Мы используем файлы cookie.
Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.

ขนาดองคชาตมนุษย์

Подписчиков: 0, рейтинг: 0

โดยทั่วไปการวัดขนาดองคชาตมนุษย์จะวัดความยาวและเส้นรอบวงในขณะองคชาตแข็งตัวเต็มที่

องคชาตมนุษย์มีขนาดแตกต่างกันไปตามการวัด นั่นคือ ความยาวและเส้นรอบวงขณะอ่อนตัวและแข็งตัว นอกจากความผันแปรตามธรรมชาติในองคชาตมนุษย์โดยทั่วไปแล้ว ยังมีปัจจัยที่ทำให้เกิดความแตกต่างเล็กน้อยในผู้ชายแต่ละคนด้วย เช่น ระดับของอารมณ์ทางเพศ ช่วงเวลาของวัน อุณหภูมิห้อง ระดับความวิตกกังวล กิจกรรมกีฬา และความถี่ของกิจกรรมทางเพศ เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์อื่นในอันดับวานร เช่น กอริลลา แล้ว องคชาตมนุษย์นั้นมีความหนาที่สุดทั้งในแง่สัมบูรณ์และสัมพัทธ์กับส่วนอื่นของร่างกาย

การวัดขนาดนั้นจะแตกต่างกันไป การศึกษาที่อาศัยการวัดขนาดด้วยคนเองจะมีรายงานค่าเฉลี่ยที่สูงกว่าการศึกษาที่วัดขนาดโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ณ พ.ศ. 2558 การปริทัศน์เป็นระบบซึ่งสรุปผลจากการศึกษาประชากรวิจัยเพศชายฉบับต่าง ๆ รวมจำนวน 15,521 โดยล้วนแต่เป็นการศึกษาที่ใช้วิธีวัดขนาดด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพนั้น สรุปได้ว่า ความยาวเฉลี่ยขององคชาตมนุษย์ขณะแข็งตัวมีค่าเท่ากับ 13.12 ซม. (5.17 นิ้ว) ขณะที่เส้นรอบวงเฉลี่ยขององคชาตมนุษย์ขณะแข็งตัวมีค่าเท่ากับ 11.66 ซม. (4.59 นิ้ว) ความยาวขององคชาตขณะอ่อนตัวอาจเป็นสิ่งที่ใช้ทำนายความยาวขณะแข็งตัวได้ไม่ดีนัก

องคชาตมนุษย์ ขณะอ่อนตัวและแข็งตัว แสดงให้เห็นว่าความยาวขณะอ่อนตัวไม่สามารถทำนายตวามยาวขณะแข็งตัวได้ดีนัก

การเจริญขององคชาตมนุษย์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างวัยทารกถึงอายุห้าปี และระหว่างประมาณหนึ่งปีหลังการเริ่มของวัยเริ่มเจริญพันธุ์ไปจนถึงอย่างช้าที่สุดประมาณอายุ 17 ปี

งานวิจัยพบว่าขนาดองคชาตและขนาดของอวัยวะอื่นของร่างกาย ไม่มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่นอกเหนือจากพันธุกรรมสามารถส่งผลต่อความยาวได้ เช่น การปรากฏของสารรบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่ออาจส่งผลต่อการเจริญขององคชาตได้ ส่วนองคชาตที่มีความยาวขณะแข็งตัวน้อยกว่า 7 ซม. (2.8 นิ้ว) แต่มีลักษณะปรากฏปรกติ ในทางการแพทย์จะเรียกว่า ไมโครเพนิส (micropenis)

การศึกษา

การกระจายด้านความยาวของขนาดองคชาต ร้อยละ 45 ขององคชาตขณะแข็งตัวจะมีความยาวระหว่าง 12 ถึง 14 ซม.
การกระจายด้านความยาวเส้นรอบวงของขนาดองคชาต ร้อยละ 81 ขององคชาตขณะแข็งตัว (แท่งสีเขียว) จะมีความยาวเส้นรอบวงระหว่าง 10 ถึง 13 ซม.
เปอร์เซ็นไทล์ของความยาวองคชาต
เปอร์เซ็นไทล์ของเส้นรอบวงองคชาต

แม้ว่าผลลัพธ์จากการศึกษาที่มีชื่อเสียงจะแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ก็มีความสอดคล้องกันในมัชฌิมของความยาวองคชาตขณะแข็งตัว ซึ่งอยู่ในช่วง 12.9–15 ซม. (5.1–5.9 นิ้ว)

