Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.
อาการหลงผิดคะกราส์
อาการหลงผิดคะกราส์ | |
---|---|
บัญชีจำแนกและลิงก์ไปภายนอก | |
DiseasesDB | 32606 |
MeSH | D002194 |
อาการหลงผิดคะกราส์ (อังกฤษ: Capgras delusion) หรือ กลุ่มอาการคะกราส์ (อังกฤษ: Capgras syndrome, /ka·'grɑ:/)เป็นความผิดปกติที่บุคคลหลงผิดว่า เพื่อน คู่สมรส บิดามารดา หรือสมาชิกสนิทในครอบครัว มีการทดแทนด้วยตัวปลอมที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน อาการหลงผิดคะกราส์จัดว่าเป็นกลุ่มอาการระบุผิดเพราะหลงผิด (delusional misidentification syndrome) ซึ่งเป็นกลุ่มของความเชื่อแบบหลงผิด ที่คนไข้ระบุบุคคล สถานที่ หรือวัตถุ แบบผิด ๆ (โดยปกติไม่ร่วมกัน) ภาวะนี้สามารถเกิดเป็นแบบเฉียบพลัน แบบชั่วคราว หรือแบบเรื้อรังก็ได้ และมีแม้แต่กรณีที่คนไข้เชื่อว่า กาลเวลามีการบิดเบือนหรือมีการทดแทน
อาการนี้มักจะเกิดขึ้นในคนไข้โรคจิตเภทแบบหวาดระแวง (paranoid schizophrenia) แต่ก็เกิดขึ้นด้วยในคนไข้ที่มีความเสียหายในสมอง และที่มีภาวะสมองเสื่อม ภาวะนี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในบุคคลที่มีโรคประสาทเสื่อม (neurodegenerative disease) โดยเฉพาะในวัยชรา ภาวะนี้มีรายงานด้วยว่าเกิดขึ้นสัมพันธ์กับโรคเบาหวาน ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย และโรคไมเกรน ที่พิเศษในกรณีหนึ่งก็คือ อาการนี้เกิดขึ้นในคนปกติอย่างชั่วคราว เพราะยาระงับความรู้สึกเคตามีน ภาวะนี้เกิดขึ้นบ่อยกว่าในหญิง โดยอัตราส่วนผู้หญิงต่อผู้ชาย เป็น 3 ต่อ 2
ข้อมูลที่ได้รวบรวมจากผู้มีอาการหลงผิดคะกราส์ อาจจะมีผลต่อความเข้าใจเกี่ยวกับการรับรู้ใบหน้า และประสาทกายวิภาค ของทั้งบุคคลปกติและของคนไข้ผู้มีอาการนี้
ประวัติ
กลุ่มอาการคะกราส์มีชื่อตามโจเซ็ฟ คะกราส์ (ค.ศ. 1873–1950) แพทย์จิตเวชชาวฝรั่งเศส ผู้ได้พรรณนาถึงความผิดปกตินี้เป็นคนแรก ในปี ค.ศ. 1923 ในผลงานวิจัยที่เขียนร่วมกับชอน เรอโบล-ลาชอซ์ ที่กล่าวถึงกรณีของหญิงชาวฝรั่งเศสชื่อว่า นางเอ็ม (Mme M.) ผู้ที่บ่นว่า คนตัวปลอมได้เข้ามาแทนที่สามีของเธอและคนอื่น ๆ ที่เธอรู้จัก คะกราส์และเรอโบล-ลาชอซ์ได้เริ่มต้นเรียกอาการเหล่านี้ว่า "อาการหลอนเห็นตัวปลอม" (ฝรั่งเศส: l’illusion des sosies)
