Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.
แผลไหม้
แผลไหม้ | |
---|---|
แผลไหม้ระดับสองที่มือ | |
สาขาวิชา | เวชบำบัดวิกฤติ ศัลยกรรมพลาสติก |
อาการ |
ระดับ 1 - แดงโดยไม่มีตุ่มพอง ระดับ 2 - มีตุ่มพองและเจ็บ |
ภาวะแทรกซ้อน | ติดเชื้อ |
ระยะดำเนินโรค | หลายวันจนถึงหลายสัปดาห์ |
ประเภท | ระดับ 1-2-3 (Superficial, partial-thickness, full-thickness) |
สาเหตุ | ความร้อน ความเย็น ไฟฟ้า สารเคมี การเสียดสี การแผ่รังสี |
ปัจจัยเสี่ยง | ไฟหุงต้มแบบเปิดโล่ง เตาหุงต้มที่ไม่ปลอดภัย การสูบบุหรี่ การติดเหล้า สถานที่ทำงานซึ่งไม่ปลอดภัย |
การรักษา | ขี้นอยู่กับความรุนแรง |
ยา | ยาระงับปวด ให้น้ำเกลือ วัคซีนบาดทะยัก |
ความชุก | 67 ล้าน (2015) |
การเสียชีวิต | 176,000 (2015) |
แผลไหม้ (อังกฤษ: burn) เป็นการบาดเจ็บที่ผิวหนังหรือเนื้อเยื่ออื่น ๆ มีเหตุจากความร้อน ความเย็น การเสียดสี หรือการแผ่รังสี (เช่น ไหม้แดด) โดยมักเกิดจากของเหลวร้อน (คือถูกลวก) ของแข็งร้อน หรือไฟ แม้อัตราการเกิดจะคล้าย ๆ กันในหญิงชาย แต่เหตุมักจะต่างกัน สำหรับหญิงในภูมิประเทศบางแห่ง ความเสี่ยงมาจากการใช้ไฟหุงต้มแบบเปิดโล่งหรือเตาหุงต้มที่ไม่ปลอดภัย สำหรับชาย ความเสี่ยงมาจากที่ทำงาน ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ รวมทั้งการติดเหล้าและการสูบบุหรี่ ยังอาจเกิดเพราะทำร้ายตัวเองหรือถูกคนอื่นทำร้าย
แผลไหม้ที่มีผลต่อผิวหนังชั้นบนสุดจัดอยู่ในระดับ 1 (ไหม้ตื้น, superficial) มีสีแดงโดยไม่มีตุ่มพองและเจ็บราว ๆ 3 วัน เมื่อไหม้ลึกถึงหนังข้างใต้ ก็จัดเป็นระดับ 2 (partial-thickness) มักมีตุ่มพองและเจ็บมาก อาจใช้เวลาถึง 8 สัปดาห์กว่าจะหายและอาจมีแผลเป็น แผลไหม้ระดับ 3 (full-thickness) จะไหม้ตลอดหนังทุกชั้น มักไม่เจ็บและแผลจะแข็ง ปกติจะไม่หายเอง แผลไหม้ระดับ 4 ไหม้เนื้อเยื่อที่ลึกยิ่งขึ้น เช่น กล้ามเนื้อ เอ็น หรือกระดูก แผลมักดำและมักเป็นเหตุให้เสียส่วนที่ไหม้นั้น ๆ
แผลไหม้ปกติป้องกันได้ การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรง การไหม้ตื้น ๆ อาจรักษาด้วยแค่ยาระงับปวดธรรมดา ๆ เทียบกับการไหม้มากซึ่งอาจต้องรักษาเป็นเวลานานในศูนย์รักษาแผลไหม้ การแช่น้ำเย็นอาจช่วยลดความเจ็บและความเสียหาย แต่ในบางกรณี การแช่นาน ๆ อาจทำให้ตัวเย็นเกิน แผลไหม้ระดับ 2 อาจต้องทำความสะอาดด้วยน้ำและสบู่ แล้วทายาพันแผล วิธีการรักษาตุ่มพองยังไม่แน่ชัด อาจสมควรทิ้งไว้เฉย ๆ ถ้าเล็ก หรือระบายน้ำออกถ้าใหญ่ แผลไหม้ระดับ 3 อาจต้องผ่าตัด เช่น การปลูกถ่ายหนัง (skin grafting) แผลไหม้มาก ๆ มักต้องให้น้ำเกลือจำนวนมาก เพราะหลอดเลือดฝอยรั่วและเพราะบวมน้ำ ภาวะแทรกซ้อนที่สามัญสุดคือการติดเชื้อ ควรให้วัคซีนบาดทะยักถ้าไม่มีภูมิ
ในปี 2015 ไฟและความร้อนทำให้คนบาดเจ็บ 67 ล้านครั้ง ทำให้เข้า ร.พ. 2.9 ล้านครั้งและเสียชีวิต 176,000 ราย ผู้เสียชีวิตโดยมากอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะในเอเชียอาคเนย์ แผลไหม้ขนาดใหญ่อาจทำให้เสียชีวิต แต่การรักษาสมัยใหม่นับตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1960 ก็ทำให้ได้ผลดีขึ้น โดยเฉพาะในเด็กและคนหนุ่มสาว ในสหรัฐ คนที่รับเข้าศูนย์แผลไหม้เฉพาะทางประมาณร้อยละ 96 รอดชีวิต ผลระยะยาวขึ้นอยู่กับขนาดแผลและอายุคนไข้
อาการ
อาการของแผลไหม้ขึ้นอยู่กับความลึก แผลตื้น ๆ ทำให้เจ็บเป็นเวลา 2-3 วันแล้วหนังก็จะลอกต่อมา แผลที่รุนแรงกว่านั้นอาจทำให้เจ็บหรือตึง แผลระดับ 3 อาจทำให้ไม่รู้สึกการแตะเบา ๆ หรือการถูกเจาะ แผลตื้นมักจะแดง ที่หนักขึ้นอาจเป็นสีชมพู ขาว หรือดำ แผลใกล้ ๆ ปากหรือขนไหม้ในจมูกอาจชี้ว่า มีแผลไหม้ในทางลมหายใจ แต่ก็ไม่แน่นอน อาการน่าเป็นห่วงรวมทั้งหายใจลำบาก เสียงแหบ หายใจเข้ามีเสียงฮื้ด (stridor, wheezing) แผลมักคันเมื่อกำลังหาย โดยเกิดในผู้ใหญ่ร้อยละ 90 และเกือบทั้งหมดในเด็ก ความชาอาจคงยืนเป็นเวลานานถ้าเป็นแผลไหม้เนื่องกับไฟฟ้า แผลไหม้อาจก่อความทุกข์ทางใจ
