Мы используем файлы cookie.
Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.

วัคซีนโควิด-19 ของออกซฟอร์ด-แอสตร้าเซนเนก้า

Подписчиков: 0, рейтинг: 0
วัคซีนโควิด-19 ของออกซฟอร์ด-แอสตร้าเซนเนก้า
Oxford AstraZeneca COVID-19 vaccine AZD1222 - 4.jpg
รายละเอียดวัคซีน
โรคที่เป็นข้อบ่งชี้ โควิด-19
ชนิด อะดีโนไวรัสของชิมแปนซีที่ดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อใช้เป็นเวกเตอร์
ข้อมูลทางคลินิก
ชื่อทางการค้า Vaxzevria, Covishield
ชื่ออื่น AZD1222,ChAdOx1 nCoV-19,ChAdOx1-S, COVID-19 Vaccine AstraZeneca, AstraZeneca COVID-19 Vaccine, AZD2816
ข้อมูลทะเบียนยา
ระดับความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์
ช่องทางการรับยา ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
รหัส ATC
กฏหมาย
สถานะตามกฏหมาย
ตัวบ่งชี้
เลขทะเบียน CAS
DrugBank
UNII
KEGG
Pharmaklog.png สารานุกรมเภสัชกรรม
ขวดวัคซีนที่สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดียผลิต วางตลาดมีตราสินค้าเป็น Covishield ในอินเดียและประเทศอื่น 

วัคซีนโควิด-19 ของออกซฟอร์ด-แอสตร้าเซนเนก้า อันมีชื่อรหัสว่า AZD1222 มีตราสินค้าต่าง ๆ รวมทั้ง Covishield และ Vaxzevria เป็นวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ใช้ไวรัสเป็นเวกเตอร์หรือเป็นพาหะ และฉีดเข้าในกล้ามเนื้อเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าได้พัฒนาขึ้นโดยใช้อะดีโนไวรัสของชิมแปนซีที่ได้ดัดแปลงพันธุกรรมชื่อว่า ChAdOx1 งานศึกษาที่ทำในปี 2020 พบประสิทธิศักย์ของวัคซีนที่ร้อยละ 76 ในการป้องกันโรคที่แสดงอาการเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 หลังจากฉีดโดสแรกและร้อยละ 81.3 หลังจากฉีดโดสที่สอง ส่วนงานวิเคราะห์ในปี 2021 พบว่า สำหรับการติดเชื้อที่แสดงอาการ หลังจากได้โดสที่สอง วัคซีนมีประสิทธิภาพร้อยละ 66 ต่อสายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) และร้อยละ 60 ต่อสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย)

วัคซีนปลอดภัยดี มีผลข้างเคียงเป็นความเจ็บปวดที่จุดฉีด ปวดหัว คลื่นไส้ ทั้งหมดปกติจะหายไปเองภายใน 2-3 วัน ที่เกิดน้อยกว่ารวมการแพ้วัคซีนอย่างรุนแรงคือแอนาฟิแล็กซิส (อังกฤษมีรายงาน 268 กรณีจากการฉีดวัคซีน 21.2 ล้านโดสจนถึงวันที่ 14 เมย. 2021) ในกรณีที่มีน้อยมาก (น้อยกว่า 1 ในแสนคน) วัคซีนสัมพันธ์กับการเกิดลิ่มเลือดบวกกับเกล็ดเลือดที่ลดลงต่ำ สำนักงานการแพทย์ยุโรป (European Medicines Agency, EMA) ระบุว่า จนถึงวันที่ 4 เมย. 2021 มีกรณีเกิดลิ่มเลือด 222 กรณีภายในเขตเศรษฐกิจยุโรปและสหราชอาณาจักรจากคน 34 ล้านคนที่ได้ฉีดวัคซีน

ในวันที่ 30 ธันวาคม 2020 สหราชอาณาจักรเป็นประเทศแรกที่ได้อนุมัติให้ใช้วัคซีน โดยฉีดวัคซีนนอกการทดลองเป็นเข็มแรกในวันที่ 4 มกราคม 2021 หลังจากนั้น องค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกจึงได้อนุมัติให้ใช้วัคซีนรวมทั้งสำนักงานการแพทย์ยุโรป (EMA) องค์กรควบคุมของออสเตรเลีย (TGA) และองค์การอนามัยโลก จนถึงวันที่ 27 เมษายน 2021 วัคซีนนี้ได้รับอนุญาตให้ใช้ในประเทศ 137 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ประเทศบางประเทศได้จำกัดให้ใช้วัคซีนเฉพาะในคนสูงอายุเท่านั้น เพราะผลไม่พึงประสงค์ของวัคซีนที่อาจมีในคนอายุน้อยกว่าแม้จะเกิดน้อยมาก

ในกลางเดือนพฤศจิกายน 2020 คณะรัฐมนตรีไทยได้อนุมัติงบประมาณ 6,000 ล้านบาทเพื่อสั่งจองวัคซีนจากบริษัทจำนวน 26 ล้านโดสโดยจะซื้อในราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 151 บาท) ต่อโดส และที่เหลือ (ประมาณ 2,000 ล้านบาท) จะใช้เพื่อดำเนินการและเก็บรักษา จนถึงปลายเดือนเมษายน 2021 พบว่า ไทยได้สั่งวัคซีนชนิดนี้รวมทั้งหมดแล้ว 61 ล้านโดส โดยรัฐบาลต้องการให้ส่งวัคซีนในเดือน มิ.ย. 6 ล้านโดส, เดือน ก.ค.-พ.ย. เดือนละ 10 ล้านโดส และเดือน ธ.ค. อีก 6 ล้านโดส ทั้งหมดรวมเป็น 61 ล้านโดส ซึ่งพอสำหรับประชากร 30.5 ล้านคนคือประมาณร้อยละ 44 ของประชากรประมาณ 69.56 ล้านคน ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2021 จึงปรากฏว่า บริษัทมีแผนจะส่งวัคซีนให้แก่ไทยเดือนละ 5-6 ล้านโดสเท่านั้น ดังนั้น วัคซีนทั้งหมดอาจส่งไม่ครบจนกระทั่งเดือนพฤษภาคม 2022

จนถึงวันที่ 18 กรกฎาคม 2021 ประเทศไทยได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าทั้งหมด 8,193,500 โดส คือญี่ปุ่นบริจาคให้ 1,053,000 โดสและบริษัทส่งให้ที่เหลือ 7,140,500 โดสโดยส่ง 1,651,100 โดสให้ในเดือนกรกฎาคม

การใช้ทางการแพทย์

วัคซีนใช้ต้านการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ในผู้ใหญ่ผู้มีอายุ 18 ปีขึ้น โดยฉีดโดสละ 0.5 มล. 2 โดสในกล้ามเนื้อเดลทอยด์ (ต้นแขน) ซึ่งห่างกัน 4-12 สัปดาห์ แต่องค์การอนามัยโลกก็แนะนำให้ฉีดโดสที่สอง 8-12 สัปดาห์หลังโดสแรกเพื่อให้ได้ประสิทธิผลสูงสุด ไม่มีหลักฐานว่าจำเป็นต้องฉีดบูสต์เป็นเข็มที่ 3

ประสิทธิภาพของวัคซีน

ประสิทธิผลโดยความรุนแรงของโรค
สายพันธุ์ 2 โดส 1 โดส
ไม่มีอาการ มีอาการ เข้า รพ. ไม่มีอาการ มีอาการ เข้า รพ.
อัลฟา 73% (6678%) 81% (7287%) 86% (5396%) 37% (3242%) 39% (3245%) 76% (6185%)
เบตา ไม่มีรายงาน 10% (−77 to 55%) ไม่มีรายงาน ไม่มีรายงาน ไม่มีรายงาน ไม่มีรายงาน
แกมมา ไม่มีรายงาน 78% (6984%) 88% (7893%) ไม่มีรายงาน 33% (2640%) 55% (4762%)
เดลตา 60% (5366%) 61% (5170%) 92% (7597%) 18% (925%) 33% (2341%) 71% (5183%)

ข้อมูลเบื้องต้นจากงานศึกษาสถานการณ์จริงในเมือง Botucatu ประเทศบราซิลที่แกมมาเป็นสายพันธุ์หลักแสดงประสิทธิภาพลดการติดเชื้อที่แสดงอาการได้ถึง 71% หลังจากประชากรทั้งหมด 81% (จากประมาณ 148,130 คน) ได้วัคซีนโดสแรก

ประสิทธิศักย์ของวัคซีน

งานวิเคราะห์ที่ตีพิมพ์วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2021 แสดงประสิทธิศักย์ของวัคซีนที่ร้อยละ 76 ในการป้องกันการติดเชื้อแบบแสดงอาการโดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 วันหลังจากโดสแรก และเพิ่มเป็นร้อยละ 81.3 เมื่อฉีดโดสที่สอง 12 สัปดาห์หรือยิ่งกว่าหลังจากโดสแรก ในวันที่ 22 พฤษภาคม สำนักงานสาธารณสุขอังกฤษ (Public Health England หรือพีเอชอี) ได้ตีพิมพ์ผลการวิเคราะห์ว่า หลังจากได้โดสที่สองสำหรับการติดเชื้อที่แสดงอาการ วัคซีนมีประสิทธิภาพร้อยละ 66 ต่อสายพันธุ์ B.1.1.7 (อังกฤษ) และร้อยละ 60 ต่อสายพันธุ์ B.1.617.2 (อินเดีย)