กลุ่มอาการคะกราส์ได้รับการพิจารณาในยุคต้น ๆ ว่า เป็นโรคทางจิตเวช คือ เป็นอาการของโรคจิตเภท และเป็นโรคในหญิงเท่านั้น (แม้ว่า ตอนนี้เรารู้แล้วว่า ไม่ใช่เป็นแบบนี้) โดยเป็นอาการของโรคฮิสทีเรีย คำอธิบายเกี่ยวกับกลุ่มอาการคะกราส์ที่ได้รับการเสนอหลังจากคำอธิบายของคะกราส์และเรอโบล-ลาชอซ์ เป็นคำอธิบายทางจิตเวชโดยมาก เมื่อมาถึงคริสต์ทศวรรษ 1980 เท่านั้น ที่ความสนใจในเหตุเกิดของกลุ่มอาการคะกราส์จึงเริ่มเปลี่ยนไปยังรอยโรคในสมอง ซึ่งความจริงปรากฏร่วมกับโรคมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ได้รับการพิจารณาว่า ไม่มีความสัมพันธ์ หรือเป็นความบังเอิญเท่านั้น ทุกวันนี้ เราเข้าใจกลุ่มอาการคะกราส์แล้วว่า เป็นความผิดปกติทางประสาท ซึ่งอาการหลงโดยหลักเกิดขึ้นจากรอยโรค หรือความเสื่อมในสมอง
อาการปรากฏ
กรณีศึกษา 2 กรณีเหล่านี้ เป็นตัวอย่างของอาการหลงผิดคะกราส์ในจิตเวชศาสตร์ ได้แก่
- จากงานของพาซเซอร์และวอร์น็อค ปี ค.ศ. 1991
นางดี ผู้เป็นแม่บ้านวัย 74 ปี ที่เร็ว ๆ นี้เพิ่งออกจากโรงพยาบาลในพื้นที่ หลังจากที่ได้การรับเข้าโรงพยาบาลเพราะเหตุจิตเวช ได้มาที่ศูนย์ของเราเพื่อหาความเห็นที่สอง หลังจากได้การรับเข้าโรงพยาบาลแรก เธอได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นโรคจิตนอกแบบ เพราะความเชื่อของเธอว่า ชายอีกคนหนึ่งผู้ไม่มีความสัมพันธ์กันได้เข้ามาทดแทนสามีของเธอ เธอได้ปฏิเสธที่จะนอนร่วมกับชายตัวปลอมนั้น ได้ล็อกประตูห้องนอนของเธอในยามวิกาล ได้ขอปืนจากบุตรชายของเธอ และในที่สุด ได้ทำการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้จะพาเธอไปเข้าโรงพยาบาล ในบางครั้งบางคราวเธอก็เชื่อว่า สามีของเธอเป็นบิดาของเธอที่สิ้นชีวิตไปนานแล้ว เธอสามารถรู้จำสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวได้ ยกเว้นสามีของเธอเท่านั้น
- จากงานของซิ๊งก์แมน ปี ค.ศ 2008
ไดแอนเป็นหญิงวัย 28 ปี ผู้หมอพบเพื่อการประเมินเพื่อเตรียมตัวให้ออกจากโรงพยาบาลจิตเวช นี่เป็นการเข้าโรงพยาบาลเพราะเหตุจิตเวชของเธอเป็นครั้งที่ 3 ภายใน 5 ปี ไดแอนเป็นคนขี้อายและไม่สังสรรค์กับใคร และเพิ่งจะปรากฏอาการโรคจิตเมื่อมาถึงวัย 23 ปี หลังจากที่ได้รับการตรวจโดยแพทย์ประจำตัว เธอจึงเริ่มเกิดความวิตกกังวลว่า แพทย์ของเธออาจจะทำความเสียหายภายในแก่เธอ และเธออาจจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ อาการของเธอดีขึ้นเมื่อได้รับการเยียวยารักษาสำหรับโรคจิต แต่แย่ลงหลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วเพราะไม่ยอมทานยา เมื่อเธอเข้าโรงพยาบาลอีก 8 เดือนหลังจากนั้น เธอจึงเริ่มมีอาการหลงผิดว่า มีชายผู้หนึ่งกำลังก๊อปปี้ "จอหนัง" ของบุคคลต่าง ๆ และเขาได้ก๊อปปี้จอหนังสองจอที่เป็นของเธอ จอหนึ่งนิสัยชั่วร้าย และจอหนึ่งนิสัยดี เธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภทพร้อมทั้งอาการหลงผิดคะกราส์ เธออยู่ในสภาพแต่งตัวไม่เรียบร้อย และมีจุดบนหนังศีรษะของเธอที่ไม่มีผม เพราะเหตุแห่งการทำร้ายตัวเอง