ประเภท | ชั้นที่เกี่ยวข้อง | การปรากฏ | ผิว | ความรู้สึก | เวลาหาย | พยากรณ์โรค | ตัวอย่าง |
---|---|---|---|---|---|---|---|
ระดับ 1 (ตื้น ๆ) |
หนังกำพร้า | ผิวแดงไร้ตุ่มพอง | แห้ง | เจ็บปวด | 5-10 วัน | หายได้ดี การไหม้แดดบ่อย ๆ จะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งผิวหนังภายหลังในชีวิต | |
ระดับ 2 แบบตื้น |
ไหม้ไปถึงหนังแท้ที่ผิว ๆ (papillary) | แดงโดยมีตุ่มพองใส ซีดถ้ากด | ชื้น/เปียก | เจ็บมาก | 2-3 สัปดาห์ | อักเสบรอบ ๆ (เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ) แต่ปกติไม่กลายเป็นแผลเป็น | |
ระดับ 2 แบบลึก |
ไหม้ไปถึงหนังแท้ส่วนลึก (reticular) | เหลืองหรือขาว ไม่ค่อยซีด อาจเป็นตุ่มพอง | ค่อนข้างแห้ง | ตึงและไม่สบาย | 3-8 สัปดาห์ | เป็นแผลเป็น ผิวตึง (อาจต้องตัดออกหรือปลูกถ่ายผิวหนัง) | |
ระดับ 3 | ไหม้ตลอดหนังแท้ | แข็ง มีสีขาว/น้ำตาลไม่ซีด | เหมือนหนังสัตว์ | ไม่เจ็บ | นาน (เป็นเดือน ๆ) ไม่หายสนิท | แผลเป็น ผิวตึง อาจต้องตัดออก (แนะนำให้ตัดออกตั้งแต่เนื่อง ๆ) | |
ระดับ 4 | ไหม้ตลอดหนัง เข้าไปถึงไขมัน กล้ามเนื้อ และกระดูกข้างใต้ | หนังตายล่อนเป็นสีดำ | แห้ง | ไม่เจ็บ | ต้องตัดออก | ตัดอวัยวะออก พิการอย่างสำคัญ และในบางกรณี ถึงตาย |
เหตุ
แผลไหม้มีเหตุจากสิ่งภายนอกต่าง ๆ รวมทั้งความร้อน สารเคมี ไฟฟ้า และการแผ่รังสี ในสหรัฐ เหตุสามัญที่สุดคือ ไฟ (ร้อยละ 44), ถูกลวก (ร้อยละ 33), วัตถุร้อน (ร้อยละ 9), ไฟฟ้า (ร้อยละ 4) และสารเคมี (ร้อยละ 3) โดยมากเกิดที่บ้าน (ร้อยละ 60) หรือที่ทำงาน (ร้อยละ 9) โดยมากเป็นอุบัติเหตุ มีร้อยละ 2 ถูกทำร้าย และ ร้อยละ 1-2 มาจากพยายามฆ่าตัวตาย เหตุเหล่านี้อาจก่อแผลไหม้ในทางเดินลมหายใจหรือปอด ซึ่งเกิดราว ๆ ร้อยละ 6 คนจนเกิดแผลไหม้มากกว่า การสูบบุหรี่และการติดเหล้าเป็นปัจจัยเสี่ยง แผลไหม้เนื่องกับไฟสามัญกว่าในเขตที่หนาวกว่า ปัจจัยเสี่ยงโดยเฉพาะของประเทศกำลังพัฒนารวมการหุงต้มด้วยไฟที่เปิดโล่งหรือด้วยไฟก่อที่พื้น ปัญหาพัฒนาการในเด็ก และโรคเรื้อรังในผู้ใหญ่
เหตุความร้อน
ในสหรัฐ ไฟและน้ำร้อนเป็นเหตุสามัญสุด สำหรับไฟไหม้ในบ้านที่ทำให้เสียชีวิต การสูบบุหรี่เป็นเหตุร้อยละ 25 และอุปกรณ์ทำความร้อนร้อยละ 22 เกือบครึ่งมีเหตุจากการพยายามดับไฟ การถูกลวกมีเหตุจากน้ำร้อนหรือแก๊สร้อน สามัญที่สุดเนื่องกับเครื่องดื่มร้อน, น้ำร้อนจากก๊อกน้ำหรือฝักบัวอาบน้ำในห้องน้ำ, น้ำมันประกอบอาหาร หรือจากไอน้ำ การถูกลวกสามัญที่สุดในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ โดยในสหรัฐและออสเตรเลีย เป็นคนไข้เกินกว่า 2/3 การถูกวัสดุร้อนเป็นเหตุแผลไหม้ของเด็กร้อยละ 20-30 ทั่วไปแล้ว การถูกลวกจะก่อแผลไหม้ระดับ 1 หรือ 2 แต่ก็อาจก่อระดับ 3 ด้วยเพราะติดแช่อยู่นานดอกไม้ไฟเป็นเหตุสามัญในช่วงเทศกาลวันหยุดในประเทศหลายประเทศ โดยเฉพาะสำหรับเด็กชายวัยรุ่น
เหตุสารเคมี
สารเคมีเป็นเหตุให้เกิดแผลไหม้ร้อยละ 2-11 แต่เป็นเหตุให้ตายเพราะแผลไหม้ถึงร้อยละ 30 มีสาร 25,000 อย่างที่อาจเป็นเหตุ โดยมากเป็นด่าง (ร้อยละ 55) หรือกรด (ร้อยละ 26) ที่มีฤทธิ์แรง การตายมักเกิดจากการกิน สารสามัญรวมทั้งกรดซัลฟิวริกในผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำ โซเดียมไฮโปคลอไรต์ในสารฟอกขาวที่พบในน้ำยาซักผ้าขาว และไฮโดรคาร์บอนที่เพิ่มแฮโลเจนดังที่พบในน้ำยาลอกสีเป็นต้นกรดไฮโดรฟลูออริกอาจก่อแผลลึกที่ไม่มีอาการจนกระทั่งหลังช่วงระยะหนึ่งกรดฟอร์มิกอาจทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงจำนวนมากแตก
เหตุไฟฟ้า
