Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.
Humphrey field analyser
Humphrey field analyser (HFA) เป็นเครื่องวัดลานสายตาของมนุษย์ ที่แพทย์ตรวจปรับสายตาและจักษุแพทย์ใช้ โดยเฉพาะเพื่อตรวจลานสายตาของตาเดียว (monocular visual field) ผลจากเครื่องจะใช้ระบุปัญหาทางการเห็น เพราะมันให้ข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งที่เกิดโรคตลอดระบบสายตา/วิถีประสาทของการเห็น ซึ่งช่วยให้วินิจฉัยปัญหาทางตาของคนไข้ ผลที่ได้อาจเก็บไว้เพื่อเฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงของสายตา
การใช้ทางการแพทย์
เครื่องสามารถใช้ตรวจคัดโรค เฝ้าสังเกตอาการ และช่วยวินิจฉัยโรคบางอย่าง โดยมีเกณฑ์วิธีทดสอบ (testing protocol) หลายอย่างที่เลือกได้ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมาย ในรายการต่อไปนี้ เลขตัวแรกหมายถึงขนาดลานสายตาที่ต้องการวัดทางด้านขมับ โดยวัดจากกลางจุดตรึงตา (fixation) และมีหน่วยเป็นองศา ส่วนเลข '-2' ระบุรูปแบบของจุดแสงที่ใช้ทดสอบ
- 10-2: วัด 10 องศาทางขมับและทางจมูก ตรวจ 68 จุด ใช้สำหรับตรวจจุดภาพชัด (macula) โรคที่จอตา โรคทางประสาทและตา (neuro-ophthalmic) และต้อหินระยะหลัง ๆ
- 24-2: วัด 24 องศาทางขมับ และ 30 องศาทางจมูก โดยตรวจ 54 จุด ใช้สำหรับโรคทางประสาทและตา เพื่อตรวจคัดกรองโดยทั่วไป และเพื่อตรวจต้อหินระยะต้น ๆ
- 30-2: วัด 30 องศาทางขมับและจมูก โดยตรวจ 76 จุด ใช้สำหรับตรวจคัดโรคทั่วไป ต้อหินระยะต้น ๆ และโรคทางประสาท (neurological)
การตรวจทั้งหมดตามที่ว่าสามารถทำแบบ SITA-Standard หรือ SITA-Fast โดย SITA-Fast จะเร็วกว่า แม้จะให้ผลเทียบได้กับ SITA-Standard แต่อาจจะทำซ้ำได้ผลไม่เหมือนกัน และจะไวตรวจพบปัญหาได้น้อยกว่า
มีวิธีการทดสอบอื่น ๆ ที่ใช้ในกิจโดยเฉพาะเช่น
- Esterman - ใช้เพื่อตรวจการทำงานของสายตาคนไข้เพื่อให้แน่ใจว่า สามารถขับรถได้อย่างปลอดภัย อย่างที่ใช้ในประเทศออสเตรเลีย
- SITA SWAP ย่อมาจาก Short Wavelength Automated Perimetry (SWAP) ใช้เพื่อตรวจการเสียสายตาเพราะต้อหินในระยะต้น ๆ
วิธีการตรวจ
การตรวจใช้เวลาประมาณ 5-8 นาที ไม่นับเวลาที่ต้องจัดแจงหรือบอกคนไข้ มีหลายขั้นตอนที่ต้องทำก่อนจะเริ่มตรวจเพื่อให้ได้ผลที่เชื่อถือได้