ส่วนกรณีต่อมานี้เป็นตัวอย่างของอาการหลงผิดคะกราส์ที่เกิดจากโรคประสาทเสื่อม (neurodegenerative disease)
- จากงานของลูค์เชลลีและสปินน์เลอร์ ปี ค.ศ 2007
เฟร็ด ชายวัย 58 ปีผู้มีการศึกษาระดับมัธยมปลาย ได้มาเพื่อการตรวจสอบทางประสาทและทางประสาทจิตวิทยา เพราะมีความผิดปกติในการรับรู้และในพฤติกรรม เขาได้ทำงานเป็นหัวหน้าของหน่วยงานเล็ก ๆ ที่ทำงานเกี่ยวกับการวิจัยด้านพลังงานจนกระทั่งถึงเมื่อ 2-3 เดือนที่แล้ว ประวัติทางเวชศาสตร์และจิตเวชของเขาไม่มีอะไรผิดปกติ ... ภรรยาขอเฟร็ดรายงานว่า ภายใน 15 เดือนจากที่เริ่มมีอาการผิดปกติ เฟร็ดเริ่มเห็นเธอเป็นตัวปลอม ปรากฏการณ์นี้ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อหลังจากที่กลับมาบ้าน เฟร็ดถามเธอว่า วิลมาอยู่ที่ไหน หลังจากการตอบของเธอว่า เธออยู่ที่นี่ไง ที่ทำให้เฟร็ดแปลกใจ เขาก็ปฏิเสธอย่างเป็นจริงเป็นจังว่า เธอไม่ใช่วิลมาภรรยาของเขา ผู้ที่เขารู้จักเป็นอย่างดีในฐานะมารดาของบุตรของเขา และยังกล่าววิจารต่อไปอย่างปกติธรรมดาว่า วิลมาคงจะออกไปข้างนอก และเดี๋ยวคงจะกลับมาภายหลัง ... เฟร็ดมีความเสื่อมลงของการรับรู้อย่างต่อเนื่อง ที่เป็นไปอย่างรุนแรงและรวดเร็ว และนอกจากความเสื่อมทางการรับรู้แล้ว ก็ยังปรากฏอาการทางประสาทจิตวิทยา ที่มีความปั่นป่วนของการใช้ภาษาเป็นอาการเด่น ซึ่งบอกเป็นนัยถึงความผิดปกติทางกิจบริหารของสมองกลีบหน้า ความบกพร่องทางการรับรู้ของเขาไปสุดด้วยกลุ่มอาการที่เกิดจากความเสียหายอย่างรุนแรงและกว้างขวางของสมองส่วนหน้า
เหตุ
มีการเห็นพ้องกันโดยทั่ว ๆ ไปว่า อาการหลงผิดคะกราส์มีมูลฐานที่ซับซ้อนในสมอง และจะสามารถเข้าใจได้ง่ายกว่า โดยวิธีการตรวจสอบความเสียหายทางประสาทกายวิภาค ที่สัมพันธ์กับกลุ่มอาการ
หลักฐานแรก ๆ ที่อาจจะชี้เหตุที่ก่อให้เกิดอาการนี้ มาจากงานวิจัยของคนไข้บาดเจ็บทางสมองผู้เกิดมีภาวะไม่รู้ใบหน้า (prosopagnosia) ผู้ไม่มีการรับรู้ใบหน้าแบบเหนือสำนึก ถึงแม้ว่าจะสามารถรู้จำวัตถุทางตาประเภทอื่น ๆ ได้ แต่ว่า งานวิจัยปี ค.ศ. 1984 ของเบาเออร์กลับแสดงว่า ถึงแม้ว่าการรู้จำใบหน้าเหนือสำนึกจะบกพร่อง คนไข้ภาวะนี้กลับแสดงความเร้าทางประสาทที่เกิดขึ้นโดยไม่สมัครใจ (วัดโดยการนำไฟฟ้าของผิวหนัง) เมื่อเห็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคย เป็นผลงานวิจัยที่บอกเป็นนัยว่า มีวิถีประสาทสองทางในการรู้จำใบหน้า คือวิถีเหนือสำนึกและวิถีใต้สำนึก
