุ่นสอง เป็นยาต้านหน่วยรับโดพามีนที่มีอัตราการตอบสนองคล้ายกัน และมีผลข้างเคียงที่ต่างกันมาก แต่ก็จัดว่ายังมีมาก รวมทั้งอัตราการเกิดอาการโรคพาร์คินสันที่น้อยกว่าแต่มีความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่า ยารักษาโรคจิตนอกแบบยังคงเป็นการรักษาอันดับแรกสำหรับอาการโรคจิตที่สัมพันธ์กับความผิดปกติทางจิตเวชและทางประสาทรวมทั้งโรคจิตเภท โรคอารมณ์สองขั้ว โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ภาวะสมองเสื่อม และโรคออทิซึมสเปกตรัม

ปัจจุบันรู้แล้วว่า โดพามีนเป็นสารสื่อประสาทหลักอย่างหนึ่งที่มีบทบาทในอาการโรคจิต ดังนั้น การระงับหน่วยรับโดพามีน (คือ หน่วยรับโดพามีนแบบ D2 หรือ dopamine D2 receptors) และลดการทำงานของระบบประสาทโดพามีนจึงเป็นเป้าหมายทางเภสัชวิทยาที่มีประสิทธิผลแต่หยาบ (คือไม่เฉพาะเจาะจง) ของยารักษาโรคจิต งานศึกษาทางเภสัชวิทยาปี 2005 แสดงว่า การลดการทำงานของระบบประสาทโดพามีนไม่ได้กำจัดอาการหลงผิดหรือประสาทหลอน แต่ลดการทำงานของระบบรางวัลที่มีบทบาทให้เกิดความคิดแบบหลงผิด ซึ่งเป็นการหาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าหรือแนวความคิดต่าง ๆ ที่จริง ๆ แล้วไม่สัมพันธ์กัน นักวิจัยงานนี้ยอมรับความสำคัญของการตรวจสอบที่ควรจะทำในอนาคตว่า

แบบจำลองที่แสดงในที่นี้อาศัยความรู้ที่ไม่สมบูรณ์เกี่ยวกับโดพามีน โรคจิตเภท และยารักษาโรคจิต และดังนั้น จึงต้องปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นเมื่อได้ความรู้ในเรื่องเหล่านี้มากขึ้น

— From dopamine to salience to psychosis—linking biology, pharmacology and phenomenology of psychosis

อดีตนักศึกษาของซีคมุนท์ ฟร็อยท์ (Wilhelm Reich) ได้ตรวจสอบผลทางกายภาพของการเจริญเติบโตในวัยเด็กที่มากไปด้วยความวิตกกังวลและความบอบช้ำทางกายใจ แล้วได้ตีพิมพ์การรักษาด้วยการวิเคราะห์จิตใจแบบเน้นภาพรวมกับคนไข้โรคจิตเภทผู้หนึ่ง เมื่อรวมหลักวิธีการหายใจและการพิจารณา คนไข้ซึ่งเป็นหญิงอายุน้อยก็ได้ทักษะบริหารตนเพียงพอเพื่อยุติการบำบัด

สังคม

จิตแพทย์ชาวอังกฤษผู้หนึ่ง (David Healy) ได้วิจารณ์บริษัทผลิตยาว่า โปรโหมตทฤษฎีชีววิทยาเกี่ยวกับความเจ็บป่วยทางจิตใจที่ง่าย ๆ โดยแสดงว่าการักษาด้วยยาสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง และละเลยปัจจัยทางสังคมและพัฒนาการที่รู้ว่า มีอิทธิพลสำคัญต่อการเกิดอาการโรคจิต

เชิงอรรถ

แหล่งข้อมูลอื่น

  • American Psychiatric Association (2013). Diagnostic and statistical manual of mental disorders (5th, DSM-5 ed.). Washington, D.C.: American Psychiatric Association. ISBN 978-0-89042-554-1. {{cite book}}: |ref=harv ไม่ถูกต้อง (help)
  • Sims, A (2002). Symptoms in the mind: An introduction to descriptive psychopathology (3rd ed.). Edinburgh: Elsevier Science Ltd. ISBN 978-0-7020-2627-0.
  • Murray, ED; Buttner, N; Price, BH (April 2012). "Depression and Psychosis in Neurological Practice". ใน Bradley, WG; Daroff, RB; Fenichel, GM; Jankovic, J (บ.ก.). Neurology in Clinical Practice (6th ed.). Butterworth Heinemann. ISBN 978-1-4377-0434-1.
  • Williams, Paris (2012). Rethinking Madness: Towards a Paradigm Shift In Our Understanding and Treatment of Psychosis. Sky’s Edge Publishing. ISBN 978-0-9849867-0-5.
ประสบการณ์ส่วนตัว

[กึ่งอัตชีวประวัติ]

แหล่งข้อมูลอื่น

การจำแนกโรค
ทรัพยากรภายนอก

Новое сообщение