การบาดเจ็บเหตุไฟฟ้าอาจจัดหมู่เป็นแบบไฟฟ้าแรงสูง (>= 1,000 โวลต์) ไฟฟ้าแรงต่ำ (< 1,000 โวลต์) หรือแบบไฟวาบที่เกิดจากอาร์กไฟฟ้า เหตุหลักต่อเด็กเกิดจากสายไฟ (ร้อยละ 60) ตามด้วยปลั๊กไฟ (ร้อยละ 14)ฟ้าผ่าก็อาจเป็นเหตุได้ด้วย ปัจจัยเสี่ยงถูกฟ้าผ่ารวมทั้งการเล่นกีฬากลางแจ้งหรือทำงานกลางแจ้ง อัตราตายเหตุถูกฟ้าฝ่าอยู่ราว ๆ ร้อยละ 10 แม้การบาดเจ็บหลักเนื่องกับไฟฟ้าอาจเป็นแผลไหม้ แต่กระดูกก็อาจหักหรือข้ออาจหลุดเนื่องจากถูกกระแทกหรือเพราะการหดเกร็งกล้ามเนื้อ สำหรับไฟฟ้าแรงสูง ความเสียหายโดยมากอาจอยู่ข้างใน ดังนั้น จึงไม่สามารถรู้ว่าบาดเจ็บแค่ไหนเพียงตรวจดูแค่ผิวหนัง การถูกไฟช็อตไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้าแรงสูงหรือแรงต่ำก็ล้วนอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหัวใจหยุดเต้น
เหตุการแผ่รังสี
แผลไหม้เหตุการแผ่รังสีอาจมาจากการถูกรังสีอัลตราไวโอเลตนาน ๆ เช่น จากแสงอาทิตย์ จากการเชื่อมอาร์ก เป็นต้น หรือจากการแผ่รังสีแตกไอออน (ionizing radiation) เช่น จากการฉายรังสี จากเอกซเรย์ หรือจากฝุ่นกัมมันตรังสี การตากแดดเป็นเหตุสามัญสุดสำหรับแผลไหม้เหตุแผ่รังสี และสำหรับแผลไหม้ระดับ 1 ด้วย โดยเกิดขึ้นง่ายแค่ไหนขึ้นอยู่กับลักษณะผิว ผลของการแผ่รังสีแตกไอออนต่อผิวจะขึ้นอยู่กับว่าถูกนานแค่ไหน ผมอาจร่วงหลังจากได้ขนาด 3 เกรย์ ผิวแดงหลังจาก 10 เกรย์ หนังลอกหลังจาก 20 เกรย์ เนื้อตายหลังจาก 30 เกรย์ ถ้าผิวแดง อาจจะไม่ปรากฏจนสักระยะหนึ่ง ส่วนการรักษานั้นเหมือนกับแผลไหม้อื่น ๆ แผลไหม้เหตุไมโครเวฟเกิดจากความร้อนที่เนื่องกับคลื่นไมโครเวฟ แม้การถูกเพียงแค่ 2 วินาทีก็อาจก่อแผล แต่นี่ไม่สามัญ
เหตุที่ไม่ใช่อุบัติเหตุ
ในบุคคลที่เข้า ร.พ. เนื่องกับแผลไหม้เหตุไฟหรือถูกลวก ร้อยละ 3-10 เป็นเพราะถูกทำร้าย รวมทั้งทารุณกรรมต่อเด็ก ทะเลาะกันส่วนตัว ถูกคู่ครองทำร้าย คนแก่ถูกทำร้าย และทะเลาะกันเรื่องผลประโยชน์ การแช่ติดอยู่กับของร้อนหรือในน้ำร้อนอาจชี้ว่าเป็นทารุณกรรมต่อเด็ก ซึ่งอาจเกิดเมื่ออวัยวะปลาย ๆ หรือบางครั้งก้น ถูกกดให้แช่น้ำร้อน ปกติมีขอบบนที่ชัดเจนและมักจะเสมอกัน (symmetrical) โดยส่วนพับของผิวหนังอาจทำให้ส่วนนั้นไม่ไหม้ (เรียกในภาษาอังกฤษว่า "sock burns", "glove burns" หรือ "zebra stripes")
แผลไหม้จงใจด้วยไฟบุหรี่มักพบที่หน้า หลังมือ หรือหลังเท้า ตัวชี้ทารุณกรรมอื่น ๆ รวมทั้งแผลไหม้เป็นวง (circumferential burns) การไร้แผลที่เป็นรอยน้ำกระเซ็น แผลไหม้โดยลึกเท่า ๆ กัน และมีลักษณะอาการถูกละเลยและทารุณกรรมอื่น ๆ การเผาเจ้าสาวซึ่งเป็นทารุณกรรมในครอบครัวอย่างหนึ่งเกิดในวัฒนธรรมบางอย่าง เช่นอินเดียที่เผาผู้หญิงเพราะสามีหรือครอบครัวสามีคิดว่าได้สินสอดไม่พอ ในปากีสถาน กรดเป็นเหตุในอัตราร้อยละ 13 เมื่อจงใจทำร้ายผู้อื่นและมักเป็นทารุณกรรมในครอบครัว การเผาตนเองก็ใช้เป็นวิธีการประท้วงอย่างหนึ่งในที่ต่าง ๆ ของโลก
พยาธิสรีรวิทยา
เมื่ออุณหภูมิสูงกว่า 44 องศาเซลเซียส โปรตีนในเซลล์จะเริ่มเสียรูปแล้วสลาย มีผลให้เซลล์และเนื้อเยื่อเสียหาย การทำงานผิดปกติของผิวหนังเป็นผลของแผลไหม้ต่อสุขภาพโดยตรง รวมทั้งการเสียความรู้สึก การป้องกันไม่ให้เสียน้ำโดยระเหย และการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ปัญหาที่เยื่อหุ้มเซลล์ทำให้เซลล์เสียโพแทสเซียมออกนอกเซลล์แล้วได้น้ำกับโซเดียมเพิ่ม
สำหรับแผลใหญ่ (คือมากกว่าร้อยละ 30 ของผิวร่างกายทั้งหมด) จะมีการอักเสบอย่างสำคัญ ทำให้น้ำซึมออกมาจากหลอดเลือดฝอยยิ่งขึ้น แล้วทำให้บวมน้ำต่อมา ทำให้ปริมาตรของเลือดโดยรวมลดลง โดยเลือดที่เหลือก็จะเสียน้ำเลือด (พลาสมา) อย่างสำคัญ และทำให้เลือดข้นขึ้น เลือดที่ไหลได้แย่ลงไปยังอวัยวะต่าง ๆ เช่น ไตและทางเดินอาหาร อาจทำให้ไตวายและเกิดแผลเปื่อยในกระเพาะอาหาร (gastric ulcer)