ข้อห้ามใช้

วัคซีนนี้ไม่ควรให้แก่คนที่มีโรคเส้นเลือดฝอยรั่ว (capillary leak syndrome)

ผลไม่พึงประสงค์

ในการทดลองทางคลินิก ผลข้างเคียงที่สามัญปกติจะมีอาการอ่อนจนถึงปานกลาง และดีขึ้นเองภายใน 2-3 วันหลังฉีดวัคซีน

การอาเจียน ท้องเสีย อาการบวมแดงที่จุดฉีด และการมีเกล็ดเลือดต่ำเกิดกับคนน้อยกว่า 1 ใน 10 ส่วนต่อมน้ำเหลืองบวม ความไม่อยากอาหาร เวียนศีรษะ ง่วงนอน เหงื่อออก ปวดท้อง คัน และเป็นผื่นเกิดกับคนน้อยกว่า 1 ใน 100 คน

ในกรณีที่มีน้อยมาก (น้อยกว่า 1 ในแสน) วัคซีนก่อลิ่มเลือดพร้อมกับอาการเกล็ดเลือดน้อย องค์กรควบคุมเวชภัณฑ์ (MHRA) ของสหราชอาณาจักรระบุว่า จนถึงวันที่ 14 เมย. 2021 มีการเกิดลิ่มเลือดพร้อมกับเกล็ดเลือดน้อย 7.9 กรณีหลังฉีดวัคซีน 1 ล้านโดส (น้อยกว่า 1 ในแสนคน)

เหมือนกับวัคซีนอื่น แอนาฟิแล็กซิสและปฏิกิริยาแพ้อื่น ๆ เป็นผลข้างเคียงอย่างหนึ่งของวัคซีน จึงต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด สำนักงานการแพทย์ยุโรป (EMA) ประเมินว่า มีกรณีแอนาฟิแล็กซิส 41 กรณีเนื่องกับการฉีดวัคซีน 5 ล้านโดสในสหราชอาณาจักร

วัคซีนอาจมีผลให้เส้นเลือดฝอยรั่ว สำนักงานการแพทย์ยุโรปยังระบุกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (GBS) ว่าเป็นผลข้างเคียงที่มีน้อยมากของ Vaxzevria จึงให้มีคำเตือนในแผ่นผลิตภัณฑ์ของวัคซีน

เภสัชวิทยา

วัคซีนโควิด-19 ของออกซฟอร์ด-แอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนที่ใช้เวกเตอร์เป็นอะดีโนไวรัสของชิมแปนซีซึ่งไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้ เวกเตอร์มีลำดับยีนสำหรับโปรตีนหนาม (spike) ของไวรัสโควิด-19 ที่สมบูรณ์และทำให้แสดงออกได้อย่างมีประสิทธิภาพสุด (codon-optimized) ประกอบกับลำดับยีนนำ (leader sequence) คือ tissue plasminogen activator (tPA)

อะดีโนไวรัสแพร่พันธุ์ไม่ได้ก็เพราะได้ลบยีนสำคัญออกแล้วแทนที่ด้วยยีนที่เข้ารหัสโปรตีนหนาม (spike protein) ของไวรัสโควิด-19 หลังจากฉีดวัคซีน อะดีโนไวรัสซึ่งเป็นเวกเตอร์ก็จะเข้าไปในเซลล์แล้วปล่อยยีน ซึ่งก็จะนำส่งไปยังนิวเคลียสของเซลล์ต่อไป แล้วกลไกของเซลล์ก็จะถอดรหัสยีนเป็นเอ็มอาร์เอ็นเอแล้วแปลรหัสเป็นโปรตีนหนาม

โปรตีนสำคัญก็คือโปรตีนหนาม (spike protein) ซึ่งเป็นโปรตีนด้านนอกที่ทำให้ไวรัสโคโรนาในกลุ่ม SARS สามารถเข้าไปในเซลล์ผ่าน enzymatic domain ของเอนไซม์ที่ผิวเซลล์ คือ ACE2 (Angiotensin-converting enzyme 2) ได้ การผลิตโปรตีนชนิดนี้ของเซลล์หลังได้ฉีดวัคซีนจะกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันเข้าไปโจมตีไวรัสโคโรนาที่ติดจริง ๆ ในภายหลังโดยอาศัยสารภูมิต้านทานและเซลล์เม็ดเลือดขาว (T-cell)

การผลิต

วัคซีนเสถียรในอุณหภูมิตู้เย็นแช่ยาธรรมดาและมีราคาขายให้ประเทศตะวันตกเป็นต้นประมาณ 3-4 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส (ประมาณ 94-125 บาท) ในวันที่ 17 ธันวาคม 2020 ทวีตของรัฐมนตรีงบประมาณแผ่นดินของประเทศเบลเยียมเปิดเผยว่า สหภาพยุโรปจะซื้อวัคซีนในราคา 2.16 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส (ประมาณ 68 บาท) ซึ่งหนังสือพิมพ์สหรัฐเดอะนิวยอร์กไทมส์คาดว่า ราคาซื้อที่ถูกกว่าสหรัฐซื้ออาจเกี่ยวกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อผลิตวัคซีนของสหภาพยุโรป เป็นวัคซีนอันมีราคาถูกที่สุดซึ่งตกลงขายให้แก่สหภาพยุโรป โดยวัคซีนราคาสูงสุดคือวัคซีนของโมเดิร์นา (โดสละ 564 บาท)

จนถึงเดือนมีนาคม 2021 สารออกฤทธิ์ของวัคซีนคือ ChAdOx1-SARS-COV-2 กำลังผลิตในโรงงานต่าง ๆ หลายแห่งในโลก ซึ่งแอสตร้าเซนเนก้าระบุว่ามี 25 แห่งในประเทศ 15 ประเทศ รวมทั้งโรงงานของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ในจังหวัดนนทบุรี โรงงานในสหราชอาณาจักรอยู่ที่เมืองออกซฟอร์ดและคีล โดยมีโรงงานบรรจุขวดปิดป้ายที่เร็กซ์แฮม โรงงานอื่น ๆ รวมทั้งสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดียในเมืองปูเน (อินเดีย) และโรงงานในเมืองไลเดิน (เนเธอร์แลนด์) อันเป็นโรงงาน 1 ใน 3 แห่งที่ได้รับอนุมัติในสหภาพยุโรป

ประวัติ

วัคซีนสร้างขึ้นอาศัยการร่วมมือกันระหว่างสถาบันเจนเนอร์ (Jenner Institute) แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและแวกซี่เทค (Vaccitech) ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่มีรากฐานจากมหาวิทยาลัย โดยได้ทุนจากบริษัทร่วมลงทุน Oxford Sciences Innovation, Google Ventures และ Sequoia Capital เป็นต้น วัคซีนชุดแรก ๆ ที่ผลิตเพื่อทดลองทางคลินิกได้พัฒนาขึ้นโดยสถาบันเจนเนอร์และกลุ่มวัคซีนที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (Oxford Vaccine Group) โดยร่วมมือกับบริษัทอิตาลี Advent Srl ในกรุงโรม ผู้นำทีมเด่น ๆ รวมทั้ง Sarah Gilbert, Adrian Hill, Andrew Pollard, Teresa Lambe, Sandy Douglas และ Catherine Green

การพัฒนาระยะต้น 

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 สถาบันเจนเนอร์ได้ตกลงร่วมมือกับบริษัทอิตาลี Advent Srl เพื่อผลิตวัคซีนแคนดิเดต 1,000 โดสแรกให้ใช้ในการทดลองทางคลินิก

ในเดือนมีนาคม 2020 หลังจากที่มูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์ได้กระตุ้นให้มหาวิทยาลัยหาผู้ร่วมงานเป็นบริษัทขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาและนำวัคซีนเข้าตลาด มหาวิทยาลัยจึงกลับคำมั่นที่ให้ไว้ก่อนว่าจะบริจาคสิทธิวัคซีนให้แก่ผู้ผลิตยาใดก็ได้ ต่อจากนั้น รัฐบาลสหราชอาณาจักรก็สนับสนุนให้มหาวิทยาลัยทำงานร่วมกับแอสตร้าเซนเนก้าแทนที่จะทำกับบริษัทเมอร์ค เพราะรัฐมนตรีอังกฤษเป็นห่วงว่าวัคซีนที่ผลิตในสหรัฐอาจไม่ส่งให้สหราชอาณาจักร อนึ่ง อาจมีประเด็นเรื่องผลประโยชน์ด้วยที่ทำให้มหาวิทยาลัยเข้าร่วมมือกับแอสตร้าเซนเนก้า

มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดได้ตกลงเรื่องสิทธิเบื้องต้นกับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าในเดือนพฤษภาคม 2020 เพื่อให้ผลิตวัคซีน 1 พันล้านโดสโดยไม่มีผลกำไรและสหราชอาณาจักรจะได้รับวัคซีนก่อน 100 ล้านโดส อนึ่ง สหรัฐก็ได้จองวัคซีน 300 ล้านโดสด้วยโดยบวกกับการได้สิทธิเพื่อทำการทดลองระยะที่ 3 ในสหรัฐ รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ให้ทุน 68 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (ประมาณ 2,695 ล้านบาท) และรัฐบาลสหรัฐ 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 37,236 ล้านบาท) เพื่อใช้พัฒนาวัคซีน ในเดือนมิถุนายน 2020 สถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐ (US National Institute of Allergy and Infectious Diseases, NIAID) ได้ยืนยันว่า การทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 สำหรับวัคซีนจะเริ่มในเดือนกรกฎาคม 2020