เจ้าหน้าที่จะเลือกวิธีการและข้างของตาที่จะตรวจก่อน แล้วจึงใส่ข้อมูลคนไข้ รวมทั้ง refractive error (ภาวะกำลังหักเหแสงของสายตาผิดปกติ) ในกรณีที่จำเป็น เครื่องจะระบุเลนส์ที่ต้องใช้ในการทดสอบ (เช่น เลนส์กลมหรือเลนส์ทรงกระบอก [cylindrical lens]) ในกรณีเช่นนี้ มักใช้เลนส์ทดสอบที่มีกรอบโลหะ โดยจะวางเลนส์ทรงกระบอกไว้ใกล้คนไข้เพื่อให้ระบุ axis ได้ง่าย ๆ เจ้าหน้าที่สามารถปรับจุดตรึงตาได้ตามความจำเป็น
ก่อนให้คนไข้เข้าไปนั่งที่เครื่อง เจ้าหน้าที่จะอธิบายวิธีการทดสอบแก่คนไข้ คือให้มองตรึงอยู่ที่เป้าตรงกลาง ให้กดปุ่มสัญญาณต่อเมื่อเห็นจุดแสงที่เป็นตัวกระตุ้น คนไข้จะไม่สามารถเห็นแสงที่แสดงทั้งหมด แสงบางจุดอาจสว่างกว่า มืดกว่า แสดงช้ากว่า เร็วกว่าแสงอื่น ๆ ตาที่ไม่ได้ตรวจจะปิดไว้ และจะปิดแสงในห้องก่อนทดสอบ เจ้าหน้าที่จะให้คนไข้วางคางไว้ที่ที่วาง และแนบศีรษะชิดกับที่พิงหน้าผาก โดยอาจต้องปรับการวางศีรษะบ้างเพื่อให้รูม่านตาอยู่ตรงกลางของจอเพื่อให้สามารถเช็คการมองของคนไข้ได้ตลอดการทดสอบ เลนส์ที่วางบนที่จับควรอยู่ใกล้ตาคนไข้ให้มากที่สุดไม่ให้เห็นสิ่งแปลกปลอม (artefacts)
สำคัญว่าคนไข้จะต้องกะพริบตาเป็นปกติ ทำตัวสบาย ๆ และตั้งใจมีสมาธิตลอดช่วงทดสอบ ซึ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ของผลที่วัด
การทำงาน
เครื่องจะยิงแสงสีขาวที่มีความสว่างต่าง ๆ กันไปยังจุดต่าง ๆ ในช่องทรงกลมซึ่งมีแสงสว่างทั่ว ๆ กัน คนไข้จะกดปุ่มเพื่อแสดงว่าเห็นจุดแสง ซึ่งเป็นการตรวจสอบสมรรถภาพของจอตาในการตรวจจับสิ่งกระตุ้นที่จุดต่าง ๆ ภายในลานสายตา นี่เรียกว่าความไวจอตา (retinal sensitivity) ซึ่งมีหน่วยวัดเป็น เดซิเบล (dB)
เครื่องวัดปัจจุบันใช้ขั้นตอนวิธี Swedish Interactive Thresholding Algorithm (SITA) ซึ่งเป็นสูตรที่ทำให้วัดลานสายตาได้เร็วที่สุดและแม่นยำที่สุด ผลจะเทียบกับข้อมูลสายตาของคนรุ่นเดียวกันในฐานข้อมูล ซึ่งสามารถระบุการเห็นที่ผิดปกติหรือน่าสงสัยโดยอาจมีเหตุจากโรค
เป้าหมายการตรึงตา
มีเป้าหมายหลายอย่างที่สามารถเลือกให้คนไข้มองได้ โดยเลือกขึ้นอยู่กับอาการของคนไข้
- เป้ากลาง: เป็นแสงสีเหลืองที่ตรงกลาง
- รูปเพชรขนาดเล็ก: ใช้สำหรับคนไข้ที่ไม่เห็นเป้าตรงกลาง เช่นคนไข้โรคจุดภาพชัดของจอตาเสื่อม คือให้คนไข้มองที่ตรงกลางระหว่างจุด 4 จุด
- รูปเพชรขนาดใหญ่: สำหรับคนไข้ที่ไม่เห็นเป้าหมายที่กล่าวมาแล้วทั้งสอง
การแปลผล
ดรรชนีความเชื่อถือได้