แคเทโคลามีน (catecholamine) และคอร์ติซอล (cortisol) ที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ระดับเมแทบอลิซึมสูงผิดปกติเป็นปี ๆ ซึ่งทำให้หัวใจปั๊มเลือดมากขึ้น หัวใจเต้นเร็ว และภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
การวินิจฉัย
แผลไหม้อาจจัดหมวดตามความลึก เหตุให้เกิดแผล ขนาด และการบาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกัน หมวดที่ใช้มากที่สุดเป็นไปตามความลึก ซึ่งระบุด้วยการตรวจแผล แต่ก็อาจตัดเนื้อออกตรวจ การระบุความลึกให้แม่นยำโดยตรวจเพียงครั้งเดียวอาจยาก จึงอาจต้องตรวจซ้ำหลาย ๆ วัน สำหรับคนที่ปวดหรือเวียนหัวและมีแผลไหม้จากไฟ ควรพิจารณาภาวะคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นพิษด้วยไซยาไนด์เป็นพิษก็ควรพิจารณาด้วยเหมือนกัน
ตามขนาด
ขนาดจะวัดโดยสัดส่วนแผลไหม้เทียบกับพื้นที่ผิวร่างกายทั้งหมด (total body surface area ตัวย่อ TBSA) แผลระดับ 1 ที่ปรากฏเป็นสีแดงไร้ตุ่มพองไม่รวมอยู่ในการประเมินเช่นนี้ แผลไหม้โดยมาก (ร้อยละ 70) มีผลต่อพื้นที่ผิวร่างกายทั้งหมดน้อยกว่าร้อยละ 10 มีวิธีระบุสัดส่วนแผลไหม้หลายอย่างรวมทั้ง Wallace rule of nines (กฎเลขเก้าของวอลเลซ), Lund and Browder chart และวิธีประเมินขึ้นกับขนาดมือ กฎเลขเก้าจำได้ง่ายแต่แม่นสำหรับคนอายุมากกว่า 16 ปีเท่านั้น วิธี Lund and Browder chart จะแม่นกว่า เพราะใช้อัตราส่วนร่างกายที่ต่าง ๆ กันสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ขนาดมือของบุคคล (รวมฝ่ามือและนิ้ว) จะราว ๆ ร้อยละ 1 ของพื้นที่ผิวร่างกายทั้งหมด
กฎเลขเก้า (เข้ากับรูปที่แสดงได้) ระบุส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเป็นร้อยละเก้า ๆ รวมทั้ง แขนซ้าย (9%) แขนขวา (9%) ศีรษะกับคอ (9%) หน้าอก (9%) ท้อง (9%) หลังทั้งหมด (18%) ขาซ้าย (18%) ขาขวา (18%) และอวัยวะเพศ/บริเวณขาหนีบ (1%)
ความรุนแรง
น้อย | ปานกลาง | มาก |
---|---|---|
ผู้ใหญ่ <10% TBSA | ผู้ใหญ่ 10-20% TBSA | ผู้ใหญ่ >20% TBSA |
เด็กหรือคนชรา <5% TBSA | เด็กหรือคนชรา 5-10% TBSA | เด็กหรือคนชรา >10% TBSA |
ไหม้ลึก <2% | ไหม้ลึก 2-5% | ไหม้ลึก >5% |
บาดเจ็บเหตุไฟฟ้าแรงสูง | แผลไหม้เหตุไฟฟ้าแรงสูง | |
อาจบาดเจ็บเพราะสูดเข้าไป | รู้ว่าบาดเจ็บเพราะสูดเข้าไป | |
แผลไหม้เป็นวง | แผลไหม้อย่างสำคัญที่หน้า ข้อต่อ มือ หรือเท้า | |
ปัญหาสุขภาพอย่างอื่น | การบาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกันอื่น ๆ | |
เพื่อระบุการต้องส่งไปศูนย์รักษาแผลไหม้ สมาคมแผลไหม้อเมริกัน (American Burn Association) ได้สร้างระบบการจัดหมวดหมู่ขึ้นอย่างหนึ่ง ในระบบนี้ แผลไหม้อาจเป็นแบบมาก (major) ปานกลาง (moderate) หรือน้อย (minor) ประเมินโดยอาศัยปัจจัยหลายอ่าง รวมทั้งพื้นที่ผิวร่างกายทั้งหมดที่ไหม้ อวัยวะต่าง ๆ ที่ไหม้ อายุ และการบาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกัน แบบน้อยปกติรักษาได้ที่บ้าน แบบปานกลางมักรักษาที่ รพ. และแบบมากรักษาที่ศูนย์รักษาแผลไหม้
การป้องกัน
ตามประวัติแล้ว แผลไหม้ราว ๆ ครึ่งเชื่อว่าป้องกันได้ โปรแกรมป้องกันการถูกไหม้ได้ลดอัตราแผลไหม้แบบหนักได้อย่างสำคัญ วิธีการป้องกันรวมทั้งจำกัดอุณหภูมิน้ำร้อน เครื่องตรวจควันไฟ ระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิง การสร้างอาคารที่ดี และเสื้อผ้ากันไฟ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ตั้งอุณหภูมิเครื่องทำน้ำร้อนให้ต่ำกว่า 48.8 องศาเซลเซียส วิธีอื่นเพื่อป้องกันน้ำลวกรวมการใช้เทอร์มอมิเตอร์วัดอุณหภูมิน้ำอาบ อุปกรณ์กันกระเด็นที่ใช้กับภาชนะหุงต้ม แม้ผลของกฎหมายควบคุมดอกไม้ไฟจะไม่ชัดเจน แต่ก็มีหลักฐานในเบื้องต้นว่ามีประโยชน์ รวมทั้งการจำกัดขายให้เด็ก
การรักษา