วันที่ 4 มิถุนายน แอสตร้าเซนเนก้าประกาศว่าโปรแกรมโคแวกซ์ที่องค์การอนามัยโลกบริหารโดยได้รับเงินทุนจากเซพี (CEPI) และกาวีได้ลงทุน 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 23,273 ล้านบาท) เพื่อจองวัคซีน 300 ล้านโดสไปแจกจำหน่ายให้แก่ประเทศรายได้น้อย

การทดลองทางคลินิก

ในเดือนกรกฎาคม 2020 บริษัทได้ร่วมกับบริษัท IQVIA ซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติผู้ทำกิจการในการทดลองทางคลินิก เพื่อเร่งการทดลองในสหรัฐ ในวันที่ 31 สิงหาคม 2020 บริษัทประกาศว่า ได้เริ่มรับอาสาสมัคร 30,000 คนในการทดลองระยะที่ 3 ซึ่งรัฐบาลสหรัฐเป็นผู้ให้ทุน

ในวันที่ 8 กันยายน 2020 บริษัทได้หยุดการทดลองทั่วโลกเพื่อตรวจสอบผลไม่พึงประสงค์ที่เกิดกับอาสาสมัครในสหราชอาณาจักร ต่อมาวันที่ 13 กันยายน จึงได้ดำเนินการต่อในสหราชอาณาจักรหลังจากเจ้าหน้าที่ควบคุมของรัฐสรุปว่า ปลอดภัย หลังจากนั้น ผู้เชี่ยวชาญได้วิจารณ์ความปลอดภัยของวัคซีนโดยให้ข้อสังเกตว่า บริษัทไม่ยอมให้รายละเอียดเกี่ยวกับปัญหาทางประสาทที่รุนแรงของอาสาสมัครสองคนที่ได้วัคซีนในบริเตน แม้การทดลองจะดำเนินต่อไปในสหราชอาณาจักร บราซิล แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น และอินเดีย แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการต่อในสหรัฐจนถึงวันที่ 23 ตุลาคม เพราะกำลังตรวจปัญหากับอาสาสมัครคนหนึ่ง

ผลการทดลองระยะที่ 3

ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2020 มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าได้ประกาศผลในระหว่างการทดลองระยะที่ 3 (interim) โดยวิธีที่ใช้คำนวณประสิทธิศักย์ของวัคซีนก็ถูกวิจารณ์ เพราะรวมค่าอัตราร้อยละ 62 กับร้อยละ 90 จากกลุ่มทดลองต่าง ๆ ที่ได้ยาในขนาดต่าง ๆ จนได้ผลลัพธ์เป็นอัตราร้อยละ 70 บริษัทจึงกล่าวว่า จะทำการทดลองในประเทศต่าง ๆ โดยใช้ขนาดยาที่ต่ำกว่าซึ่งให้ผลร้อยละ 90

การตีพิมพ์ผลการวิเคราะห์ในระหว่างอย่างสมบูรณ์ในวันที่ 8 ธันวาคม 2020 จากการทดลองที่กำลังทำอยู่ 4 แห่ง ซึ่งเป็นการทดลองแบบอำพราง แบบสุ่ม และมีกลุ่มควบคุม แสดงผลของวัคซีนอย่างชัดเจนขึ้น ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนโดสแรกเกิน 21 วันแล้ว ไม่มีการเข้า รพ. หรือเกิดโรคที่รุนแรง ไม่เหมือนกับกลุ่มควบคุมที่เกิดกรณีถึง 10 ราย เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์และรุนแรงเกิดขึ้นประมาณเท่า ๆ กันระหว่างกลุ่มที่ได้วัคซีนกับกลุ่มควบคุม คือไม่จัดว่าวัคซีนก่ออาการต่าง ๆ เกินอัตราที่มีอยู่โดยธรรมชาติ มีรายงานว่าเกิด transverse myelitis (TM) กับอาสาสมัครคนหนึ่งหลังจากได้วัคซีนโดสที่สองโดยอาจเกี่ยวกับวัคซีน และคณะประสาทแพทย์อิสระก็ได้วินิจฉัยว่า น่าจะเกิดความเสียหายที่ปลอกไมอีลินของเซลล์ประสาทในไขสันหลัง (spinal cord demyelination) ช่วงสั้น ๆ ที่ไม่รู้สาเหตุ มีกรณี TM อีกสองกรณี กรณีหนึ่งในกลุ่มที่ได้วัคซีน อีกกรณีหนึ่งในกลุ่มควบคุม คณะประสาทแพทย์พิจารณาทั้งสองกรณีนี้ว่าไม่เกี่ยวกับการได้วัคซีน

งานวิเคราะห์ต่อมาที่ตีพิมพ์วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2021 แสดงประสิทธิศักย์ของวัคซีนที่ร้อยละ 76 ในการป้องกันการติดเชื้อที่แสดงอาการเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 วันหลังจากฉีดโดสแรกและร้อยละ 81.3 หลังจากฉีดโดสที่สองถ้าฉีดโดสที่สอง 12 สัปดาห์หรือยิ่งกว่าหลังจากโดสแรก แต่ผลไม่ได้แสดงว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการหลังจากฉีดแค่โดสเดียว เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 หลังจากฉีดวัคซีนโดสที่สองตามกำหนดโดยมีระยะเวลาห่างจากโดสแรกต่าง ๆ กัน ผลแสดงว่าวัคซีนมีประสิทธิศักย์ร้อยละ 66.7 ในการป้องกันการติดเชื้อแบบแสดงอาการ แต่การป้องกันการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการก็ไม่ปรากฏผลที่ชัดเจน ประสิทธิศักย์ดีกว่าถ้าระยะเวลาระหว่างโดสมากกว่า โดยสูงสุดราว ร้อยละ 80 เมื่อให้โดสที่สอง 12 สัปดาห์หรือยิ่งกว่าหลังจากโดสแรก

ในวันที่ 22 มีนาคม 2021 บริษัทประกาศผลในระหว่างของการทดลองระยะที่ 3 ซึ่งทำในสหรัฐและระบุว่า วัคซีนมีประสิทธิศักย์ป้องกันการติดเชื้อแบบแสดงอาการที่ร้อยละ 79 และการติดเชื้อแบบมีอาการรุนแรงและแบบที่ต้องเข้า รพ. เต็มร้อย แต่ในวันต่อมา สถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐ (NIAID) ก็ประกาศคัดค้านว่า ผลนั้นอาจอาศัย "ข้อมูลเก่า" ซึ่งอาจทำให้เข้าใจข้อมูลประสิทธิศักย์ได้อย่างไม่สมบูรณ์ บริษัทภายหลังจึงแก้ค่าประสิทธิศักย์ของวัคซีนเหลือร้อยละ 76 หลังจากทบทวนข้อมูลอย่างละเอียดยิ่งขึ้น

ในวันที่ 28 มิถุนายน สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานผลเบื้องต้นของงานศึกษากับอาสาสมัครอายุน้อยกว่า 55 ปีจำนวน 120 รายที่แสดงว่า การเลื่อนฉีดวัคซีนโดสที่สองไปจนถึง 45 สัปดาห์ทำให้ภูมิต้านทานตอบสนองได้ดีกว่า และการฉีดวัคซีนบูสต์เป็นโดสที่ 3 หลังจากฉีดวัคซีนครบเป็นเวลา 6 เดือนก็ทำให้ภูมิคุ้มกันตอบสนองได้ดีเช่นกัน แม้ยังไม่ชัดเจนว่าจำเป็นต้องฉีดวัคซีนบูสต์ แต่ผลงานศึกษาช่วยแก้ความกังวลว่า ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสที่ใช้เป็นเวกเตอร์ของวัคซีน ซึ่งก็จะลดฤทธิ์ของวัคซีนที่อาจต้องฉีดทุก ๆ ปี

ประสิทธิภาพของวัคซีนโดสเดียว

ประเทศสกอตแลนด์ทำงานศึกษาหนึ่งเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนไฟเซอร์-ไบออนเทคหรือของออกซฟอร์ด-แอสตร้าเซนเนก้าโดสแรก สัมพันธ์กับการเข้ารักษาในโรงพยาบาลโดยเป็นงานศึกษาตามรุ่นตามแผน (prospective cohort study) กับคนในประเทศ 5.4 ล้านคน ในระหว่างวันที่ 8 ธค. 2020 ถึง 15 กพ. 2021 มีผู้ได้รับวัคซีนในงานศึกษานี้ 1,137,775 คนโดย 490,000 คนได้วัคซีนของออกซฟอร์ด-แอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งลดการเข้ารักษาเนื่องกับโควิดใน รพ. ได้ร้อยละ 94 หลังจากได้วัคซีนโดสเดียวที่ 28-34 วัน เมื่อรวมวัคซีนเข้าทั้งสองอย่าง วัคซีนโดสแรกลดการเข้ารักษาใน รพ. เนื่องกับโควิดได้อย่างสำคัญ ซึ่งก็ยังเป็นจริงเมื่อจำกัดการวิเคราะห์กับคนที่มีอายุ ≥80 ปีด้วย (ลดได้ร้อยละ 81) โดยคนที่มีอายุเกิน 65 ปีโดยมากได้รับวัคซีนของออกซฟอร์ด-แอสตร้าเซนเนก้า

วัคซีนฉีดทางจมูก

ในวันที่ 25 มีนาคม 2021 มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดได้เริ่มการทดลองทางคลินิกระยะที่ 1 เพื่อตรวจประสิทธิศักย์ของวัคซีนที่ฉีดเข้าทางจมูก