ความเชื่อถือได้เป็นเรื่องสำคัญมากเมื่อแปลผล มีปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งคนไข้เสียสมาธิ ปิดตา หรือกดปุ่มบ่อยเกิน การเฝ้าสังเกตการตรึงตาของคนไข้สามารถทำได้ที่หน้าจอหรือที่ "gaze tracker" ซึ่งอยู่ทางด้านล่างของแผ่นพิมพ์แสดงผล ระดับความเชื่อถือได้จะแสดงเป็นดรรชนีความเชื่อถือได้ (reliability indices) ที่อยู่ในแผ่นพิมพ์แสดงผล (ดูรูป) ซึ่งเจ้าหน้าที่จะตรวจดูเป็นอย่างแรกเพื่อดูว่าผลเชื่อถือได้หรือไม่ ดรรชนีรวมทั้ง
- การเสียการตรึงตา (Fixation Losses) : บันทึกเมื่อคนไข้ตอบสนองต่อแสงกระตุ้นที่ยิงไปที่จุดบอดของตา ถ้าเกิน 20% ก็จะระบุด้วย 'XX' ถัดไปจากคะแนน ซึ่งแสดงว่าผลเชื่อถือไม่ได้
- ผลบวกลวง (False Positives) : บันทึกเมื่อคนไข้ตอบสนองเมื่อไม่มีแสงกระตุ้น ถ้าเกิน 15% ก็จะระบุด้วย 'XX' ต่อจากคะแนน ซึ่งแสดงว่าเชื่อถือไม่ได้ และอาจเป็นตัวบ่งว่าคนไข้กลัวว่าจะทำการทดสอบผิดพลาด
- ผลลบลวง (False Negatives) : บันทึกเมื่อคนไข้ไม่ตอบสนองต่อแสงกระตุ้นที่สว่างแม้คนไข้จะได้บ่งแล้วว่าเห็นแสงกระตุ้นที่อ่อนกว่า ถ้าค่าสูง นี่แสดงว่าคนไข้เหนื่อย ไม่ใส่ใจ แสร้งป่วย หรือมีปัญหาเสียลานสายตาไปมากจริง ๆ วรรณกรรมแพทย์ได้แสดงเปอร์เซ็นต์ต่าง ๆ เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือได้ ส่วนมากกำหนดว่า ผลลบลวงที่สูงกว่าประมาณ 30% ไม่น่าเชื่อถือ
ผล
เมื่อตรวจดูความน่าเชื่อถือได้แล้ว จึงจะประเมินข้อมูลที่เหลือ
(2) ผลเป็นตัวเลข
ผลเป็นตัวเลขแสดงความไวที่จุดจอตาต่าง ๆ ของคนไข้มีหน่วยเป็น dB เลขยิ่งมากก็แสดงว่าไวมาก ซึ่งปกติจะไวสุดตรงกลางลานสายตาและค่อย ๆ ลดลงเมื่อห่างออกไป ค่าปกติอยู่ที่ประมาณ 30 dB ค่าที่น้อยกว่า 0 dB หมายถึงไม่เห็นเลย
(3) สเกลสีเทา
สเกลสีเทาเป็นภาพแสดงของผลตัวเลข (2) ทำให้แปลผลการเสียลานสายตาได้ง่าย ส่วนที่เข้มกว่าหมายถึงไวน้อยกว่า ส่วนที่อ่อนกว่าเป็นส่วนที่ไวกว่า สเกลนี้ใช้แสดงความเปลี่ยนแปลงของสายตา แต่ก็ไม่ใช้เพื่อวินิจฉัยโรค
(4) ความคลาดเคลื่อนทั้งหมด (Total Deviation)
ค่าความคลาดเคลื่อนเป็นตัวเลขแสดงความต่างระหว่างค่าที่วัดได้กับค่าของคนรุ่นเดียวกันที่จุดในจอตาต่าง ๆ
- ค่าลบแสดงความไวที่ต่ำกว่าปกติ
- ค่าบวกแสดงความไวที่สูงกว่าปกติ
- 0 แสดงว่าเท่ากัน