การรักษาพยาบาลเริ่มตั้งแต่ประเมินและรักษาเสถียรภาพทางลมหายใจของบุคคล ของการหายใจ และของการเดินเลือด ถ้าสงสัยว่าสูดความร้อนเข้าไปด้วย การช่วยหายใจด้วยหลอดหายใจอาจจำเป็นตั้งแต่เนื่อง ๆ แล้วจึงรักษาแผลไหม้ คนที่มีแผลใหญ่อาจต้องพันด้วยผ้าสะอาดจนกว่าจะมาถึง รพ. เพราะแผลไหม้เสี่ยงติดเชื้อ ก็จะให้วัคซีนบาดทะยักถ้าไม่ได้ฉีดสร้างภูมิคุ้มกันไว้ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ในสหรัฐ คนไข้แผลไหม้ร้อยละ 95 ที่มายังแผนกฉุกเฉินจะได้รักษาแล้วให้กลับบ้าน ที่เหลือต้องเข้ารักษาใน รพ. ถ้าแผลใหญ่ ต้องให้อาหารตั้งแต่เนื่อง ๆ ควรได้โปรตีนเพิ่ม โดยสารอาหารรอง (trace element) และวิตามินก็มักจำเป็น ในสถานพยาบาลที่มี การให้ออกซิเจนด้วยหีบให้ออกซิเจนในแรงดันอากาศสูง (hyperbaric oxygenation) เพิ่มอาจมีประโยชน์
น้ำเกลือ
สำหรับผู้ที่เลือดไหลเวียนไม่ดี (poor tissue perfusion) ควรให้น้ำเกลือแบบ isotonic crystalloid solution (สารละลายคริสแทลลอยด์ซึ่งมีความดันออสโมซิสเสมอเลือด) ในเด็กที่มีผิวไหม้เป็นเนื้อที่ (ของ total body surface area หรือ TBSA) ร้อยละ 10-20 และผู้ใหญ่ที่มีมากกว่าร้อยละ 15 ควรให้น้ำเกลือและตามเฝ้าสังเกต ในผู้ที่มี TBSA ยิ่งกว่าร้อยละ 25 ควรทำเช่นนี้แม้ก่อนไปถึง รพ. ถ้าเป็นไปได้ สูตรพาร์กแลนด์ (Parkland formula) สามารถใช้ระบุปริมาตรน้ำเกลือที่ต้องให้ใน 24 ชม. แรก เป็นสูตรที่ผลลัพธ์แปรไปตามพื้นที่แผลไหม้เป็นอัตราของ TBSA และน้ำหนัก น้ำเกลือครึ่งหนึ่งจะให้ใน 8 ชม. แรก และที่เหลือใน 16 ชม. ต่อมา เวลาจะคำนวณเริ่มเมื่อถูกไหม้ ไม่ใช่เริ่มตั้งแต่ให้น้ำเกลือ เด็กต้องได้น้ำเกลือประเภทอื่น ๆ รวมทั้งกลูโคส อนึ่ง ผู้ที่บาดเจ็บทางเดินลมหายใจด้วยต้องได้น้ำเกลือมากกว่า แม้การให้ไม่พออาจเป็นปัญหา แต่การให้เกินก็มีผลลบด้วย สูตรเป็นเพียงแค่แนวปฏิบัติ ควรปรับให้ได้ปัสสาวะ >30 มล./ชม. ในผู้ใหญ่ หรือ >1 มล./กก. ในเด็ก โดยมีความดันเลือดแบบ mean arterial pressure (MAP) ยิ่งกว่า 60 mmHg แม้จะมักใช้น้ำเกลือแบบ lactated Ringer's solution แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่าดีกว่าน้ำเกลือธรรมดา (normal saline) น้ำเกลือแบบคริสแทลลอยด์ดูเหมือนจะดีเท่า ๆ กับแบบคอลลอยด์ (colloid) แต่เพราะแบบหลังแพงกว่าจึงไม่แนะนำการถ่ายเลือดจำเป็นในกรณีจำนวนน้อย ซึ่งแนะนำก็ต่อเมื่อระดับเฮโมโกลบินตกต่ำกว่า 60-80 ก./ล. (6-8 ก./ดล.) เพราะเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน เข็มให้น้ำเกลืออาจสอดผ่านผิวที่ไหม้ถ้าจำเป็น หรืออาจให้ผ่านไขกระดูก (intraosseous infusion)
การพยาบาลแผล
การแช่เย็นตั้งแต่เนื่อง ๆ (ภายใน 30 นาทีหลังเกิดเหตุ) ลดความลึกของแผลและความเจ็บ แต่ถ้าทำมากเกินไปก็อาจทำให้ตัวเย็นเกิน ควรทำด้วยน้ำเย็นอุณหภูมิระหว่าง 10-25 องศาเซลเซียส โดยไม่ใช้น้ำแข็งเพราะอาจทำให้แย่ลง แผลไหม้เหตุสารเคมีอาจต้องล้างให้มาก ๆ การทำความสะอาดด้วยสบู่และน้ำ, การเอาเนื้อตายออก และการปิดแผลเป็นเรื่องสำคัญ ถ้ามีตุ่มพองที่ยังไม่แตก ไม่ชัดเจนว่าควรทำอย่างไร มีหลักฐานในเบื้องต้นบ้างว่า ควรทิ้งไว้เฉย ๆ แผลไหม้ระดับสองควรตรวจอีกหลังจาก 2 วัน สำหรับแผลไหม้ระดับ 1 และ 2 การปิดแผลเช่นไรดีมีแต่หลักฐานคุณภาพไม่ดี การไม่ปิดแผลไหม้ระดับ 1 นั้นเหมาะสม
แม้มักจะแนะนำยาทาปฏิชีวนะ แต่ก็มีหลักฐานสนับสนุนน้อย ยาปฏิชีวนะซิลเวอร์ซัลฟาไดอะซีน (silver sulfadiazine) ไม่แนะนำเพราะอาจทำให้หายช้า มีหลักฐานไม่เพียงพอสนับสนุนให้ใช้ผ้าปิดที่มีซิลเวอร์ หรือการปิดแผลแบบดูดอากาศลดความดัน (negative-pressure wound therapy) ซิลเวอร์ซัลฟาไดอะซีนดูไม่ต่างกับโฟมมีซิลเวอร์เพื่อช่วยให้แผลหาย
ยา