งานวิจัยทางการแพทย์เรื่องขนาดองคชาตกว่า 30 ปีชิ้นหนึ่งซึ่งใช้กระบวนวิธีการปริทัศน์เป็นระบบโดยวีลและคณะซึ่งตีพิมพ์ลงในวารสารทางการแพทย์ บีเจยูอินเตอร์เนชันแนล ใน พ.ศ. 2558 แสดงผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกัน โดยความยาวเฉลี่ยขณะอ่อนตัว ขณะอ่อนตัวและจับยืดจนสุด และขณะแข็งตัวอยู่ที่ 9.16 ซม. 13.24 ซม. และ 13.12 ซม. ตามลำดับ และความยาวเส้นรอบวงเฉลี่ยขณะอ่อนตัวและแข็งตัวอยู่ที่ 9.31 ซม. และ 11.66 ซม. ตามลำดับ ความยาวขณะแข็งตัวที่ปรากฏในงานวิจัยนั้นใช้การวัดขนาดโดยดันนวมไขมันหัวหน่าวลงไปให้ติดกระดูก และความยาวเส้นรอบวงทั้งขณะอ่อนตัวและแข็งตัวใช้การวัดที่โคนหรือกลางลำขององคชาต

ความยาว

อ่อนตัว

การศึกษาชิ้นหนึ่ง (ตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2539) พบว่าค่าเฉลี่ยความยาวองคชาตขณะอ่อนตัวอยู่ที่ 3.5 นิ้ว (8.9 ซม.) (วัดโดยเจ้าหน้าที่) การตรวจงานศึกษาจำนวนหลายชิ้นพบว่าความยาวเฉลี่ยขณะอ่อนตัวอยู่ที่ 9–10 ซม. (3.5–3.9 นิ้ว) ความยาวองคชาตขณะอ่อนตัวไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความยาวองคชาตขณะแข็งตัว ซึ่งบางครั้งองคชาตที่มีขนาดขณะอ่อนตัวเล็กกว่า สามารถขยายตัวได้ยาวเป็นอย่างมาก ขณะที่บางครั้งองคชาตที่มีขนาดขณะอ่อนตัวยาวกว่า อาจขยายตัวได้น้อยกว่า

องคชาตและถุงอัณฑะสามารถหัดตัวได้โดยอัตโนมัติเมื่อสัมผัสกับอุณหภูมิที่เย็นจัด ระดับความวิตกกังวลหรือความเครียด และการมีส่วนร่วมในกีฬา การลดลงของขนาดองคชาตขณะอ่อนตัวเกิดจากการกระทำของกล้ามเนื้อครีมาสเตอร์ ปรากฏการณ์เดียวกันนี้ยังส่งผลกระทบต่อนักปั่นจักรยานและผู้ที่ออกกำลังกายโดยใช้จักรยานด้วย เนื่องจากแรงกดที่ฝีเย็บจากอานจักรยานเป็นเวลานาน และการฉีกจากการออกกำลังกายทำให้องคชาตและถุงอัณฑะหดตัวโดยอัตโนมัติ อานจักรยานที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลให้เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้ (ดูเพิ่มเติม ความดันหว่างขา (en) สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม) บุคคลที่มีภาวะฮาร์ดแฟลคซิดหรือโรคของอุ้งเชิงกรานอื่นอาจทำให้องคชาตมีขนาดเล็กอย่างผิดปกติชั่วคราวได้

ยืด

ทั้งอายุและขนาดองคชาตขณะอ่อนตัวไม่สามารถใช้ทำนายความยาวองคชาตขณะแข็งตัวได้อย่างแม่นยำ ความยาวองคชาตขณะอ่อนตัวที่จับยืดจนสุดอาจมีความสัมพันธ์กับความยาวแข็งตัวได้ในบางกรณี อย่างไรก็ตาม การศึกษายังแสดงให้เห็นความแตกต่างอย่างมากระหว่างความยาวแบบยืดและความยาวขณะแข็งตัว การศึกษาหนึ่งพบว่าต้องใช้แรงตึงเชือกขั้นต่ำประมาณ 450 g ในระหว่างการยืดองคชาตเพื่อให้มีความยาวถึงความยาวขณะแข็งตัวเต็มที่ การศึกษาชิ้นนี้ยังพบว่าแรงตึงเชือกที่กระทำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะในการศึกษานี้ มีค่าต่ำกว่า 450 g อย่างมีนัยสำคัญ (P<0.01) ซึ่งสิ่งนี้อาจอธิบายความแตกต่างระหว่างความยาวแบบยืดและความยาวขณะแข็งตัวได้