ค่าความคลาดเคลื่อนกำหนดโดยสถิติที่อยู่ด้านล่างจากค่าเป็นตัวเลข แสดงเปอร์เซ็นต์ของกลุ่มประชากรปกติที่มีค่าวัดต่ำกว่าคนไข้ในแต่ละจุด ๆ ค่าความน่าจะเป็น (5) แสดงเปอร์เซ็นต์เพื่อใช้ตีความค่าความคลาดเคลื่อนโดยสถิติ ยกตัวย่างเช่น สี่เหลี่ยมเข้มสุดหมายถึงว่า <0.5% ของประชากรก็ได้ค่านี้เช่นกัน ซึ่งแสดงว่าการเสียการเห็นที่จุดนี้สูงมาก ภาพความคลาดเคลื่อนทั้งหมดนี้เน้นแสดงการเสียการเห็นที่กระจายไปทั่ว (คือที่ต่างกับบุคคลกลุ่มอายุเดียวกันทั้งหมด)
(6) Pattern Deviation
ภาพ Pattern Deviation ให้ข้อมูลความคลาดเคลื่อนทั้งแบบเป็นตัวเลขและโดยสถิติ แต่มันไม่นับการเห็นที่ลดลงเนื่องจากความขุ่นใสของกระจกตา (เช่น ต้อกระจก) หรือสายตาผิดปกติที่ไม่ได้แก้ หรือการไวแสงน้อยลงเนื่องจากอายุหรือรูม่าตาหด (pupil miosis) จึงเป็นการเน้นตรวจการเสียสายตาที่สงสัยว่ามีเหตุจากโรค (focal loss) เท่านั้น และจึงเป็นภาพที่แพทย์ใช้วินิจฉัยโรค ปกติแล้ว ภาพ Pattern Deviation จะเข้มน้อยกว่าภาพ Total Deviation เพราะไม่รวมการเห็นที่เสียไปเนื่องจากปัจจัยที่กล่าวแล้ว
(7) Global Indices
หมายเลขแต่ละอย่างในกลุ่มนี้ให้ข้อสรุปทางสถิติ แม้จะไม่ใช้เพื่อวินิจฉัยในเบื้องต้น แต่ก็สำคัญเพื่อเฝ้าตรวจความคืบหน้าของต้อหิน หมายเลขรวมทั้ง
- ค่าเบี่ยงเบนเฉลี่ย (Mean Deviation, MD) : ได้มาจากค่าเบี่ยงเบนทั้งหมด เป็นค่าต่างโดยเฉลี่ยจากค่าปกติของคนรุ่นเดียวกัน ค่าลบหมายถึงมีลานสายตาเสีย ค่าบวกแสดงว่า มีลานสายตาที่ดีกว่าคนอายุเท่ากันโดยเฉลี่ย จะมีค่า P ก็ต่อเมื่อค่าแรกผิดปกติ คือแสดงเปอร์เซ็นต์ที่ค่านั้นเกิดในกลุ่มประชากร ยกตัวอย่างเช่น P <2% หมายถึงประชากรน้อยกว่า 2% ซึ่งมีตาเสียหายยิ่งกว่าค่าที่วัดได้จากคนไข้
- Pattern Standard Deviation (PSD) : เป็นค่าที่ได้มาจาก Pattern Deviation และดังนั้น จึงแสดงความเสียหายโดยเฉพาะ (focal loss) เท่านั้น ค่าสูงซึ่งแสดงว่าสายตาผิดปกติ จึงเป็นตัวบ่งชี้ที่มีประโยชน์ของความคืบหน้าของต้อหิน ไม่เหมือนกับค่า MD
(8) Glaucoma Hemifield Test (GHT)
Glaucoma Hemifield Test (GHT) เป็นการประเมินจอตาที่ปกติเสียหายเพราะต้อหิน โดยเปรียบเทียบบริเวณที่คู่กัน 5 คู่ระหว่างลานสายตาด้านบนกับล่าง ผลซึ่งอาจเป็น Outside Normal Limits คือนอกเขตปกติ ลานสายตาบนและล่างจะต่างกันอย่างสำคัญ, Borderline คือก้ำกึ่ง จะมีความแตกต่างที่น่าเป็นห่วง หรือ Within Normal Limits คือปกติ ผลเหล่านี้จะพิจารณาก็ต่อเมื่อคนไข้มีต้อหินหรือสงสัยว่ามีต้อหิน และมีใช้กับเครื่องที่รองรับเกณฑ์วิธี 30-2 และ 24-2 เท่านั้น