แผลไหม้อาจเจ็บมาก แต่ก็มีวิธีลดความเจ็บ เช่นใช้ยาระงับปวดธรรมดา ๆ เช่น ไอบิวพรอเฟนและพาราเซตามอล และใช้ยากลุ่มโอปิออยด์ เช่น มอร์ฟีน ยากลุ่มเบ็นโซไดอาเซพีนอาจให้พร้อมกับยาระงับปวดเพื่อลดความวิตกกังวล เมื่อกำลังหาย อาจนวด ใช้สารต้านฮิสตามีน หรือการกระตุ้นประสาทผ่านผิว (transcutaneous electrical nerve stimulation) เพื่อแก้คัน แต่สารต้านฮิสตามีนก็ได้ผลเพื่อจุดประสงค์นี้เพียงในคนไข้ร้อยละ 20 มีหลักฐานเบื้องต้นสนับสนุนให้ใช้ยา gabapentin (ปกติใช้รักษาโรคลมชัก ความเจ็บปวดเหตุโรคเส้นประสาท อาการวัยทอง อาการขาอยู่ไม่เป็นสุข) คืออาจสมควรกับคนที่ไม่ดีขึ้นเมื่อใช้สารต้านฮิสตามีน ลิโดเคน (lidocaine) ที่ให้ทางเส้นเลือดต้องมีงานศึกษาเพิ่มขึ้นก่อนจะแนะนำให้ใช้แก้ปวด
การให้ยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือดแนะนำก่อนการผ่าตัดสำหรับคนไข้ที่ไหม้มาก (>60% TBSA) จนถึงปี 2008 แนวทางปฏิบัติต่าง ๆ ไม่แนะนำให้ทำอย่างนี้โดยทั่วไปเพราะแบคทีเรียอาจดื้อยา และเพราะเสี่ยงติดเชื้อรา แต่หลักฐานเบื้องต้นก็แสดงว่า อาจเพิ่มอัตรารอดชีวิตสำหรับคนไข้ที่มีแผลไหม้ใหญ่และรุนแรง แต่ไซโตไคน์แบบไกลโคโปรตีนคือ อิริโทรพอยเอติน (Erythropoietin) ก็ไม่พบว่ามีผลป้องกันหรือรักษาภาวะเลือดจางในคนไข้แผลไหม้ ในกรณีที่มีเหตุจากกรดไฮโดรฟลูออริก แคลเซียมกลูโคเนต (calcium gluconate) เป็นยาแก้พิษโดยเฉพาะ และอาจให้ทางเส้นเลือดและ/หรือใช้ทา ฮอร์โมนการเติบโตของมนุษย์แบบลูกผสม (recombinant human growth hormone ตัวย่อ rhGH) ในกรณีที่ไหม้เกินร้อยละ 40 ปรากฏว่า ช่วยให้หายเร็วขึ้นแม้ไม่มีผลต่อความเสี่ยงตาย การใช้สเตอรอยด์รักษาไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน
การผ่าตัด
แผลที่ต้องปิดด้วยการปลูกถ่ายหนัง (skin graft) หรือแผ่นเนื้อเยื่อปะปลูก (flap) ควรทำให้เร็วที่สุด โดยปกติคือแผลซึ่งยิ่งกว่าแผลไหม้ระดับ 3 เล็ก ๆ แผลไหม้เป็นวงของแขนขาหรือหน้าอกอาจต้องผ่าตัดเอาหนังออกที่เรียกว่า escharotomy เพื่อป้องกันปัญหาเกี่ยวกับการเดินเลือดหรือการหายใจ ไม่ชัดเจนว่านี่มีประโยชน์สำหรับแผลที่คอหรือนิ้วหรือไม่ การผ่าตัดพังผืด (fasciotomy) อาจจำเป็นสำหรับแผลไหม้เหตุไฟฟ้า การปลูกถ่ายหนังอาจใช้สิ่งทดแทนหนังชั่วคราว ไม่ว่าจะได้จากสัตว์ (มนุษย์ผู้บริจาคหรือหมู) หรืออาจสังเคราะห์ โดยใช้ปิดแผล ป้องกันการติดเชื้อและการเสียน้ำ แต่ในที่สุดก็จะเอาออก หรือว่า หนังมนุษย์ที่ปลูกถ่ายอาจติดอย่างถาวรถ้าไม่มีปฏิกิริยาปฏิเสธสิ่งปลูกถ่าย
ไม่มีหลักฐานว่าการใช้คอปเปอร์ซัลเฟตเพื่อให้เห็นอนุภาคฟอสฟอรัสแล้วเอาออกจะช่วยให้แผลหายสำหรับแผลไหม้เหตุฟอสฟอรัส และการดูดซึมคอปเปอร์ซัลเฟตเข้าในเลือดก็มีผลร้าย
แพทย์ทางเลือก
น้ำผึ้งใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณเพื่อช่วยรักษาแผลและอาจมีประโยชน์สำหรับแผลไหม้ระดับ 1 และ 2 มีหลักฐานพอควรว่ามันช่วยแผลที่ไม่ไหม้ตลอดหนัง หลักฐานสนับสนุนให้ใช้ว่านหางจระเข้มีคุณภาพไม่ดี แม้อาจช่วยลดความเจ็บ และงานทบทวนวรรณกรรมของกลุ่มแพทย์ไทยปี 2007 พบหลักฐานเบื้องต้นว่าช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น แต่งานทบทวนต่อ ๆ มาตั้งแต่ปี 2012 ก็ไม่พบว่าดีกว่าซิลเวอร์ซัลฟาไดอะซีน มีงานทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมเพียง 3 งานที่ใช้พืชรักษาแผลไหม้ คือมี 2 งานเกี่ยวกับว่านหางจระเข้ และงานหนึ่งเกี่ยวกับข้าวโอ๊ต
มีหลักฐานน้อยว่าวิตามินอีช่วยไม่ให้เป็นแผลเป็น ไม่แนะนำให้ใช้เนย ในประเทศมีรายได้น้อย แผลไหม้จะรักษาด้วยแพทย์แผนโบราณอาจถึง 1/3 ซึ่งรวมการทาไข่ โคลน ใบสมุนไพร หรือมูลโค การผ่าตัดจะจำกัดในบางกรณีเพราะจนหรือไม่มีหมอ มีวิธีอื่น ๆ นอกจากยาที่สามารถลดความเจ็บปวดและความวิตกกังวลรวมทั้งการบำบัดด้วยความเป็นจริงเสมือน (virtual reality therapy) การสะกดจิต และวิธีการทางพฤติกรรมต่าง ๆ รวมทั้งวิธีหลอกล่อใจ
พยากรณ์โรค
TBSA | อัตราตาย |
---|---|
0-9% | 0.6% |
10-19% | 2.9% |
20-29% | 8.6% |
30-39% | 16% |
40-49% | 25% |
50-59% | 37% |
60-69% | 43% |