การขึ้นทะเบียน

การอนุมัติและสิทธิการได้ความช่วยเหลือจากโคแวกซ์
ดูรายการประเทศ (ภาษาอังกฤษ)
  อนุมัติเต็มตัว
  อนุมัติเป็นการฉุกเฉิน
  ประเทศที่มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือจากโคแวกซ์
  เลิกใช้
ประเทศกานาฉีดวัคซีนที่โปรแกรมโคแวกซ์ส่งให้

ประเทศแรกที่ให้อนุมัติเป็นการชั่วคราวหรือเป็นการฉุกเฉินสำหรับวัคซีนนี้ก็คือ สหราชอาณาจักร คือองค์กรควบคุมเวชภัณฑ์ (MHRA) ของประเทศเริ่มทบทวนข้อมูลประสิทธิศักย์และความปลอดภัยของวัคซีนตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2020 แล้วอนุมัติให้ใช้ในวันที่ 30 ธันวาคม 2020 เป็นวัคซีนที่สองที่ได้อนุมัติให้ใช้ฉีดแก่ประชาชนทั่วไปในประเทศ สำนักข่าวบีบีซีรายงานในวันที่ 4 มกราคม 2021 ว่า ชายอายุ 82 ปีเป็นบุคคลแรกที่ได้รับวัคซีนนี้นอกงานวิจัยทางคลินิก

ในวันที่ 12 มกราคม 2021 สำนักงานการแพทย์ยุโรป (EMA) ได้เริ่มทบทวนข้อมูลวัคซีนโดยระบุในแถลงการณ์ข่าวว่า องค์กรจะออกคำแนะนำในวันที่ 29 มกราคม โดยคณะกรรมาธิการยุโรปก็อาจจะให้อนุมัติวางตลาดขายอย่างมีเงื่อนไขภายในไม่กี่วันต่อมา ในวันที่ 29 มกราคม สำนักงานการแพทย์ยุโรปจึงแนะนำให้อนุมัติวัคซีนสำหรับบุคคลอายุ 18 ปีหรือยิ่งกว่า ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรปก็ให้อนุมัติในวันเดียวกัน แต่ก่อนหน้านี้ สมาชิกสหภาพยุโรปประเทศหนึ่งคือฮังการีได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนก่อนโดยทำเองต่างหาก

ประเทศที่องค์การอนามัยโลกจัดว่ามีกฎเคร่งครัดในการอนุมัติเวชภัณฑ์ (stringent regulatory authorities) มีการอนุมัติวัคซีนนี้ดังนี้

อนุมัติและใช้วัคซีน
  • ออสเตรเลีย
  • ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปต่าง ๆ รวมทั้งออสเตรีย เบลเยียม บัลแกเรีย ไซปรัส เช็กเกีย เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ฮังการี ไอร์แลนด์ อิตาลี ลัตเวีย ลิกเตนสไตน์ ลิทัวเนีย ลักเซมเบิร์ก มอลตา เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ โปรตุเกส โรมาเนีย สโลวีเนีย สเปน สวีเดน (ยกเว้นเดนมาร์ก ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ สโลวาเกีย)
  • แคนาดา
  • สหราชอาณาจักร
อนุมัติแต่ได้ระงับการใช้วัคซีนอย่างไม่มีกำหนด
  • เดนมาร์ก
  • ไอซ์แลนด์
  • นอร์เวย์
  • สโลวาเกีย
  • ญี่ปุ่น
ยังไม่ได้อนุมัติ
  • สหรัฐอเมริกา

การระงับใช้วัคซีน

แอฟริกาใต้

ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2021 โปรแกรมการฉีดวัคซีนนี้ให้แก่ประชาชนได้หยุดชั่วคราวในแอฟริกาใต้ เพราะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยของรัฐ (University of Witwatersrand) ในกรุงโจฮันเนสเบิร์กได้ตีพิมพ์ผลวิเคราะห์ในระหว่างที่ยังไม่ได้ทบทวนโดยผู้รู้เสมอกันว่า วัคซีนมีผลป้องกันเพียงเล็กน้อยแม้ต่อโรคที่มีอาการน้อยหรือปานกลางในคนอายุน้อย วันต่อมา สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ผู้อำนวยการหน่วยภูมิคุ้มกันที่องค์การอนามัยโลกระบุว่า เธอรู้สึกว่า "เป็นไปได้จริง ๆ" ที่วัคซีนนี้มี "ผลสำคัญ" ต่อเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้โดยเฉพาะการป้องกันโรคที่รุนแรงและการตาย ข่าวเดียวกันระบุว่า ผู้ช่วยแพทย์ผู้ปรึกษาทางการแพทย์สูงสุด (Deputy Chief Medical Officer for England) ของสหราชอาณาจักรกล่าวว่า งานศึกษานี้ไม่ได้เปลี่ยนความเห็นของเขาว่า วัคซีนนี้ "น่าจะ" มีผลต่อโรคอาการรุนแรงเหตุไวรัสสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ต่อมารัฐบาลแอฟริกาใต้จึงได้ระงับการใช้วัคซีนนี้โดยสิ้นเชิง

ยุโรป

ในวันที่ 3 มีนาคม 2021 ออสเตรียหยุดการใช้วัคซีนล็อตหนึ่งชั่วคราวหลังมีคน 2 คนที่เกิดลิ่มเลือดหลังฉีดวัคซีนโดยคนหนึ่งเสียชีวิต รวม ๆ กันแล้ว มีกรณีเกิดลิ่มเลือด 4 กรณีในการฉีดวัคซีนชุดเดียวกัน 1 ล้านโดส แม้จะไม่พบความสัมพันธ์โดยเป็นเหตุและผล ประเทศอื่น ๆ รวมทั้งเดนมาร์ก นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ บัลแกเรีย ไอร์แลนด์ อิตาลี สเปน เยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสโลวีเนีย ก็ได้หยุดใช้วัคซีนชั่วคราวเพื่อให้สำนักงานการแพทย์ยุโรป (EMA) ทบทวนข้อมูลความปลอดภัยในกรณีเหล่านี้

ในเดือนเมษายน 2021 สำนักงานการแพทย์ยุโรปได้ทบทวนความปลอดภัยเสร็จสิ้นโดยสรุปว่า การมีลิ่มเลือดบวกกับเกล็ดเลือดน้อยควรระบุว่าเป็นผลข้างเคียงที่มีน้อยมาก (very rare) โดยยังยืนยันประโยชน์ในภาพรวมของวัคซีน หลังจากแถลงการณ์นี้ ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปจึงได้ฉีดวัคซีนต่อไปโดยบางส่วนได้จำกัดการใช้กับเฉพาะคนชราที่เสี่ยงป่วยหนักจากโควิด-19

ในวันที่ 11 มีนาคม 2021 รัฐบาลนอร์เวย์ได้ระงับการใช้วัคซีนนี้อย่างชั่วคราวเพื่อรอให้ได้ข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับผลไม่พึงประสงค์ของวัคซีน ต่อมาวันที่ 15 เมษายน สถาบันสาธารณสุขแห่งชาตินอร์เวย์แนะนำให้รัฐบาลระงับใช้วัคซีนนี้อย่างถาวรเพราะ "เหตุการณ์ที่มีน้อยแต่รุนแรงคือการมีเกล็ดเลือดต่ำ การเกิดลิ่มเลือด และการตกเลือด" เพราะสำหรับประเทศนอร์เวย์ "ความเสี่ยงตายหลังจากฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้านั้นสูงกว่าความเสี่ยงตายจากโรค โดยเฉพาะในคนผู้มีอายุน้อยกว่า" รัฐบาลจึงประกาศว่าจะรอตัดสินใจแล้วตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญให้ทำการประเมินรวม ๆ ในเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าและวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (ซึ่งเป็นวัคซีนที่ใช้อะดีโนไวรัสเป็นเวกเตอร์เช่นกัน) ในวันที่ 10 พฤษภาคม คณะผู้เชี่ยวชาญก็แนะนำให้หยุดใช้วัคซีนทั้งสองชนิด ในที่สุดวันที่ 12 มีนาคมหลังจากได้หยุดใช้เป็นเวลาสองเดือน นายกรัฐมนตรีของนอร์เวย์ก็ประกาศว่า จะเลิกใช้วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าเพื่อฉีดให้ประชาชน โดยผู้ที่ได้วัคซีนนี้เข็มแรกไปแล้ว ก็จะได้รับวัคซีนโควิด-19 อื่นเป็นเข็มที่สอง

ในวันที่ 30 มีนาคม 2021 กระทรวงสาธารณสุขเยอรมนีประกาศว่า สำหรับบุคคลอายุตั้งแต่ 60 ปีลงมา ควรคุยกับผู้รับวัคซีนก่อนจะฉีดวัคซีนนี้ให้ โดยผู้อายุน้อยกว่าก็ยังสามารถฉีดวัคซีน แต่ต้องเป็นไปตามการตัดสินใจของแพทย์ และให้ทำหลังจากตรวจสอบความเสี่ยงแล้วอธิบายให้ผู้รับวัคซีนฟังอย่างละเอียด