(9) Visual Field Index (VFI)
Visual Field Index (VFI) ช่วยให้เห็นการทำงานและความผิดปกติของ retinal ganglion cell เป็นเปอร์เซ็นต์ โดยลานสายตาตรงกลางจะให้น้ำหนักมากกว่า และค่าจะแสดงเปอร์เซ็นต์ที่ลานสายตาทำงาน ค่า 100% จัดเป็นลานสายตาดีสุดสำหรับคนรุ่นเดียวกัน และ 0% จัดว่ามีลานสายตาบอดหมด ภาพความน่าจะเป็นแบบ pattern deviation (หรือความน่าจะเป็นแบบ total deviation เมื่อ MD แย่กว่า -20 dB) ใช้ระบุบริเวณที่ผิดปกติและความไวตามอายุ ซึ่งคำนวณโดยใช้ตัวเลขจาก total deviation ในเรื่องความเสียหายเพราะต้อหิน VFI เป็นดรรชนีที่เชื่อถือได้และอาจใช้จัดระดับของโรคได้
รูปแบบสีเข้ม ๆ ที่แสดงในภาพ Pattern Deviation ช่วยให้วินิจฉัยความเสียหายต่อสายตา ซึ่งอาจใช้เป็นข้อมูลเพื่อวินิจฉัยโรคบางชนิด แม้บทความนี้จะไม่กล่าวถึงการเห็นที่เสียไปโดยสัมพันธ์กับโรค แต่ก็มีรูปแสดงตัวอย่างการเสียลานสายตา
ข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี
- ตรวจลานสายตาอย่างละเอียดโดยมีขั้นตอนที่ทำให้ผลน่าเชื่อถือได้
- เทียบข้อมูลคนไข้กับคนรุ่นเดียวกัน
- แยกแยะระหว่างการเสียการเห็นโดยทั่วไป (diffuse loss) กับโดยเฉพาะ ๆ (focal loss)
- สามารถใช้กับคนไข้ที่ใช้รถเข็น หูไม่ดี มีปัญหาการทรงตัวหรือการตรึงตา และ/หรือเห็นไม่ชัดมาก (very low visual acuity)
- ให้ค่าวัดพื้นฐาน
- เจ้าหน้าที่ตรวจและตีความผลได้ง่าย
ข้อเสีย
- คนไข้ต้องเข้าใจและมีสมาธิดีเมื่อตรวจเทียบกับวิธีตรวจอื่น ๆ
- ใช้เวลามาก
- การเรียนรู้มีผล คือคนไข้ใหม่จะทำการทดสอบได้ดีขึ้นเพราะเข้าใจสถานการณ์การตรวจสอบ ดังนั้น จึงต้องพิจารณาการตรวจครั้งที่สามเป็นผลบรรทัดฐาน
- โอกาสเกิดผลผิดปกติ (artefacts) ต่อไปนี้เป็นรายการของผลผิดปกติและรูปแบบที่มันเกิด แต่เป็นเรื่องที่แก้ได้ถ้าเตรียมตัวกับคนไข้ให้ถูกต้อง
- สายตาผิดปกติ (refractive error) ที่ไม่ได้แก้, สภาพไร้แก้วตา (aphakia) ซึ่งทำให้ลานสายตาไวแสงลดลงอย่างสำคัญ
- ขอบเลนส์อาจทำให้ตาดูเหมือนเสียหายจากต้อหิน
- กระจกตาที่ขุ่นหรือโรคกระจกตารูปกรวย (keratoconus) ทำให้ตาไวแสงน้อยลง
- เปลือกตาหย่อน (Ptosis) ทำให้เสียลานสายตาด้านบน
- รูม่าตาหด (Miosis) ทำให้เสียลานสายตารอบ ๆ