70-79% | 57% |
80-89% | 73% |
90-100% | 85% |
หายใจเข้า | 23% |
พยากรณ์โรคแย่กว่าสำหรับผู้มีแผลใหญ่ คนมีอายุมากกว่า และหญิง การบาดเจ็บเพราะหายใจเอาควันเข้า, การบาดเจ็บสำคัญอื่น ๆ เช่น กระดูกยาวแตก/หัก และการมีสภาพหนักอย่างอื่นร่วม (เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคทางจิตเวช และการตั้งใจฆ่าตัวตาย) ก็มีผลต่อพยากรณ์โรคด้วย ในสหรัฐโดยเฉลี่ย ผู้ที่รับเข้าศูนย์แผลไหม้เฉพาะทางร้อยละ 4 เสียชีวิต โดยผลที่ได้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแผล ยกตัวอย่างเช่น คนไข้ที่มีแผลไหม้น้อยกว่า 10% TBSA มีอัตราตายน้อยกว่า 1% และคนไข้ที่มีแผลไหม้ยิ่งกว่า 90% TBSA มีอัตราตาย 85% แต่ในอัฟกานิสถาน คนไข้ที่มีแผลไหม้เกิน 60% TBSA ไม่ค่อยรอด
ระบบ Baux score ได้ใช้เพื่อคำนวณพยากรณ์โรคสำหรับแผลไหม้แบบหนัก การคำนวณดั้งเดิมบวกขนาดแผลไหม้ (% TBSA) กับอายุคนไข้ แล้วใช้ผลลัพธ์เป็นอัตราความเสี่ยงตาย แต่เพราะการพยาบาลได้ดีขึ้น ปัจจุบันนี้จึงไม่ค่อยแม่น หนังสือแพทย์ปี 2016 ระบุว่า โดยขึ้นอยู่กับศูนย์แพทย์ คะแนนที่ระบุว่าคนไข้ไม่สามารถรอดชีวิตได้อยู่ที่ 160 และคะแนนที่ระบุว่าคนไข้อาจรอดชีวิตครึ่งหนึ่งอยู่ที่ 110 โดยจะบวกเพิ่มอีก 17 คะแนนถ้าคนไข้บาดเจ็บเนื่องจากสูดความร้อนเข้าไปด้วย
แผลไหม้ในปี 2013 ทำให้สูญเสียปีสุขภาวะ 12.3 ล้านปี และก่อปีที่บุคคลอยู่อย่างพิการ 1.2 ล้านปี
ภาวะแทรกซ้อน
อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง โดยการติดเชื้อสามัญที่สุด ตามลำดับโอกาสการเกิด ภาวะแทรกซ้อนรวมทั้งปอดบวม เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (cellulitis) การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และการหายใจล้มเหลว ปัจจัยเสี่ยงการติดเชื้อรวมทั้ง แผลไหม้เกิน 30% TBSA แผลไหม้ตลอดหนัง (ระดับ 3) อายุน้อยมากหรือแก่มาก แผลไหม้ที่ขาหรือฝีเย็บ ปอดบวมเกิดบ่อยเป็นพิเศษสำหรับผู้สูดความร้อนเข้าไปภาวะเลือดจางเหตุแผลไหม้ตลอดหนังที่กินพื้นที่ยิ่งกว่า 10% TBSA เป็นเรื่องสามัญ แผลไหม้เหตุไฟฟ้าอาจก่ออาการ compartment syndrome (เนื้อเยื่อมีเลือดเลี้ยงไม่พอเพราะแรงดันที่เพิ่มขึ้นในส่วนของร่างกาย) หรือ rhabdomyolysis (กล้ามเนื้อโครงร่างที่เสียหายเกิดสลายตัวอย่างรวดเร็ว) เพราะกล้ามเนื้อเสียหาย ภาวะลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำที่ขาประเมินว่าเกิดกับคนไข้ร้อยละ 6-25 ระดับเมแทบอลิซึมที่สูงเป็นปี ๆ หลังแผลไหม้หนักอาจทำให้กระดูกหนาแน่นน้อยลงและเสียกล้ามเนื้อ อาจเป็นแผลเป็นหลังจากหาย โดยเฉพาะในเด็กผิวเข้ม หลังจากเกิดเหตุการณ์ เด็กอาจมีปัญหาทางจิตใจอย่างสำคัญและมีความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ (PTSD) แผลเป็นอาจก่อความคิดความรู้สึกกับร่างกายของตนที่ไม่ดี (disturbance in body image) ในประเทศกำลังพัฒนา แผลไหม้ขนาดสำคัญอาจมีผลให้ถูกแยกตัวออกทางสังคม, ยากจนอย่างรุนแรง และทิ้งลูก
วิทยาการระบาด
ในปี 2015 ไฟและความร้อนทำให้บาดเจ็บ 67 ล้านครั้ง ซึ่งทำให้เข้า รพ. 2.9 ล้านครั้งและคนเสียชีวิต 238,000 ราย โดยลดลงจาก 300,000 คนในปี 1990 จึงจัดเป็นเหตุบาดเจ็บอันดับ 4 รองจากอุบัติเหตุยานยนต์ การตก และความรุนแรง แผลไหม้ร้อยละ 90 เกิดในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งให้เหตุผลว่าเป็นเพราะอยู่กันอย่างแออัดและหุงต้มอย่างไม่ปลอดภัย โดยรวม แผลไหม้ถึงตายเกือบร้อยละ 60 เกิดในเอเชียอาคเนย์โดยมีอัตรา 11.6 คนต่อประชากร 100,000 คน จำนวนคนไข้แผลไหม้ถึงตายได้ลดลงจาก 280,000 คนในปี 1990 เหลือ 176,000 คนในปี 2015 ในประเทศพัฒนาแล้ว ชายผู้ใหญ่มีอัตราตายเหตุแผลไหม้เป็นทวีคูณของหญิง โดยน่าจะเป็นเพราะมีอาชีพและกิจกรรมที่เสี่ยงกว่า แต่ในประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ หญิงเสี่ยงเป็นทวีคูณเทียบกับชาย โดยมักเกี่ยวกับอุบัติเหตุในครัวหรือความรุนแรงในครอบครัว ในเด็กประเทศกำลังพัฒนา ความตายเหตุแผลไหม้เกิดในอัตราเป็นสิบ ๆ เท่าของประเทศพัฒนาแล้ว รวม ๆ แล้วสำหรับเด็ก มันเป็นเหตุการเสียชีวิตหนึ่งในท๊อป 15 ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1980 จนถึงปี 2004 อัตราแผลไหม้จนเสียชีวิตและอัตราการเกิดแผลไหม้ทั่วไปได้ลดลงในประเทศหลาย ๆ ประเทศ