ในวันที่ 14 เมษายน เดนมาร์กหยุดการใช้วัคซีนอย่างไม่มีกำหนด โดยระบุว่า ประเทศมีวัคซีนอื่น ๆ ให้ใช้และการระบาดของโรคตอนนี้ก็ยังควบคุมได้ อนึ่ง กลุ่มประชากรที่จะฉีดวัคซีนต่อไปของเดนมาร์กยังเสี่ยงน้อยกว่าที่จะติดเชื้อโควิด-19 แบบรุนแรง โดยที่ประโยชน์ของวัคซีนนี้ต้องชั่งเทียบกับความเสี่ยงเกิดผลไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงจากวัคซีน แม้ความเสี่ยงที่ว่าโดยสัมบูรณ์จะเล็กน้อย

แคนาดา

วันที่ 29 มีนาคม 2021 คณะกรรมการที่ปรึกษาเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันแห่งชาติแคนาดา (National Advisory Committee on Immunization, NACI) แนะนำว่า ให้หยุดให้วัคซีนแก่บุคคลผู้มีอายุต่ำกว่า 55 ปี โดยประธานคณะกรรมการระบุว่า ความเสี่ยงเกิดลิ่มเลือดสูงกว่าในคนอายุน้อยกว่า และคณะกรรมการจะปรับคำแนะนำเมื่อได้ข้อมูลใหม่ ๆ รัฐต่าง ๆ ในแคนาดาโดยมากต่อมาจึงประกาศว่าจะทำตามข้อแนะนำนี้ จนถึงวันที่ 20 เมษายน 2021 แคนาดามีกรณีเกิดลิ่มเลือดที่เชื่อมกับวัคซีน 3 กรณีจากการฉีดวัคซีน 7 แสนโดส

เริ่มตั้งแต่วันที่ 18 เมษายนภายใต้สถานการณ์คลื่นระบาดลูกที่ 3 รัฐต่าง ๆ รวมทั้งแอลเบอร์ตา บริติชโคลัมเบีย ออนแทรีโอ และซัสแคตเชวันได้ปรับขยายให้ใช้วัคซีนกับคนอายุ 40 ปีและยิ่งกว่า โดยรัฐควิเบกได้ขยายใช้กับคนอายุ 45 ปีและยิ่งกว่า ข้อแนะนำของคณะกรรมการ NACI ไม่มีผลต่อการอนุมัติของกระทรวงสาธารณสุขที่อนุญาตให้ใช้วัคซีนกับบุคคลอายุเกิน 18 ปี โดยกระทรวงระบุในวันที่ 14 ว่า ได้อัปเดตคำเตือนสำหรับวัคซีนโดยเป็นส่วนของการทบทวนข้อมูลที่ทำอย่างต่อเนื่อง และว่า "โอกาสเสี่ยงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้น้อยมาก (very rare) และประโยชน์ของวัคซีนในการป้องกันโควิด-19 มีมากกว่าโอกาสเสี่ยง"

ในวันที่ 23 เมษายน เพราะการขาดแคลนวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอบวกกับข้อมูลใหม่ คณะกรรมการจึงแนะนำให้ใช้วัคซีนแก่บุคคลอายุต่ำถึง 30 ปีถ้าเห็นประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงและเมื่อผู้รับวัคซีน "ไม่ประสงค์จะรอวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ"

ในวันที่ 11 พฤษภาคม จังหวัดต่าง ๆ ประกาศว่าจะหยุดใช้วัคซีนนี้อีกไม่ว่าจะเป็นเพราะขาดแคลนหรือเพราะเกิดลิ่มเลือด โดยบางจังหวัดระบุว่า มีแผนจะใช้วัคซีนนี้เป็นโดสที่สอง และคณะกรรมการ NACI ก็กำลังตรวจสอบประสิทธิศักย์ของการใช้วัคซีนต่างยี่ห้อกันระหว่างโดสแรกกับโดสสอง

อินโดนีเซีย

ในกลางเดือนมีนาคม อินโดนีเซียหยุดการฉีดวัคซีนเพื่อรอคำแนะนำเกี่ยวกับความปลอดภัยจากองค์การอนามัยโลก แล้วต่อมาจึงฉีดวัคซีนต่อในวันที่ 19 มีนาคม

ออสเตรเลีย

ในวันที่ 8 เมษายน 2021 ออสเตรเลียอัปเดตคำแนะนำการใช้วัคซีนกับบุคคลอายุต่ำกว่า 50 ปี โดยระบุว่าควรใช้วัคซีนของไฟเซอร์แทนสำหรับคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนนี้เลย แต่ก็ยังฉีดวัคซีนให้แก่บุคคลอายุต่ำกว่า 50 ปีได้เมื่อประโยชน์มีมากกว่าความเสี่ยง และเมื่อแพทย์พยาบาลให้คำปรึกษาและรายละเอียดแก่ผู้รับวัคซีนเพื่อการตัดสินใจแล้ว

มาเลเซีย

ภายหลังที่มาเลเซียได้อนุมัติให้ใช้วัคซีนนี้ กระทรวงสาธารณสุขต่อมาก็ตัดสินใจไม่ใช้วัคซีนนี้ในโปรแกรมฉีดวัคซีนให้ประชาชนโดยอัตโนมัติเพราะประชาชนไม่ไว้วางใจ ดังนั้น ในปลายเดือนเมษายน 2021 วัคซีน 268,600 โดสแรกที่ได้จะส่งไปใช้ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนพิเศษ ณ รัฐเซอลาโงร์และกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเกิดกรณีโรคเพิ่มขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้โดยประชาชนจะต้องอาสาสมัครรับวัคซีนเอง ซึ่งภายในสามชั่วโมงครึ่งที่เปิดให้ลงทะเบียนฉีดวัคซีน ประชาชนก็จองฉีดวัคซีนนี้จนหมดสิ้น

ในปลายเดือนพฤษภาคม 2021 ล็อตที่สองจำนวน 1,261,000 โดสที่ได้มาก็จัดสรรให้แก่ประชาชนในรัฐเซอลาโงร์ ปีนัง ยะโฮร์ ซาราวัก และกรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยสำรอง 29,183 โดสไว้เพื่อคนที่ลงชื่อจองไว้ในคราวก่อน และอีก 275,208 โดสเพื่อคนชรา ที่เหลืออีก 956,609 โดสซึ่งหมายให้คนอายุ 18 ปีและยิ่งกว่า ก็ได้รับการจองจนหมดสิ้นภายใน ชม. เดียว

การทบทวนความปลอดภัย

ในวันที่ 11 มีนาคม 2021 สำนักงานการแพทย์ยุโรป (EMA) แจ้งว่า ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าวัคซีนเป็นเหตุให้เกิดลิ่มเลือด ซึ่งยังไม่ได้ระบุว่าเป็นผลข้างเคียงของวัคซีน ตามสำนักงาน การเกิดลิ่มเลือดในคนฉีดวัคซีนไม่ได้สูงกว่าที่พบในกลุ่มประชากรทั่วไป จนถึง 11 มีนาคม มีกรณีเกิดลิ่มเลือดเพียง 30 กรณีในบรรดาคน 5 ล้านคนที่ฉีดวัคซีนนี้ในเขตเศรษฐกิจยุโรป

ในวันที่ 12 มีนาคม องค์การอนามัยโลกระบุว่า ยังไม่พบความสัมพันธ์แบบเป็นเหตุผล ดังนั้น จึงควรให้วัคซีนต่อไป ในวันที่ 14 มีนาคม บริษัทแอสตร้าเซนเนก้ายืนยันว่า หลังจากตรวจข้อมูลคน 17 ล้านคนที่ได้วัคซีน ไม่มีหลักฐานว่าเสี่ยงเกิดลิ่มเลือดมากขึ้นในประเทศทั้งหมด บริษัทรายงานว่า จนถึงวันที่ 8 มีนาคม 2021 สหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรตลอดทั้งหมดมีเหตุการณ์หลอดเลือดดำเกิดลิ่มเลือด (deep vein thrombosis) 15 ครั้งและภาวะสิ่งหลุดอุดหลอดเลือดในปอด (pulmonary embolism) 22 ครั้งในบรรดาผู้ที่ได้วัคซีน ซึ่งจริง ๆ น้อยกว่าที่ปกติเกิดโดยธรรมชาติในกลุ่มประชากรนั้น ๆ ในวันที่ 15 มีนาคม องค์กรควบคุมเวชภัณฑ์ (MHRA) ของสหราชอาณาจักรระบุว่า หลังจากที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว 11 ล้านโดส ยังไม่สามารถยืนยันกรณีที่เกิดลิ่มเลือดว่ามีเหตุจากวัคซีน ดังนั้น องค์กรจึงไม่หยุดการให้วัคซีน

แต่ในวันที่ 15 มีนาคม สถาบันเพาล์แอร์ลิช (Paul Ehrlich Institute, PEI) รายงานว่า จากการฉีดวัคซีน 1.6 ล้านโดส พบการเกิดลิ่มเลือดในเส้นเลือดดำในสมอง (cerebral vein thrombosis) พร้อมกับการมีเกล็ดเลือดต่ำ 7 กรณี ตามสถาบัน การเกิดภาวะเช่นนี้หลังฉีดวัคซีนสูงกว่าอย่างสำคัญทางสถิติเทียบกับที่เกิดโดยธรรมชาติในกลุ่มประชากรทั่วไปในระยะเวลาเท่ากัน ซึ่งทำให้สถาบันแนะนำการหยุดใช้วัคซีนชั่วคราวจนกระทั่งสำนักงานการแพทย์ยุโรปตรวจสอบกรณีเหล่านี้ให้เรียบร้อย