  • การศึกษาใน พ.ศ. 2558 จากเพศชายจำนวน 15,521 คนพบว่า ความยาวเฉลี่ยขององคชาตขณะอ่อนตัวที่ยืดออกจนสุดอยู่ที่ 13.24 ซม. (5.21 นิ้ว) ซึ่งใกล้เคียงกับความยาวเฉลี่ยขององคชาตขณะแข็งตัวซึ่งอยู่ที่ 13.12 ซม. (5.17 นิ้ว)
  • การศึกษาใน พ.ศ. 2544 จากเพศชายประมาณ 3,300 คน ซึ่งได้ตีพิมพ์ลงในวารสารยูโรเปียนยูโรโลจี สรุปว่า ความยาวเฉลี่ยขององคชาตขณะอ่อนตัวที่ถูกยืดจนสุดวัดได้ประมาณ 12.5 ซม. (4.9 นิ้ว) นอกจากนี้ ผู้ศึกษายังได้ตรวจสอบความสัมพันธ์ในกลุ่มย่อยแบบสุ่มของกลุ่มตัวอย่างเพศชายจำนวน 325 คน พบสหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติบางประการ นั่นคือ ระหว่างความยาวขณะอ่อนตัวและความสูงอยู่ที่ 0.208 กับน้ำหนักอยู่ที่ −0.140 และกับดัชนีมวลกายอยู่ที่ −0.238 ความยาวเส้นรอบวงขณะอ่อนตัวและความสูงอยู่ที่ 0.221 น้ำหนักอยู่ที่ −0.136 ดัชนีมวลกายอยู่ที่ −0.169 และยังมีรายงานสหสัมพันธ์ที่ไม่มีนัยสำคัญบางประการด้วย

แข็งตัว

มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความยาวขณะแข็งตัวขององคชาตผู้ใหญ่หลายชิ้น การศึกษาที่อาศัยการวัดด้วยตนเอง รวมไปถึงการสำรวจผ่านอินเทอร์เน็ต จะมีรายงานความยาวโดยเฉลี่ยสูงกว่าที่ได้จากการวัดโดยการศึกษาทางการแพทย์หรือทางวิทยาศาสตร์

การศึกษาที่วัดโดยเจ้าหน้าที่ต่อไปนี้ประกอบด้วยกลุ่มตัวอย่างที่แตกต่างกันของประชากรมนุษย์ (กล่าวคือ ช่วงอายุหรือเชื้อชาติโดยเฉพาะ การคัดเลือกผู้ที่มีความวิตกกังวลทางเพศในทางการแพทย์ หรือการเลือกตัวอย่างด้วยตนเอง) ที่อาจก่อให้เกิดอคติในการชักตัวอย่างได้