ในบทความปี ค.ศ. 1990 ที่พิมพ์ใน วารสารจิตเวชศาสตร์แห่งประเทศอังกฤษ (British Journal of Psychiatry) นักจิตวิทยาเฮเด็น เอ็ลลิส และแอนดี้ ยัง ได้ตั้งสมมุติฐานว่า คนไข้อาการหลงผิดคะกราส์อาจจะมีภาวะตรงกันข้ามกันกับภาวะไม่รู้ใบหน้า คือว่า ในอาการหลงผิดคะกราส์ ความสามารถเหนือสำนึกเพื่อรู้จำใบหน้าไม่มีความเสียหาย แต่อาจจะมีความเสียหายในระบบที่ก่อให้เกิดความเร้าความรู้สึกโดยอัตโนมัติ (คือไม่ได้อยู่ใต้อำนาจจิตใจ) ต่อใบหน้าที่มีความคุ้นเคย ซึ่งอาจจะนำไปสู่ปรากฏการณ์ที่คนไข้สามารถรู้จำบุคคลได้ แต่กลับมีความรู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติในบุคคลนี้ ในปี ค.ศ. 1997 เฮเด็น เอ็ลลิสและคณะ ได้พิมพ์ผลงานวิจัยในคนไข้ 5 คนที่มีอาการหลงผิดคะกราส์ ผู้ล้วนแต่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภท เอ็ลลิสได้รับรองยืนยันสมมุติฐานของตนว่า ถึงแม้ว่า คนไข้จะสามารถรู้จำใบหน้าโดยจิตเหนือสำนึก แต่กลับไม่แสดงความเร้าทางความรู้สึกที่ควรแสดง คือ คนไข้แสดงความรู้สึกอัตโนมัติเหมือนกับเจอกับคนแปลกหน้า ส่วนงานวิจัยของยัง (ค.ศ. 2008) ได้ตั้งสมมุติฐานว่า คนไข้ที่มีโรคนี้สูญเสียความคุ้นเคย ไม่ใช่บกพร่องความคุ้นเคย
วิลเลียม เฮอร์สไตน์ และรามะจันทรัน รายงานการค้นพบที่คล้าย ๆ กัน ในบทความตีพิมพ์เกี่ยวกับคนไข้คนเดียว ที่มีอาการหลงผิดคะกราส์ หลังจากเกิดความบาดเจ็บในสมอง รามะจันทรันได้กล่าวถึงกรณีนี้ในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า Phantoms in the Brain (แฟนตอมในสมอง) และบรรยายเรื่องนี้ไว้ในงานประชุม TED 2007 เนื่องจากว่า คนไข้สามารถรับรู้ความรู้สึกและสามารถรู้จำใบหน้าได้ แต่ไม่ปรากฏความรู้สึกเมื่อรู้จำใบหน้าที่คุ้นเคย รามะจันทรันจึงตั้งสมมุติฐานว่า เหตุของอาการหลงผิดคะกราส์ก็คือการตัดขาดออกจากกันของสมองกลีบขมับ ซึ่งเป็นเขตที่รู้จำใบหน้า และระบบลิมบิก ซึ่งเป็นเขตที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก และถ้าจะกล่าวโดยเฉพาะเจาะจงแล้ว รามะจันทรันเน้นการตัดขาดออกจากกันระหว่างอะมิกดะลา กับรอยนูนสมองกลีบขมับด้านล่าง (inferior temporal gyrus)
ในปี ค.ศ. 2010 วิลเลียม เฮอร์สไตน์ ได้ปรับปรุงทฤษฎีของเขาเพื่อที่จะอธิบายว่า ทำไมผู้มีอาการหลงผิดคะกราส์จึงมีปฏิกิริยาเช่นนั้น คือปฏิเสธบางคนว่าเป็นคนที่คุ้นเคย เฮอร์สไตน์ได้อธิบายทฤษฎีปรับปรุงนี้ว่า