ในวันที่ 17 มีนาคม องค์การอนามัยโลกระบุว่า วัคซีนนี้ยังมีประโยชน์ยิ่งกว่าโอกาสเสี่ยง จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนต่อไป ในวันที่ 18 มีนาคม สำนักงานการแพทย์ยุโรปประกาศว่า จากคน 20 ล้านคนที่ได้วัคซีน อัตราการเกิดลิ่มเลือดทั่วไปอยู่ในระดับปกติ แต่ก็พบกรณี disseminated intravascular coagulation (การเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย) 7 กรณี และ cerebral venous sinus thrombosis (การเกิดลิ่มเลือดในโพรงหลอดเลือดดำในสมอง) 18 กรณี แม้ยังจะไม่ได้พิสูจน์ว่าวัคซีนเป็นเหตุ สำนักงานการแพทย์ยุโรปก็ระบุว่า จะทำการวิเคราะห์ต่อไปและแนะนำให้บอกคนที่มีสิทธิฉีดวัคซีนว่า ยังไม่ได้พิสูจน์อย่างชัดเจนว่า วัคซีนไม่เป็นเหตุให้เกิดลิ่มเลือดซึ่งเกิดน้อย โดยสำนักงานก็ยังยืนยันว่า ประโยชน์มีมากกว่าความเสี่ยง ต่อมาในวันที่ 25 มีนาคม สำนักงานก็อัปเดตข้อมูลผลิตภัณฑ์ของวัคซีน

ตามสำนักงาน มีกรณีเกิดลิ่มเลือดแสนรายที่เกิดโดยธรรมชาติทุก ๆ เดือนในสหภาพยุโรป ดังนั้น ความเสี่ยงเกิดลิ่มเลือดจึงไม่สูงกว่าในกลุ่มที่ได้วัคซีน สำนักงานยังให้ข้อสังเกตด้วยว่า โรคโควิด-19 เองก็เป็นเหตุให้เสี่ยงเกิดลิ่มเลือดสูงขึ้น ดังนั้น วัคซีนก็จะลดความเสี่ยงเกิดลิ่มเลือดแม้ถ้า 15 กรณีตามที่ว่าจะได้ยืนยันว่าเกิดจากวัคซีน อิตาลีจึงฉีดวัคซีนต่อไปหลังแถลงการณ์นี้ และประเทศยุโรปโดยมากก็ทำตามต่อจากนั้นไม่นาน เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าวัคซีนปลอดภัย นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร (บอริส จอห์นสัน) และฝรั่งเศส (ฌ็อง กัสแต็กซ์) ได้ฉีดวัคซีนต่อหน้าสื่อหลังจากเริ่มฉีดวัคซีนนี้ต่อไปในสหภาพยุโรป

ในวันที่ 13 เมษายน 2021 สำนักงานส่งสารไปยังแพทย์พยาบาล (direct healthcare professional communication, DHPC) เกี่ยวกับวัคซีนว่า ความสัมพันธ์อย่างเป็นเหตุและผลระหว่างวัคซีนกับภาวะหลอดเลือดมีลิ่มเลือดบวกกับการมีเกล็ดเลือดน้อยยังอาจเป็นไปได้ ว่าเกล็ดเลือดน้อยเป็นผลไม่พึงประสงค์ของวัคซีนที่สามัญ (common) แต่ภาวะหลอดเลือดมีลิ่มเลือดบวกกับการมีเกล็ดเลือดน้อยก็เกิดน้อยมาก (very rare) ตามสำนักงานการแพทย์ยุโรป นี่เป็นเหตกุารณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดน้อยมากราว ๆ 1 รายต่อคนที่ฉีดวัคซีน 100,000 คน

เหตุการณ์ต่อ ๆ มา

ประสิทธิศักย์ต่อต้านสายพันธุ์ใหม่

งานศึกษาในสหราชอาณาจักร (COVID-19 Genomics United Kingdom Consortium, AMPHEUS Project และ Oxford COVID-19 Vaccine Trial Group) ในเดือนเมษายน 2021 ระบุว่า วัคซีนมีประสิทธิศักย์ต่อต้านโควิด-19 สายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) ได้ลดลง (ประสิทธิศักย์ที่ร้อยละ 70.4 สำหรับสายพันธุ์ B.1.1.7 เทียบกับที่ร้อยละ 81.5 สำหรับสายพันธุ์อื่น ๆ) แต่ก็ยังมีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อแบบแสดงอาการ โดยบุคคลที่ได้วัคซีนก็จะมีอาการระยะสั้นกว่าและสร้างไวรัสน้อยกว่า ดังนั้น ก็จะลดการแพร่เชื้อ

งานศึกษาในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 พบว่า การกลายพันธุ์แบบ E484K ที่พบในสายพันธุ์เบตา (แอฟริกาใต้) และสายพันธุ์แกมมา (บราซิล) อาจทำให้วัคซีนไม่สามารถป้องกันโรคได้ ในเดือนกุมภาพันธ์ บริษัทจึงเริ่มทำการเพื่อปรับวัคซีนโดยเล็งเป้าที่สายพันธุ์เหล่านี้ และคาดว่า วัคซีนที่ปรับใช้จะได้ภายใน 2-3 เดือนโดยใช้ฉีดเสริมสำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนดั้งเดิม 2 โดสแรกไปแล้ว

การฉีดวัคซีนสองเข็มไม่เหมือนกัน

ในเดือนธันวาคม 2021 มีการลงทะเบียนการทดลองทางคลินิกเพื่อทดสอบการฉีดวัคซีนเข็มที่หนึ่งและสองแบบผสม คือฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ เป็นเข็มที่หนึ่ง และฉีดวัคซีนสปุตนิกวี (Ad26, รัสเซีย) เป็นเข็มที่สองอีก 29 วันต่อมา

หลังจากระงับการฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ เนื่องกับการเกิดลิ่มเลือดที่มีน้อยในเดือนมีนาคม 2021 แคนาดาและประเทศต่าง ๆ ในยุโรปได้แนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มที่สองต่างชนิดกัน แม้จะไม่มีข้อมูลการทดลองทางคลินิกในเรื่องประสิทธิศักย์และความปลอดภัยของการฉีดวัคซีนผสม ผู้ชำนาญการบางพวกก็เชื่อว่า อาจเพิ่มภูมิคุ้มกัน โดยเริ่มมีงานศึกษาที่กำลังตรวจสอบผลเช่นนี้

ในเดือนมิถุนายน 2021 มีผลเบื้องต้นจากงานศึกษากับอาสาสมัคร 463 คนที่แสดงว่า การฉีดวัคซีนผสมโดยฉีดโดสแรกเป็นวัคซีนของแอสตร้าฯ แล้วตามด้วยวัคซีนของไฟเซอร์ ก่อการตอบสนองของเซลล์ทีและก่อระดับแอนติบอดีในระดับที่เกือบสูงเท่ากับวัคซีนของไฟเซอร์สองโดส ส่วนการกลับลำดับการฉีดก็จะก่อการตอบสนองของเซลล์ทีลดลงครึ่งหนึ่ง และก่อระดับแอนติบอดีเพียงแค่ 1/7 ถึงกระนั้น ระดับแอนติบอดีที่ว่าก็ยังสูงกว่าการได้วัคซีนแอสตร้าฯ สองเข็มเป็น 5 เท่า การตอบสนองของเซลล์ทีพบว่าต่ำสุดเมื่อฉีดวัคซีนทั้งสองโดสชนิดเดียวกัน

สังคมและวัฒนธรรม

การร่วมมือกันระหว่างมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดกับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าเบื้องต้นหวังว่า มีโอกาสสร้างวัคซีนราคาถูกที่ไม่ต้องแช่แข็งในตู้พิเศษ แต่ปัญหาต่าง ๆ ที่บริษัทมีรวมทั้งการสื่อสารไม่ดี การส่งวัคซีนไม่ได้ตามกำหนด รายงานการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ การระงับใช้วัคซีนในประเทศต่าง ๆ และปัญหาทางการเมืองรวมทั้งข้อโต้แย้งของบริษัทกับคณะกรรมาธิการยุโรป จัดเป็นความเสียหายทางประชาสัมพันธ์ ซึ่งนักวิชาการเชื่อว่า ทำให้ประชาชนลังเลไม่ฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น

ถึงกระนั้น วัคซีนก็ยังเป็นองค์ประกอบหลักของโปรแกรมโคแวกซ์ซึ่งองค์การอนามัยโลกสนับสนุน โดยองค์การทางสาธารณสุขต่าง ๆ รวมทั้งองค์การอนามัยโลกเอง สำนักงานการแพทย์ยุโรป และองค์กรควบคุมเวชภัณฑ์ (MHRA) ของสหราชอาณาจักร ก็ยังคงยืนหยัดว่า วัคซีนมีประโยชน์ยิ่งกว่าผลไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้น

ประเด็นทางเศรษฐกิจในเบื้องต้น

การตกลงซื้อวัคซีนในช่วงต้น 
ผู้ซื้อ วันที่ โดส
สหราชอาณาจักร 17 พ.ค. 2020 100 ล้าน
สหรัฐอเมริกา 21 พ.ค. 2020 300 ล้าน
โคแวกซ์
(องค์การอนามัยโลก)
4 มิ.ย. 2020 300 ล้าน
29 ก.ย. 2020 100 ล้าน
อียิปต์ 22 มิ.ย. 2020 ไม่ทราบแน่ชัด
ญี่ปุ่น 8 ส.ค. 2020 120 ล้าน
ออสเตรเลีย 19 ส.ค. 2020 25 ล้าน
สหภาพยุโรป 27 ส.ค. 2020 400 ล้าน
แคนาดา 25 ก.ย. 2020 20 ล้าน
สวิตเซอร์แลนด์ 16 ต.ค. 2020 5.3 ล้าน
บังกลาเทศ 5 พ.ย. 2020 30 ล้าน
ไทย 27 พ.ย. 2020 26 ล้าน
21 ม.ค. 2021
4 พ.ค. 2021 35 ล้าน
21 พ.ค. 2021
ฟิลิปปินส์ 27 พ.ย. 2020 2.6 ล้าน
เกาหลีใต้ 1 ธ.ค. 2020 20 ล้าน
แอฟริกาใต้ 7 ม.ค. 2021 1 ล้าน

