Мы используем файлы cookie.
Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.

เบาหวานชนิดที่ 1

Подписчиков: 0, рейтинг: 0
เบาหวานชนิดที่ 1
(Type 1 diabetes)
ชื่ออื่น Diabetes mellitus type 1, insulin-dependent diabetes, juvenile diabetes
Blue circle for diabetes.svg
สัญลักษณ์วงกลมสีน้ำเงิน เป็นสัญลักษณ์สากลสำหรับโรคเบาหวาน
การออกเสียง
สาขาวิชา วิทยาต่อมไร้ท่อ
อาการ ปัสสาวะบ่อย, ดื่มน้ำบ่อย, หิวบ่อย, น้ำหนักลด
ภาวะแทรกซ้อน ภาวะเลือดเป็นกรดคีโตนจากเบาหวาน(DKA), ภาวะเลือดมีน้ำตาลสูงและความเข้มข้นสูงแบบไม่ใช่คีโตน (HHS), บาดแผลหายช้า, โรคหัวใจ, โรคจอประสาทตา
การตั้งต้น เมื่อเป็นแล้วจะแสดงอาการอย่างรวดเร็ว
ระยะดำเนินโรค ระยะยาว
สาเหตุ ร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอ
ปัจจัยเสี่ยง ประวัติครอบครัว, โรคซีลิแอ็ก
วิธีวินิจฉัย ระดับน้ำตาลในเลือด, HbA1C
การป้องกัน ไม่มี
การรักษา ยาอินซูลิน, อาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน, ออกกำลังกาย
ความชุก ~7.5% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด

เบาหวานชนิดที่ 1 หรือ เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน เป็นโรคภูมิต้านตนเองชนิดหนึ่งที่ทำให้กลุ่มเซลล์แลงเกอร์ฮานส์ในตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยมากหรือผลิตไม่ได้เลย อินซูลินเป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายสามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้ และมีส่วนในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ในตอนที่ไม่ได้รับการรักษาภาวะนี้จะทำให้ในเลือดมีระดับน้ำตาลสูง อาการที่พบได้บ่อยในขณะที่มีน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย ดื่มน้ำบ่อย หิวบ่อย น้ำหนักลด และภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อาการอื่นๆ ที่อาจพบร่วม เช่น ตามัว อ่อนล้า บาดแผลหายช้า โดยทั่วไปแล้วในระยะแรกของการมีอาการ ผู้ป่วยจะมีอาการต่างๆ จนเห็นได้ชัดในระยะเวลาค่อนข้างสั้น คือในระดับไม่กี่สัปดาห์

สาเหตุของเบาหวานชนิดที่ 1 ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเป็นผลจากหลายๆ ปัจจัยทั้งทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม กลไกที่ทำให้เกิดโรคคือภาวะภูมิต้านตนเองที่ทำลายเซลล์เบต้าในตับอ่อนที่มีหน้าที่ผลิตอินซูลิน มีรายงานการศึกษาวิจัยหลายฉบับที่บ่งชี้ว่าภาวะภูมิต้านตนเองต่อเซลล์เบต้าจนทำให้กลุ่มเซลล์ของแลงเกอร์ฮานส์ถูกทำลายนี้อาจถูกกระตุ้นได้ด้วยการติดเชื้อไวรัสบางชนิดอย่างต่อเนื่อง การวินิจฉัยเบาหวานทั้งชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ทำได้โดยการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด หรือตรวจวัดระดับฮีโมโกลบินที่จับกับน้ำตาล (HbA1C) ในเลือด และสามารถแยกจากกันได้ด้วยการตรวจหาสารภูมิต้านตนเองในเลือด

ยังไม่มีวิธีป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 1 การรักษาจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนอินซูลิน โดยทั่วไปจะใช้การให้ยาอินซูลินผ่านการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง โดยอาจเป็นการฉีดตามปกติหรือใช้เครื่องฉีดอัตโนมัติ การออกกำลังกายและการปรับอาหารเพื่อผู้ป่วยเบาหวานเป็นองค์ประกอบสำคัญเช่นกัน หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้หลายอย่าง ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วได้แก่ ภาวะเลือดเป็นกรดคีโตนจากเบาหวาน (DKA) และภาวะเลือดมีน้ำตาลสูงและความเข้มข้นสูงแบบไม่ใช่คีโตน (HHS) ภาวะแทรกซ้อนระยะยาวได้แก่โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน ไตวาย แผลเรื้อรัง และโรคจอประสาทตา นอกจากนี้แล้วการรักษาด้วยอินซูลินหากใช้ไม่เหมาะสมยังทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ด้วย

ในบรรดาผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด จะมีอยู่ประมาณ 5-10% เป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ยังไม่มีข้อมูลจำนวนผู้ป่วยโรคนี้ทั่วโลกที่แน่ชัด แต่มีข้อมูลประมาณไว้ว่าในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 รายใหม่ที่เป็นเด็กประมาณ 8 หมื่นคน ในสหรัฐมีจำนวนผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 อยู่ประมาณ 1-3 ล้านคน อัตราการเกิดโรคแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ โดยในเอเชียตะวันออกและละตินอเมริกาพบผู้ป่วยรายใหม่ประมาณปีละ 1 ต่อแสนคน ในขณะที่สแกนดิเนเวียและคูเวตพบผู้ป่วยรายใหม่ประมาณปีละ 30 ต่อแสนคน ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ส่วนใหญ่จะเริ่มวินิจฉัยได้ตั้งแต่วัยเด็กและผู้ใหญ่ตอนต้น

อาการและอาการแสดง

อาการสำคัญที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน

อาการแรกเริ่มของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 มักเป็นขึ้นอย่างเฉียบพลันในวัยเด็กหรือวัยผู้ใหญ่ตอนต้น อาการที่สำคัญที่สุดคืออาการที่เกิดจากการมีระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงมาก โดยในเด็กมักพบเป็นอาการปัสสาวะบ่อย ดื่มน้ำมาก และน้ำหนักลด ซึ่งแสดงอาการภายในเวลาไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ ผู้ป่วยเด็กบางคนอาจมีอาการอยากอาหารมากผิดปกติ สายตาเลือนราง ปัสสาวะรดที่นอน ผิวหนังติดเชื้อซ้ำๆ มีเชื้อราที่ขาหนีบ กระสับกระส่าย และมีปัญหาการเรียนได้ ในขณะที่ผู้ใหญ่ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 มักมีอาการได้หลายรูปแบบ และอาจมีอาการต่อเนื่องมาเป็นหลายเดือนก่อนได้รับการวินิจฉัย แทนที่จะอยู่ในหลักวันหรือหลักสัปดาห์อย่างในผู้ป่วยเด็ก

การขาดอินซูลินต่อเนื่องสามารถทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตนจากเบาหวาน (DKA) ได้ ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย ผิวแห้งหรือผิวแดง ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน สับสน หายใจเหนื่อยหอบ ลมหายใจมีกลิ่นผลไม้ (จากคีโตนในเลือดสูง) การตรวจเลือดและปัสสาวะจะพบระดับน้ำตาลและคีโตนสูง หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจทำให้หมดสติ โคม่า และเสียชีวิตได้ ผู้ป่วยเด็กที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 จำนวนมาก ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ครั้งแรกในชีวิตก็ตอนที่เกิด DKA นี้ โดยมีสัดส่วนแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ โดยในยุโรปและอเมริกาเหนือคิดเป็นประมาณ 15% ในขณะที่ผู้ป่วยเด็กในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาแสดงอาการครั้งแรกเป็น DKA สูงถึง 80%

ภาวะแทรกซ้อน

ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ประมาณ 12% มีภาวะซึมเศร้า ประมาณ 6% มีโรคร่วมคือโรคซีลิแอ็ก แต่ส่วนใหญ่อาจไม่มีอาการทางระบบย่อยอาหาร หรือมีอาการแต่ได้รับการวินิจฉัยผิดว่าเป็นอาการที่เกิดจากการควบคุมอาหารได้ไม่ดี, กระเพราะอาหารเป็นอัมพาต, หรือโรคเซลล์ประสาทเสื่อมเหตุเบาหวาน ผู้ป่วยเหล่านี้โดยส่วนใหญ่แล้วจะได้รับการวินิจฉัยเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ก่อน แล้วจึงได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคซีลิแอกในภายหลัง ผู้ป่วยที่เป็นทั้งเบาหวานชนิดที่ 1 และโรคซีลิแอก เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคของจอตา และเพิ่มโอกาสเสียชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างโรคทั้งสองนี้อธิบายได้จากการมีปัจจัยทางพันธุกรรมร่วมกัน การอักเสบ และการขาดสารอาหารที่เกิดจากโรคซีลิแอกที่ไม่ได้รับการรักษา ซึ่งอาจเป็นมาก่อนโดยไม่ได้รับการวินิจฉัย

Works cited

แหล่งข้อมูลอื่น

การจำแนกโรค
ทรัพยากรภายนอก

Новое сообщение