  • ในการศึกษาผู้ชายที่มีสุขภาพดีจำนวน 80 คน ตีพิมพ์ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2539 ในวารสาร เดอะเจอร์แนลออฟยูโรโลจี ความยาวองคชาตขณะแข็งตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 12.9 ซม. (5.1 นิ้ว) วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้คือ "ให้แนวทางเกี่ยวกับความยาวและเส้นรอบวงขององคชาต เพื่อช่วยในการให้คำปรึกษาผู้ป่วยที่พิจารณาเสริมองคชาต" โดยการแข็งตัวขององคชาตนั้นเกิดจากยาเร่งในผู้ชายชาวอเมริกัน 80 คนที่มีร่างกายปกติ (มีเชื้อชาติต่างกัน และมีอายุเฉลี่ย 54 ปี) โดยได้ข้อสรุปว่า "ทั้งอายุและขนาดขององคชาตขณะอ่อนตัวไม่สามารถใช้เป็นตัวทำนายความยาวองคชาตขณะแข็งตัวได้"
  • การศึกษาที่ตีพิมพ์ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2544 ในวารสาร International Journal of Impotence Research พบว่า ความยาวเฉลี่ยขององคชาตขณะแข็งตัวของผู้ชายชาวยิวผิวขาวจำนวน 50 คน อยู่ที่ 13.6 ซม. (5.4 นิ้ว) (วัดโดยเจ้าหน้าที่) โดยจุดประสงค์ของการศึกษา คือ "เพื่อระบุพารามิเตอร์ทางคลินิกและทางวิศวกรรมขององคชาตขณะอ่อนตัว เพื่อทำนายขนาดองคชาตระหว่างการแข็งตัว" การแข็งตัวขององคชาตนั้นเกิดขึ้นจากยาเร่งในผู้ป่วยที่ได้รับการประเมินภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศชาวยิวผิวขาวจำนวน 50 คน (อายุเฉลี่ย 47±14 ปี) ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติขององคชาตหรือมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศที่อาจเกิดจากภาวะทางจิตวิทยามากกว่าหนึ่งภาวะ จะถูกละไว้ในการศึกษานี้
  • บทปริทัศน์ซึ่งตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2550 ในวารสารบีเจยูอินเดอร์เนชันแนล แสดงให้เห็นว่าความยาวเฉลี่ยขององคชาตขณะแข็งตัวอยู่ที่ 14–16 ซม. (5.5–6.3 นิ้ว) และความยาวเส้นรอบวงอยู่ที่ 12–13 ซม. (4.7–5.1 นิ้ว) ซึ่งงานวิจัยนี้เปรียบเทียบผลการศึกษาจำนวน 12 ชิ้นที่ดำเนินการในประชากรศึกษาที่แตกต่างกันในหลายประเทศ และรวมเอาวิธีการวัดแบบต่าง ๆ เข้าในการปริทัศน์ด้วย
  • การศึกษาใน พ.ศ. 2558 ในวารสารบีเจยูอินเดอร์เนชันแนล สรุปว่าความยาวขององคชาตขณะแข็งตัวอยู่ที่ 13.12 ซม. (5.16 นิ้ว)
  • การศึกษาผู้ชายในประเทศแทนซาเนียจำนวน 253 คนใน พ.ศ. 2556 พบว่า ความยาวเฉลี่ยขององคชาตขณะแข็งตัวของผู้ชายชาวแทนซาเนียอยู่ที่ 13.12 ซม. (5.17 นิ้ว)
  • การศึกษาผู้ชายจำนวน 301 คนช่วงอายุระหว่าง 18 ถึง 60 ปีในประเทศอินเดีย ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2550 ในวารสาร International Journal of Impotence Research พบว่า ความยาวองคชาตขณะอ่อนตัว ขณะอ่อนตัวที่ยืดจนสุด และขณะแข็งตัวอยู่ที่ 8.21 ซม. (3.23 นิ้ว) 10.88 ซม. (4.28 นิ้ว) และ 13.01 ซม. (5.12 นิ้ว) ตามลำดับ
  • การศึกษาผู้ชายจำนวน 702 คนช่วงอายุระหว่าง 21 ถึง 31 ปีในประเทศเกาหลี ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2514 ระบุว่า ความยาวเฉลี่ยขององคชาตขณะแข็งตัวอยู่ที่ 12.70 ซม. (5.00 นิ้ว) การศึกษาอีกชิ้น (จาก พ.ศ. 2541) ที่ศึกษาผู้ชายชาวเกาหลีจำนวน 150 คน พบว่า ความยาวเฉลี่ยขององคชาตขณะแข็งตัวอยู่ที่ 13.42 ซม. (5.28 นิ้ว) ขณะที่การศึกษาชิ้นล่าสุด (ดีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2559) ที่ศึกษาผู้ชายชาวเกาหลีจำนวน 248 คน ระบุว่า ความยาวเฉลี่ยขององคชาตขณะแข็งตัวอยู่ที่ 13.53 ซม. (5.33 นิ้ว)
  • การปริทัศน์ใน พ.ศ. 2563 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Sex & Marital Therapy พบว่า ผู้ชายส่วนใหญ่เชื่อว่า ความยาวเฉลี่ยขององคชาตขณะแข็งตัวนั้นมากกว่า 15.24 ซม. (6 นิ้ว) ซึ่งความเชื่อที่ไม่ถูกต้องนี้น่าจะมาจากข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแม่นยำและเกินจริงที่ถูกนำเสนอในการศึกษาที่ให้ผู้เข้าร่วมวัดขนาดด้วยตนเอง โดยผู้เข้าร่วมอาจรายงานขนาดองคชาตที่สูงเกินความเป็นจริง จากความเชื่อที่ว่าองคชาตขนาดใหญ่นั้นเป็นที่ต้องการของสังคมมากกว่า การปริทัศน์เดียวกันนี้ยังได้วิเคราะห์ผลลัพธ์จากการศึกษาก่อนหน้าจำนวน 10 ชิ้น ซึ่งนักวิจัยได้ทำการวัดขนาดองคชาตขณะแข็งตัว พบว่า องคชาตขณะแข็งตัวจะมีความยาวระหว่าง 12.95 ถึง 13.92 ซม. (5.1 ถึง 5.55 นิ้ว ตามลำดับ) ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ได้จากการศึกษาที่อาศัยการวัดด้วยตนเองอย่างมีนัยสำคัญ ผู้เขียนยังให้ความเห็นด้วยว่า ผลการศึกษาจากการวัดดังกล่าวก็อาจยังคงสูงเกินจริง เนื่องจากอคติด้านอาสาสมัคร กล่าวคือ มีความเป็นไปได้ที่ผู้ชายที่มีองคชาตขนาดใหญ่กว่า อาจมีแนวโน้มในการเลือกเข้าร่วมการศึกษาดังกล่าวได้มากกว่า