...ทฤษฏีปัจจุบันของผมเกี่ยวกับอาการหลงผิดคะกราส์ มีความเฉพาะเจาะจงกว่ารุ่นที่แล้วที่ผมกล่าวถึงในบทความในปี ค.ศ. 1997 ที่เขียนร่วมกับรามะจันทรัน ตามทฤษฎีปัจจุบัน เรามีแผนที่สำหรับบุคคลที่เรารู้จักดี เป็นแผนที่แบบผสมมี 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นแผนที่ของรูปลักษณ์ภายนอกของบุคคล เป็นต้นว่า รูปร่างท่าทางและเสียง อีกส่วนหนึ่งเป็นแผนที่ของลักษณะภายในของบุคคล เป็นต้นว่า บุคคลิก ความเชื่อ อารมณ์ความรู้สึกที่เป็นเอกลักษณ์ และความชอบใจ อาการหลงผิดคะกราส์เกิดขึ้น เมื่อแผนที่ภายในมีความเสียหาย หรือไม่สามารถจะเข้าถึงได้ นี่ก่อให้เกิดความรู้สึกถึงบุคคลหนึ่งว่า มีรูปลักษณ์ภายนอกที่ถูกต้อง แต่เหมือนกับเป็นบุคคลอื่นโดยลักษณะภายใน คือเหมือนกับเป็นตัวปลอมนั่นเอง ทฤษฎีนี้ให้คำอธิบายที่เฉพาะเจาะจงกว่า และเข้ากันได้ดีกับสิ่งที่คนไข้พูด เป็นการแก้ปัญหาที่มีอย่างหนึ่งในสมมุติฐานก่อน ซึ่งก็คือ มีคำอธิบายได้หลายอย่าง เกี่ยวกับอาการไร้ความรู้สึกเมื่อเห็นใครคนหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านี้ รามะจันทรันก็ยังเสนอว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มอาการคะกราส์ กับความยากลำบากโดยทั่ว ๆ ไปในการปะติดปะต่อความจำอาศัยเหตุการณ์ (episodic memory) ที่สืบต่อกัน เพราะอารมณ์ความรู้สึกมีบทบาทสำคัญในการสร้างความทรงจำ. เนื่องจากว่า คนไข้ไม่สามารถประสานความทรงจำกับอารมณ์ความรู้สึกเข้าด้วยกัน คนไข้จึงเชื่อว่า วัตถุในภาพที่เห็นเป็นวัตถุใหม่ในทุก ๆ ครั้งที่เห็น แม้ว่า วัตถุเหล่านั้นควรที่จะก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึก (เช่นความรู้สึกว่า เป็นคนสนิท เป็นวัตถุที่คุ้นเคย หรือเป็นวัตถุเกี่ยวกับตน)
นักวิจัยอื่น ๆ เช่นเมอร์ริน และซิลเบอร์ฟาร์บ (ปี ค.ศ. 1976) ได้เสนอความเชื่อมต่อกันระหว่างกลุ่มอาการคะกราส์ กับความบกพร่องของระบบความทรงจำบางส่วน พวกเขาได้เสนอว่า บุคคลที่สำคัญและที่คุ้นเคย (ซึ่งก็คือบุคคลที่เป็นที่ตั้งของความหลงผิดคะกราส์) มีความเกี่ยวข้องกับความทรงจำหลายระดับทางตา หู การกระทบสัมผัส และประสบการณ์อื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับบุคคลเหล่านั้น ดังนั้น กลุ่มอาการคะกราส์สามารถเข้าใจได้ โดยเป็นความเป็นอย่างไม่สัมพันธ์ของวัตถุ (คือของบุคคลเหล่านั้น) ในการรับรู้ในสมองระดับสูง