การตกลงซื้อวัคซีนได้เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2020 โดยสหราชอาณาจักรจะได้วัคซีน 100 ล้านโดสก่อนประเทศอื่นถ้าการทดลองสำเร็จ โดยข้อตกลงก็ได้เสร็จสมบูรณ์เมื่อปลายเดือนสิงหาคม

ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2020 บริษัทตกลงขายวัคซีน 300 ล้านโดสให้แก่สหรัฐอเมริกาโดยมีมูลค่า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดสหนึ่งจึงมีราคา 4 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 125 บาท) โฆษกบริษัทแจ้งว่า ราคานี้รวมค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและการทดลองทางคลินิกด้วย บริษัทยังตกลงถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่รัฐบาลเม็กซิโกและอาร์เจนตินาเพื่อผลิตวัคซีนอย่างน้อย 400 ล้านโดสเพื่อแจกจำหน่ายทั่วลาตินอเมริกา ตัวยาออกฤทธิ์จะผลิตในอาร์เจนตินาแล้วส่งไปยังเม็กซิโกเพื่อทำให้เสร็จพร้อมแจกจำหน่าย

ในเดือนมิถุนายน 2020 บริษัทยังได้ตกลงกับบริษัทยาชีวภาพอเมริกันคือ Emergent BioSolutions เพื่อผลิตวัคซีนโดยเฉพาะให้แก่สหรัฐ โดยมีมูลค่า 87 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,700 ล้านบาท) นี่เป็นส่วนของโปรแกรมปฏิบัติการเหนือแสง (Operation Warp Speed) ของรัฐบาลกลางสหรัฐเพื่อเร่งพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด-19 ก่อนสิ้นปี 2020

ในเดือนมิถุนายนเช่นกัน สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย (Serum Institute of India) ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลก ได้สิทธิจากบริษัทให้ผลิตวัคซีน 1,000 ล้านโดสสำหรับประเทศมีรายได้น้อยจนถึงปานกลาง รวมทั้งอินเดียเอง ในเดือนมิถุนายนเช่นกัน โปรแกรมโคแวกซ์ขององค์การอนามัยโลกเริ่มต้นซื้อวัคซีนเป็นจำนวน 300 ล้านโดสจากบริษัทเพื่อประเทศรายได้ต่ำจนถึงปานกลาง ต่อมาวันที่ 29 กันยายน 2020 มูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์จึงบริจาคทรัพย์ซึ่งช่วยให้โปรแกรมสามารถซื้อวัคซีนเพิ่มขึ้นอีก 100 ล้านโดส โดยอาจเป็นวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าหรือของโนวาแว็กซ์ และจำกัดราคาที่ 3 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส (ประมาณ 94 บาท)

ในวันที่ 13 มิถุนายน 2020 บริษัทเซ็นสัญญากับกลุ่ม Inclusive Vaccines Alliance ของยุโรป ซึ่งจัดตั้งโดยประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และเนเธอร์แลนด์เพื่อส่งวัคซีน 400 ล้านโดสให้แก่รัฐสมาชิกของสหภาพยุโรปทั้งหมด แต่ต่อมาคณะกรรมาธิการยุโรปได้เข้าไปขวางก่อนที่ข้อตกลงจะออกมาอย่างเป็นทางการ แล้วรับช่วงต่อรองในนามของสหภาพยุโรปและเขตเศรษฐกิจยุโรปทั้งหมดเองโดยได้เซ็นสัญญาท้ายเดือนสิงหาคม

ในเดือนพฤศจิกายน 2020 บังกลาเทศได้เซ็นสัญญาไตรภาคีกับสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดียและบริษัทยา Beximco Pharma แห่งบังกลาเทศ เป็นการสั่งวัคซีน 30 ล้านโดสของรัฐบาลจากสถาบันผ่านบริษัทยาในราคา 4 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส นี่เท่ากับเพิ่มวัคซีนที่รัฐบาลอินเดียบริจาคให้บังกลาเทศอีก 3.2 ล้านโดส ซึ่งสถาบันก็เป็นผู้ผลิตเช่นกัน แต่ปรากฏว่าในเดือน 2 เดือนแรกแห่งปี 2021 สถาบันสามารถส่งวัคซีนให้ได้เพียง 7 ล้านโดส บังกลาเทศควรจะได้วัคซีน 5 ล้านโดสต่อเดือนแต่ก็ไม่ได้เลยในเดือนมีนาคมและเมษายน จึงทำให้โปรแกรมฉีดวัคซีนให้ประชาชนของประเทศต้องชะงักไปเพราะขาดวัคซีน คนโดยมากที่ได้วัคซีนโดสที่หนึ่งก็จะไม่ได้โดสที่สองอย่างทันการ ซึ่งน่าจะลดประสิทธิภาพของโปรแกรมฉีดวัคซีน อนึ่ง คนบังกลาเทศก็สงสัยในเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนอยู่แล้ว บังกลาเทศจึงต้องหาแหล่งวัคซีนอื่น ๆ เพราะอินเดียไม่สามารถแจกจำหน่ายให้ตามกำหนดการ

ในเดือนพฤศจิกายนเช่นกัน ประเทศฟิลิปปินส์ตกลงซื้อวัคซีน 2.6 ล้านโดส โดยสื่อรายงานว่ามีค่าราว 700 ล้านเปโซ (ประมาณ 5.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส)

ในเดือนธันวาคม 2020 เกาหลีใต้เซ็นสัญญากับแอสตร้าเซนเนก้าเพื่อซื้อวัคซีน 20 ล้านโดส โดยมีราคาใกล้ ๆ กับที่ไทยและฟิลิปปินส์จ่าย และคาดว่า อาจได้ล็อตแรก ๆ เร็วถึงเดือนมกราคม บริษัทได้เซ็นสัญญากับบริษัท SK Bioscience ของเกาหลีใต้เพื่อผลิตวัคซีน โดยมีข้อบังคับให้ผลิตเพื่อทั้งเกาหลีใต้เองและตลาดโลกด้วย

ในเดือนเดียวกัน ประเทศพม่าได้เซ็นสัญญากับสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดียเพื่อซื้อวัคซีน 30 ล้านโดส โดยจะได้วัคซีนสำหรับประชาชน 15 ล้านคนเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021

วันที่ 7 มกราคม 2021 แอฟริกาใต้ประกาศว่าได้รับวัคซีน 1 ล้านโดสเบื้องต้นจากสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย ซึ่งจะตามมาอีกครึ่งล้านโดสในเดือนกุมภาพันธ์ แต่ต่อมารัฐบาลได้ยกเลิกใช้วัคซีนเนื่องจากงานทดลองขนาดเล็กที่ทำพบว่า ไม่สามารถป้องกันอาการโรคขนาดน้อยจนถึงปานกลางสำหรับสายพันธุ์โควิด-19 หลักในพื้นที่คือ 501Y.V2 ได้ดีพอ แล้วขายให้แก่ประเทศแอฟริกาอื่น ๆ โดยเปลี่ยนไปใช้วัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสันแทน

ในวันที่ 22 มกราคม 2021 แอสตร้าเซนเนก้าประกาศว่า ถ้าสหภาพยุโรปให้อนุมัติวัคซีนของบริษัท วัคซีนที่จะส่งให้แก่สหภาพยุโรปในเดือนมีนาคม 2021 จริง ๆ จะอยู่ที่ 31 ล้านโดส ซึ่งน้อยกว่าที่คาดไว้คือ 80 ล้านโดส เพราะโรงงานในเบลเยียมมีปัญหาการผลิต ในการสัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์อิตาลี ประธานบริหารบริษัทกล่าวว่า แผนการส่งวัคซีนในสหภาพยุโรปล้าหลังไปสองเดือน เพราะการเพาะเลี้ยงเซลล์ที่ได้น้อยในหน่วยผลิตยุโรปขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง และการวิเคราะห์เหตุการณ์ในหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนก็ระบุว่าเครื่องผลิตชีวภาพ (bioreactor) ในโรงงานเบลเยียมให้ผลผลิตน้อย โดยให้ข้อสังเกตด้วยว่า การจัดตั้งกระบวนการผลิตเยี่ยงนี้ยากเพราะปริมาณผลผลิตที่ได้มักไม่แน่นอน ต่อมา สหภาพยุโรปจึงระงับการส่งออกวัคซีน แล้วก็เกิดข้อโต้แย้งว่า มีวัคซีนที่เบี่ยงส่งไปให้สหราชอาณาจักรหรือไม่ และการส่งวัคซีนให้ไอร์แลนด์เหนือจะถูกระงับหรือไม่

ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2021 สำนักงานวารสารศาสตร์เชิงสืบสวน (Bureau for Investigative Journalism) ในนครลอนดอนพบว่า แอฟริกาใต้จ่ายค่าวัคซีนเป็นสองเท่าของคณะกรรมการยุโรป และยูกันดาจ่ายเป็นสามเท่า เพราะผู้ผลิตวัคซีนคือ สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย ไม่ได้สัญญาผลิตวัคซีนแบบไม่เอากำไร ไม่ขาดทุน วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2021 โคแวกซ์ได้ส่งวัคซีนที่ได้เบื้องต้นไปยังเมืองอักกรา ประเทศกานา เป็นประเทศแรกในแอฟริกาที่ได้วัคซีนผ่านโปรแกรมนี้

ประเทศไทย

ในเดือนพฤศจิกายน 2020 คณะรัฐมนตรีไทยได้อนุมัติงบประมาณ 6,000 ล้านบาทเพื่อสั่งจองวัคซีนจากบริษัทจำนวน 26 ล้านโดสพอสำหรับคน 13 ล้านคน (ประมาณ 1/5 ของประเทศตามสำมะโน) โดยจะซื้อในราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 151 บาท) ต่อโดส และที่เหลือ (ประมาณ 2,000 ล้านบาท) จะใช้เพื่อดำเนินการและเก็บรักษา โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า เป็นราคาต้นทุน ในฐานะที่ไทยร่วมผลิต วัคซีนส่วนนี้คาดว่าจะส่งในระหว่างเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2021 คือเดือน มิย. 6 ล้านโดส, เดือน กค. และ สค. เดือนละ 10 ล้านโดส

ในเดือนมกราคม 2021 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้อนุมัติให้นำเข้าและใช้วัคซีนเป็นเวลา 1 ปี หลังเกิดจากข้อโต้แย้งเกี่ยวกับวัคซีน บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) ก็อธิบายว่า ราคาวัคซีนสำหรับแต่ละประเทศจะขึ้นอยู่กับค่าผลิตและความแตกต่างทางโซ่อุปทานต่าง ๆ รวมทั้งกำลังการผลิต ค่าแรงงาน และราคาวัตถุดิบ สยามไบโอไซเอนซ์ซึ่งเป็นบริษัทในพระปรมาภิไธยจะได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อรับจ้างผลิตวัคซีนโดยแอสตร้าเซนเนก้าจะนำไปแจกจำหน่ายในเขตอาเซียนรวมทั้งประเทศไทยเอง โดยมีกำลังการผลิตถึง 200 ล้านโดสต่อปี ซึ่งในช่วงการระบาดทั่วของโรค บริษัททั้งสองจะทำการเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ด้วยนโยบายไม่ได้กำไร ไม่ขาดทุน

ในเดือนมีนาคม 2021 คณะรัฐมนตรีไทยได้อนุมัติงบประมาณอีก 6,387 ล้านบาท เพื่อซื้อวัคซีนเพิ่ม 35 ล้านโดสโดย 5,674 ล้านบาทเป็นค่าวัคซีน (ประมาณ 162 บาทหรือ 5.18 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส) และ 714 ล้านบาทเป็นค่าบริหารจัดการ วัคซีนล็อตนี้คาดว่าจะส่งในระหว่างเดือนกันยายน-ธันวาคม 2021 คือเดือน กย.-พย. เดือนละ 10 ล้านโดสและเดือน ธค. อีก 5 ล้านโดส

จนถึงปลายเดือนเมษายน 2021 ประเทศไทยได้สั่งวัคซีนชนิดนี้รวมทั้งหมดแล้ว 61 ล้านโดส

ในต้นเดือนพฤษภาคม 2021 บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) ประกาศว่า ตัวอย่างวัคซีนที่ผลิตในประเทศไทยได้ผ่านการทดสอบคุณภาพในห้องปฏิบัติการที่บริษัทเป็นผู้กำหนดทั้งในสหรัฐและยุโรปแล้ว

ในต้นเดือนมิถุนายน 2021 บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) ประกาศว่าจะเริ่มทยอยส่งวัคซีนที่ผลิตในประเทศไทยล็อตแรกจำนวน 1.8 ล้านโดสให้แก่รัฐบาล

ในวันที่ 15 กรกฎาคม กระทรวงสาธารณสุขได้บอกแก้แผนการส่งวัคซีนให้แก่ไทยว่า วัคซีน 61 ล้านโดสที่ไทยได้สั่งซื้อ จะมาครบไม่ใช่ในเดือนธันวาคม 2021 ที่ก่อนหน้านี้เคยระบุไว้ แต่อาจเป็นเดือนพฤษภาคม 2022 ต่อมาในวันที่ 17 กรกฎาคม สำนักข่าวอิศราจึงได้เปิดเผยหนังสือ "ลับ" วันที่ 25 มิถุนายนที่รองประธานฝ่ายกิจการองค์กรทั่วโลกของบริษัทได้ส่งให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หนังสือมีใจความเกี่ยวกับการผลิตและการส่งวัคซีนให้แก่ประเทศไทยดังนี้

  • บริษัทมีเป้าหมายส่งวัคซีนที่สยามไบโอไซเอนซ์ผลิตได้ให้แก่ไทยประมาณ 1/3 จากผลผลิตทั้งหมดเพียงเท่านั้น โดยที่เหลือจะส่งไปยังประเทศอื่น 
  • บริษัทจะส่งวัคซีนให้ไทย 61 ล้านโดสจากยอดที่จะผลิต 175 ล้านโดส
  • บริษัทคาดว่า กระทรวงสาธารณสุขจะได้รับวัคซีน 5-6 ล้านโดสต่อเดือน

แม้สำนักข่าวบีบีซีจะระบุว่า ไม่สามารถยืนยันหนังสือลับที่สำนักข่าวอิศราเปิดเผยออกมาได้ แต่ในวันที่ 24 กรกฎาคม ประธานบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) ก็ระบุใน จม. เปิดผนึกถึงพี่น้องชาวไทยว่า จะส่งวัคซีนให้ประเทศไทยได้โดยเฉลี่ย 5-6 ล้านโดสจริง โดยระบุด้วยว่า กำลังปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตที่บริษัทมั่นใจว่า จะทำให้ส่งวัคซีนได้มากขึ้นอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

จนถึงวันที่ 18 กรกฎาคม 2021 ประเทศไทยได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าทั้งหมด 8,193,500 โดส คือญี่ปุ่นบริจาคให้ 1,053,000 โดสและบริษัทส่งให้ที่เหลือ 7,140,500 โดสโดยส่ง 1,651,100 โดสให้ในเดือนกรกฎาคม

อาชญากรรมในประเทศไทย

ในปลายเดือนกรกฎาคม เจ้าหน้าตำรวจ จ. ชลบุรีได้จับกุมผู้ต้องสงสัย 2 รายที่ได้เรียกเงิน 19,000 บาทจากผู้เสียหาย 5 คนโดยแอบอ้างว่าจะฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ ให้แล้วฉีดน้ำเกลือให้แทน ส่วนผู้เสียหายกลับรู้ตัวเพราะต้องการใบรับรองและการฉีดเข็มที่ 2 แต่ไม่ได้ จึงโทรไปถาม รพ. ที่ผู้ต้องสงสัยอ้างว่าได้สิทธิการจองแล้วจึงพบว่า รพ. ไม่ได้ฉีดวัคซีนและไม่มีการจอง ในปลายเดือนกรกฎาคมเช่นกัน ผอ.ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อได้แจ้งความว่ามีการทุจริตจัดคิวจากค่ายโทรศัพท์รายหนึ่งอย่างผิดปกติโดยเพิ่มขึ้นเกิน 2,000 คน ในจำนวนนั้น 300 คนได้รับวัคซีนและกันไว้เป็นพยาน จึงทราบจากพยานเหล่านี้ว่า ถูกเรียกเก็บเงินรายละ 500-1,000 บาท

ตราสินค้า

สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดียผลิตวัคซีนโดยใช้ตราสินค้า Covishield ในสหภาพยุโรป วัคซีนเริ่มใช้ตราสินค้า Vaxzevria ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2021 ตัวบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าเองได้ผลิตวัคซีนโดยใช้ตราสินค้านี้บวกกับ AstraZeneca COVID‐19 Vaccine และ COVID-19 Vaccine AstraZeneca

Covishield ปลอมในอินเดีย

ในต้นเดือนกรกฎาคม ตำรวจอินเดียได้จับกุมผู้ต้องหา 14 คนฐานฉีดน้ำเกลือให้แก่ประชาชนโดยหลอกลวงว่าเป็นวัคซีนแอสตร้าฯ และฉีดให้ในที่เอกชนเกิน 10 แห่งในนครมุมไบ ผู้ต้องหารวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ได้คิดค่าบริการ 10-17 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส (ประมาณ 330-560 บาท) โดยมีผู้เสียหายเกิน 2,600 คนที่ได้จ่ายเงินให้แล้ว

งานวิจัย

จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ทีมพัฒนาวัคซีนนี้ก็กำลังปรับวัคซีนให้มีประสิทธิภาพต่อต้านสายพันธุ์เชื้อไวรัสโควิด-19 อื่น ๆ อยู่โดยทำได้ค่อนข้างไวเพราะต้องปรับแต่ลำดับยีนของโปรตีนหนามที่ใช้ในวัคซีนเท่านั้น แต่ก็ยังต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตและทำการทดลองทางคลินิกระดับย่อย ๆ ด้วย วัคซีนคาดว่าจะมีใช้ในฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้

เชิงอรรถ

แหล่งข้อมูลอื่น


Новое сообщение