เส้นรอบวงขณะแข็งตัว

ผลการศึกษานั้นมีความคล้ายคลึงกันในการศึกษาเส้นรอบวงขององตชาตผู้ใหญ่ขณะแข็งตัว ซึ่งมักจะทำการวัดบริเวณกลางลำ เช่นเดียวกันกับความยาว การศึกษาที่อาศัยการวัดด้วยตนเองจะมีค่าเฉลี่ยที่สูงกว่าการศึกษาที่วัดโดยเจ้าหน้าที่ โดยการศึกษาที่มีการวัดในห้องปฏิบัติการพบว่า เส้นรอบวงเฉลี่ยขององคชาตขณะแข็งตัวอยู่ที่ 11.66 ซม. (4.59 นิ้ว)

ขนาดเมื่อแรกเกิด

ความยาวเฉลี่ยขององคชาตที่ถูกยืดจนสุดเมื่อแรกเกิดอยู่ที่ประมาณ 4 ซม. (1.6 นิ้ว) และร้อยละ 90 ของเด็กผู้ชายวัยแรกเกิดจะอยู่ระหว่าง 2.4 ถึง 5.5 ซม. (0.94 ถึง 2.17 นิ้ว) การเจริญอย่างจำกัดขององคชาตจะเกิดขึ้นในระหว่างวัยแรกเกิดจนถึงอายุ 5 ปี แต่จะมีน้อยมากในช่วงระหว่างอายุ 5 ปี ถึงตอนเริ่มต้นวัยเริ่มเจริญพันธุ์ ขนาดเฉลี่ยในช่วงเริ่มต้นวัยเริ่มเจริญพันธุ์อยู่ที่ 6 ซม. (2.4 นิ้ว) โดยดับเบิลยู.เอ. เชินเฟลด์ได้ตีพิมพ์แผนภูมิการเจริญขององคชาตอกมาใน พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943)

ขนาดกับอายุ

ผู้เขียนบทความที่ปริทัศน์งานวิจัยในเรื่องขององคชาต ได้สรุปว่า "ความยาวองคชาตขณะอ่อนตัวนั้นต่ำกว่า 4 ซม. (1.6 นิ้ว) เมื่อแรกเกิด และมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมากจนกระทั่งถึงวัยเริ่มเจริญพันธุ์ ซึ่งจะมีการเจริญขึ้นอย่างชัดเจน"

อายุนั้นไม่เป็นที่เชื่อว่าจะมีความสัมพันธ์เชิงลบกับขนาดองคชาต "การศึกษาวิจัยรายบุคคลได้... เสนอว่าขนาดองคชาตที่เล็กลงในการศึกษาหลายชิ้นนั้นมุ่งเน้นไปที่ผู้ชายสูงอายุ แต่ไวลีย์และเอิร์ดลีย์ไม่พบความแตกต่างโดยรวมเมื่อทำการเปรียบเทียบผลการศึกษาต่าง ๆ [ในช่วง 60 ปี]"

ขนาดและความสูง

การทบทวนวรรณกรรมใน พ.ศ. 2558 พบว่า มีการศึกษาสองชิ้นที่พบว่าความสูงและความยาวขณะอ่อนตัวหรือยืดออกจนสุดนั้นมีความสัมพันธ์กันในระดับปานกลาง การศึกษาเจ็ดชิ้นพบว่ามีความสัมพันธ์อย่างอ่อนระหว่างความยาวขณะอ่อนตัว ยืดออกจนสุด และแข็งตัว และการศึกษาสองชิ้นที่ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างความยาวขณะแข็งตัวและความสูง

ขนาดและมือ

งานวิจัยชิ้นหนึ่งได้ตรวจสอบความสัมพันธ์ของขนาดองคชาตต่ออัตราส่วนนิ้ว พบว่าผู้ชายที่มีนิ้วนางยาวกว่านิ้วชี้มีองคชาตที่ยาวกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเรื่องการใช้ขนาดมือในการทำนายขนาดองคชาตนั้นเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อถืออย่างมาก