เป็นไปได้มากว่า ต้องมีความบกพร่องอย่างอื่น นอกจากความเสียหายต่อการตอบสนองอัตโนมัติคือการเร้าความรู้สึก เพราะว่าคนไข้บางพวกมีความเสียหายอย่างนี้ แต่ไม่มีอาการของความหลงผิด เอ็ลลิสและคณะเสนอว่า มีองค์ประกอบที่สอง ที่อธิบายเหตุผลความที่ประสบการณ์ไม่ปกติอย่างนี้ กลับกลายเป็นความเชื่อที่ประกอบด้วยความหลงผิด องค์ประกอบที่สองนี้มีการเสนอว่า เป็นความบกพร่องในการคิดโดยเหตุผล. แม้ว่า ยังไม่มีความบกพร่องที่เฉพาะเจาะจง ที่สามารถอธิบายอาการของความหลงผิดคะกราส์ในทุก ๆ กรณี แต่ก็มีนักวิจัยหลายท่านที่เสนอให้รวมความรู้สึกที่เป็นอัตวิสัย ในแบบอธิบายของกลุ่มอาการคะกราส์ เพื่อที่จะเข้าใจกลไกที่ยังการสร้างความเชื่อและการดำรงไว้ซึ่งความเชื่อที่ประกอบด้วยความหลงผิดนั้น ให้เป็นไปได้
กลุ่มอาการคะกราส์ยังมีความเกี่ยวข้องกับ reduplicative paramnesia ซึ่งเป็นความเชื่อแบบหลงผิดอีกอย่างหนึ่ง เนื่องจากกลุ่มอาการทั้งสองนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างสูง จึงมีทฤษฎีที่เสนอว่า เขตสมองเขตเดียวกันมีผลต่ออาการทั้งสอง และดังนั้น อาการทั้งสองจึงมีความเกี่ยวข้องทางประสาทที่เหมือนกัน เนื่องจากมีความเข้าใจว่า สมองกลีบหน้ามีผลต่อ reduplicative paramnesia ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า กลุ่มอาการคะกราส์ก็มีความสัมพันธ์กับสมองกลีบหน้าเช่นกัน และถึงแม้ว่า อาจจะไม่มีความเสียหายโดยตรงต่อสมองกลีบหน้า แต่ว่า แม้แต่การเข้าไปขัดขวางสัญญาณที่เป็นไปในระหว่างสมองเขตอื่น ๆ กับสมองกลีบหน้า ก็ยังสามารถจะให้ผลเป็นกลุ่มอาการคะกราส์เช่นกัน
การรักษา
การบำบัดโรคเป็นรายบุคคลอาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ในการรักษาอาการหลงผิดของแต่ละคน ความอดทนบากบั่นของผู้รักษาเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อที่จะเห็นใจคนไข้ในขณะบำบัดโรค โดยที่ไม่เข้าไปรับรองระบบความคิดเห็นผิด ๆ ของคนไข้ หรือเข้าไปประจันหน้ากับความหลงผิดนั้นมากเกินไป เทคนิคปรับการรับรู้เช่นการตรวจสอบความจริง (reality testing) และการเปลี่ยนกรอบความจริง (reality reframing) เป็นเทคนิคที่ใช้ได้ นอกจากนั้นแล้ว ยังมีการใช้ยารักษาโรคจิตและยารักษาอย่างอื่น ๆ ที่ให้ผลสำเร็จพอสมควร
ดู
แหล่งข้อมูลอื่น
- วีดีโอของ TED.com เรื่อง "ร่องรอย ๓ อย่างเพื่อเข้าใจสมองของคุณ (3 Clues to Understanding Your Brain)" โดย ดร. รามะจันทรัน ค.ศ. 2007, เป็นภาษาอังกฤษแต่มีคำบรรยายแปลด้านล่าง, มีเรื่องของอาการหลงผิดคะกราส์
- An Impostor in the Family on damninteresting.com
- Trial of former SCTV/SNL comic Tony Rosato, with Capgras lit review
- "Former Second City colleagues offer support at Rosato trial"
- When a "Duplicate" Family Moves In—Article in The New York Times Magazine by Carol W. Berman, MD.