ประเทศพัฒนาแล้ว
การบาดเจ็บเหตุแผลไหม้ประมาณ 500,000 รายได้รับการรักษาต่อปีในสหรัฐ ทำให้เสียชีวิตราว ๆ 3,300 รายในปี 2008 การบาดเจ็บ (ร้อยละ 70) และการเสียชีวิตเหตุแผลไหม้โดยมากเกิดกับผู้ชาย แผลไหม้เพราะไฟเกิดมากที่สุดในคนอายุระหว่าง 18-35 ปี เทียบกับการถูกลวกที่เกิดมากสุดในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบและคนชราอายุเกิน 65 ปี แผลไหม้เหตุไฟฟ้าทำให้คนเสียชีวิต 1,000 รายต่อปี ฟ้าผ่าทำให้คนเสียชีวิต 60 รายต่อปี ในยุโรป แผลไหม้แบบตั้งใจเกิดกับชายวัยกลางคนบ่อยสุด
ประเทศกำลังพัฒนา
ในอินเดีย คนประมาณ 7-8 แสนคนต่อปีได้แผลไหม้ที่สำคัญ แต่น้อยคนมากที่จะได้ดูแลในศูนย์รักษาแผลไหม้ อัตราสูงสุดเกิดในหญิงอายุระหว่าง 16-35 ปี เหตุส่วหนึ่งก็เพราะครัวไม่ปลอดภัยและเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่หลวม ๆ ตามปกติของคนอินเดีย ประเมินว่า กรณี 1/3 เกิดจากเสื้อผ้าติดไฟจากไฟที่เปิดโล่ง แผลไหม้ที่จงใจเป็นเรื่องสามัญและเกิดในอัตราสูงในหญิงอายุน้อย โดยเกิดจากความรุนแรงในครอบครัวและการทำร้ายตัวเอง
ประวัติ
ภาพวาดถ้ำจาก 3,500 ปีกว่าได้บันทึกเรื่องแผลไหม้และวิธีรักษา บันทึกการรักษาแผลไหม้อียิปต์ที่เก่าแก่สุดกล่าวถึงผ้าปิดแผลที่ใช้กับนมของมารดาที่มีทารกชาย และพาไพรัสของเอดวินสมิทเมื่อ 1,500 ปีก่อน ค.ศ. กล่าวถึงการรักษาด้วยน้ำผึ้งและยาทาที่ทำจากพืช มีวิธีการรักษาอื่น ๆ ที่ใช้ในประวัติศาสตร์ รวมทั้งใบชาที่พบในบันทึกจีน 600 ปีก่อน ค.ศ., ไขมันหมูและน้ำส้มสายชูโดยฮิปพอคราทีสเมื่อ 400 ปีก่อน ค.ศ. และไวน์กับยางไม้หอม (myrrh) โดยนักสารานุกรมชาวโรมัน Aulus Cornelius Celsus ที่บันทึกไว้เมื่อ 100 ปีก่อน ค.ศ. ช่างตัดผม-นักผ่าตัด ชาวฝรั่งเศส Ambroise Paré เป็นผู้กล่าวถึงแผลไหม้ระดับต่าง ๆ เป็นคนแรกในคริสต์ทศวรรษ 1500 ส่วนแพทย์ชาวฝรั่งเศสกีโยม ดิวพวีแตรน (Guillaume Dupuytren) ได้ขยายระดับเช่นนี้เป็นถึง 6 ระดับในปี 1832
รพ. รักษาแผลไหม้แห่งแรกได้เปิดในกรุงลอนดอนปี 1843 และการพัฒนาวิธีการรักษาแผลไหม้ตามที่พบในปัจจุบันก็เริ่มเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นักเคมีชาวอังกฤษ Henry Drysdale Dakin และศัลยแพทย์ชาวฝรั่งเศส Alexis Carrel ได้พัฒนามาตรฐานการทำความสะอาดและการฆ่าเชื้อแผลกับแผลไหม้โดยใช้สารละลายโซเดียมไฮโปคลอไรต์ซึ่งลดอัตราตายอย่างสำคัญ ในคริสต์ทศวรรษ 1940 ความสำคัญในการตัดหนัง/อวัยวะออกและการปลูกถ่ายหนังก็รู้แล้ว ในเวลาเดียวกัน การให้น้ำเกลือและสูตรการให้ก็ได้พัฒนาขึ้น ในคริสต์ทศวรรษ 1970 นักวิจัยได้แสดงความสำคัญของภาวะมีเมแทบอลิซึมเกินที่ติดตามแผลไหม้ขนาดใหญ่
เชิงอรรถ
- National Burn Repository (PDF). American Burn Association. 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2016-03-03. สืบค้นเมื่อ 2013-04-20.
แหล่งข้อมูลอื่น
การจำแนกโรค | |
---|---|
ทรัพยากรภายนอก |
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: แผลไหม้ |
- Parkland Formula เก็บถาวร 2016-11-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- "Burns". MedlinePlus. U.S. National Library of Medicine.
หลัก | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
Assessment |
|
||||||||
Management |
|
||||||||
Pathophysiology |
|
||||||||
ผลตาม |