ขนาดและส่วนอื่นของร่างกาย

งานวิจัยชิ้นหนึ่งโดยซิมิโนสกีและเบน (1988) พบว่ามีความสัมพันธ์อย่างอ่อนระหว่างขนาดองคชาตที่ยืดออกจนสุดกับขนาดเท้าและความสูง อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นั้นยังอ่อนเกินไปที่จะใช้เป็นตัวประมาณในทางปฏิบัติ อีกหนึ่งการสืบค้นคืองานของชาห์และคริสโตเฟอร์ (2002) ซึ่งอ้างอิงงานวิจัยของซิมิโนสกีและเบน (1988) นั้นไม่พบหลักฐานใด ๆ ที่เชื่อมโยงระหว่างขนาดรองเท้ากับองคชาตที่ยืดออกจนสุด โดยระบุว่า "ความเกี่ยวข้องกันระหว่างขนาดองคชาตและขนาดรองเท้าที่คะเนไว้นั้น ไม่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์"

การศึกษาโดยอิเคงายะและคณะ (2021) สรุปว่า ขนาดจมูกนั้นมีความสัมพันธ์เป็นอย่างมากกับองคชาตที่ยืดออกจนสุดในศพของผู้ชายชาวญี่ปุ่น

ทั้งนี้อาจมีความเชื่อมโยงระหว่างความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์และระยางค์ของมนุษย์ได้ เนื่องจากการพัฒนาขององคชาตในเอ็มบริโอถูกควบคุมโดยยีนฮอกซ์เดียวกัน (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง HOXA13 และ HOXD13) ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมการพัฒนาของระยางค์เช่นกัน การกลายของยีนฮอกซ์บางตัวที่ควบคุมการเจริญของระยางค์อาจทำให้อวัยวะสืบพันธุ์ผิดรูปได้ (กลุ่มอาการมือเท้าอวัยวะสืบพันธุ์)

ขนาดและเชื้อชาติ

การกล่าวหาในความแตกต่างทางเชื้อชาติได้นำไปสู่การสร้างความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับเพศขึ้น การศึกษาใน พ.ศ. 2548 รายงานว่า "ไม่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนการกล่าวหาว่าคนผิวดำมีขนาดองคชาตที่ 'ใหญ่เกินไป'"

การศึกษาผู้ชายจำนวน 253 คนจากประเทศแทนซาเนีย พบว่า ความยาวเฉลี่ยขององคชาตขณะอ่อนตัวที่ยืดจนสุดของผู้ชายชาวแทนซาเนียนั้นอยู่ที่ 11.5 ซม. (4.53 นิ้ว) ซึ่งเล็กกว่าความยาวเฉลี่ยองคชาตขณะอ่อนตัวที่ยืดจนสุดทั่วโลกที่ 13.24 ซม. (5.21 นิ้ว) และความยาวเฉลี่ยขององคชาตขณะแข็งตัวอยู่ที่ 13.12 ซม. (5.17 นิ้ว)

การศึกษาผู้ชายชาวเกาหลีจำนวน 248 คน ใน พ.ศ. 2559 ระบุว่า ความยาวเฉลี่ยขององคชาตขณะแข็งตัวอยู่ที่ 13.53 ซม. (5.33 นิ้ว) การศึกษาผู้ชายจากประเทศไนจีเรียจำนวน 115 คน พบว่า ความยาวเฉลี่ยขององคชาตขณะอ่อนตัวที่ยืดจนสุดของชายชาวไนจีเรียอยู่ที่ 13.37 ซม. (5.26 นิ้ว) ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยความยาวขององคชาตขณะอ่อนตัวที่ยืดจนสุดทั่วโลกที่ 13.24 ซม. (5.21 นิ้ว) และความยาวเฉลี่ยขององคชาตขณะแข็งตัวอยู่ที่ 13.12 ซม. (5.17 นิ้ว) การศึกษาในอเมริกาโดยเฮอร์เบนิกและคณะ พ.ศ. 2557 ซึ่งศึกษาผู้ชายที่มีกิจกรรมทางเพศ ประกอบด้วย ผู้ชายชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ชาวอเมริกันผิวดำ ชาวอเมริกันผิวขาว ชาวหมู่เกาะแปซิฟิก/ชาวฮาวาย และชาวอเมริกันพื้นเมือง พบว่า ความยาวเฉลี่ยขององคชาตขณะแข็งตัวที่แตกต่างกันไปตามเชื้อชาตินั้นน้อยกว่าหนึ่งเซนติเมตร โดยความยาวเฉลี่ยแยกตามเชื้อชาติ ได้แก่ ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย 14.14 ซม. (5.56 นิ้ว) ชาวอเมริกันผิวดำ 14.66 ซม. (5.77 นิ้ว) ชาวหมู่เกาะแปซิฟิก/ชาวฮาวาย 14.88 ซม. (5.85 นิ้ว) ชาวอเมริกันพื้นเมือง 12.86 ซม. (5.06 นิ้ว) และชาวอเมริกันผิวขาว 14.18 ซม. (5.58 นิ้ว) (และเส้นรอบวง ได้แก่ ชาวเชื้อสายเอเชีย 12.10 ซม. ชาวผิวดำ 12.29 ซม. ชาวหมู่เกาะแปซิฟิก 11.88 ซม. ชาวพื้นเมือง 11.36 ซม. และชาวผิวขาว 12.25 ซม.) การปริทัศน์อย่างระบบใน พ.ศ. 2558 ของผู้ชาย 15,521 คนพบว่า "ไม่มีข้อบ่งชี้ถึงความแตกต่างในความแตกต่างด้านเชื้อชาติ" และระบุว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสรุปผลใด ๆ เกี่ยวกับขนาดและเชื้อชาติจากเอกสารที่มีอยู่ และจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม

ตามที่แอรอน สปิตซ์ ศัลยแพทย์ทางเดินปัสสาวะ มีเว็บไซต์และการศึกษาจำนวนมากที่ส่งเสริมความแปรผันของขนาดองคชาตในระหว่างเชื้อชาติ โดยใช้วิธีที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ในการรวบรวมข้อมูล และมักเพิกเฉยต่อหลักฐานที่ขัดแย้ง เขาสรุปว่า "เมื่อคุณดูข้อมูลเปล่า ๆ ให้ดี ก็จะพบว่าไม่ได้มีอะไร [ที่แสดงความแปรผันด้านเชื้อชาติในขนาดองคชาต]"

ความพึงใจด้านขนาดโดยคู่นอน

ใน พ.ศ. 2537 เรื่องปิดปกของนิตยสารไซโคโลจีทูเดย์ โดยมีการสำรวจผู้อ่านประมาณ 1,500 คน (ประมาณสองในสามเป็นผู้หญิง) เกี่ยวกับภาพลักษณ์ของผู้ชาย โดยผู้หญิงหลายคนไม่ได้มีความกังวลเรื่องขนาดองคชาตเป็นพิเศษ และมากกว่าร้อยละ 71 คิดว่าผู้ชายให้ความสำคัญกับขนาดและรูปร่างขององคชาตมากเกินไป โดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงซึ่งตอบแบบสำรวจมีความสนใจเรื่องความกว้างขององคชาตมากกว่าที่ผู้ชายคิด และสนใจในเรื่องความยาวน้อยกว่าที่ผู้ชายคิดเช่นกัน

การศึกษาเล็ก ๆ โดยมหาวิทยาลัยเท็กซัส–แพนอเมริกันและตีพิมพ์ในวารสารบีเอ็มซีวูเมินส์เฮลท์เมื่อ พ.ศ. 2544 ซึ่งให้นักกีฬาชายที่เป็นที่นิยมทำการสำรวจนักศึกษาหญิงระดับปริญญาตรีจำนวน 50 คนเกี่ยวกับแนวความคิดเรื่องความพึงใจทางเพศของพวกเธอภายในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัย และได้ข้อสรุปว่าความกว้างขององคชาตให้ความรู้สึกที่ดีกว่าความยาว โดยเมื่อให้ผู้ถูกสัมภาษณ์เลือกระหว่างสองลักษณะดังกล่าว (โดยไม่ได้ระบุขนาด) นอกจากนี้ยังสรุปได้ว่า สิ่งเหล่านี้อาจแสดงให้เห็นว่าขนาดโดยรวมขององคชาตนั้นส่งผลต่อความพึงใจทางเพศ เนื่องจากผู้หญิงทำการเลือกตัวเลือกหนึ่งในสองที่ได้รับ

การศึกษาที่ดำเนินการโดยโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโกรนิงเงินซึ่งตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2545 ได้ทำการสอบถามผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์จำนวน 375 คน (ซึ่งเพิ่งคลอดบุตร) เกี่ยวกับขนาดขององคชาต ผลการวิจัยพบว่าร้อยละ 21 ของผู้หญิงรู้สึกว่าความยาวมีความสำคัญ และร้อยละ 32 รู้สึกความเส้นรอบวงมีความสำคัญ

การศึกษาโดยมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียซึ่งตีพิมพ์เมื่อต้น พ.ศ. 2556 ระบุว่าขนาดองคชาตมีอิทธิพลต่อเสน่ห์ที่ดึงดูดเพศตรงข้ามของผู้ชาย ยิ่งผู้ชายสูงเท่าไร ผลกระทบก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น การศึกษาใช้การแสดงภาพสามมิติเท่าขนาดจริงซึ่งสร้างโดยคอมพิวเตอร์ โดยสามารถเปลี่ยนแปลงในความสูงและลักษณะทางกายภาพอื่น ๆ ได้ พบว่าผู้หญิงมักจะบันทึกสิ่งที่พึงใจภายใน 3 วินาที ซึ่งการพึงใจนั้นเน้นไปที่องคชาตขนาดใหญ่ของผู้ชายที่ตัวสูง

การศึกษาจากสหรัฐซึ่งตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2558 ศึกษาลักษณะพึงใจของผู้หญิงจำนวน 75 คน โดยใช้หุ่นจำลองพิมพ์ 3 มิติเป็นสิ่งอ้างอิง พบว่าความยาวขององคชาตที่เป็นที่ต้องการคือ 16 ซม. (6.3 นิ้ว) และเส้นรอบวงที่ต้องการคือ 12.2 ซม. สำหรับคู่นอนระยะยาว ส่วนคู่นอนแบบครั้งเดียวนั้นมีความต้องการที่ใหญ่กว่าเล็กน้อยคือมีความยาว 16.3 ซม. (6.4 นิ้ว) และเส้นรอบวง 12.7 ซม.

Human female inner genitalia 2.png

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษา เมื่อมีการขอให้ประเมินความยาวองคชาตของคู่นอนของตน ผู้หญิงส่วนมากมักระบุขนาดของคู่นอนที่เล็กกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแนวความคิดเรื่องขนาดนั้นไม่ได้แม่นยำทั้งหมด เจตคิตทางสายตาไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในโยนีและช่องคลอด องคชาตที่ยาวมากอาจทำให้เกิดการปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ได้ หากฝ่ายชายไม่เข้าใจการใข้งานองคชาตของตนอย่างระมัดระวัง

การใช้ถุงยางอนามัย

การศึกษาหนึ่งในประเทศออสเตรเลีย ทำการศึกษาผู้ชาย 184 คน โดยพิจารณาความยาวและเส้นรอบวงที่สัมพันธ์กับการฉีกขาดหรือการหลุดออกของถุงยางอนามัย โดยใช้ถุงยางอนามัยจำนวน 3,658 ชิ้น ผลการศึกษาพบว่าเมื่อใช้อย่างถูกต้อง ถุงยางอนามัยจะมีอัตราฉีกขาดอยู่ที่ร้อยละ 1.34 และอัตราการหลุดอยู่ที่ร้อยละ 2.05 รวมอัตราความล้มเหลวของการใช้อยู่ที่ร้อยละ 3.39 ขนาดขององคชาตไม่ส่งผลต่อการหลุดของถุงยางอนามัย แม้ว่าเส้นรอบวงขององคชาตและถุงยางอนามัยที่ฉีกขาดจะมีความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจน ซึ่งขนาดที่ใหญ่ขึ้นจะทำให้อัตราการฉีกขาดเพิ่มขึ้น

ชีวเคมี

ฮอร์โมนเพศชาย เช่น เทสโทสเตอโรน รับผิดชอบการขยายใหญ่ขึ้นขององคชาตและการยืดในช่วงวัยเริ่มเจริญพันธุ์ ขนาดองคชาตมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการเพิ่มขึ้นของระดับเทสโทสเตอโรนในช่วงวัยเริ่มเจริญพันธุ์ แต่หลังจากวัยเริ่มเจริญพันธุ์ การบริหารเทสโทสเตอโรนจะไม่ส่งผลต่อขนาดขององคชาต และการพร่องฮอร์โมนเพศชายในผู้ใหญ่จะส่งผลให้ขนาดลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นฮอร์โมนควบคุมการเจริญเติบโต (GH) และ Insulin-like growth factor 1 (IGF-1) ยังเกี่ยวข้องกับขนาดองคชาตด้วย โดยมีความบกพร่อง (เช่น ที่พบในความผิดปกติของฮอร์โมนควบคุมการเจริญเติบโต หรือ กลุ่มอาการลารอน) ในระยะการพัฒนาการที่สำคัญซึ่งมีศักยภาพที่จะส่งผลให้เกิดไมโครพีนิส

ความแปรปรวน

ความแปรผันของขนาดองคชาต

โกรเวอร์ กับ โชเวอร์

ตัวอย่างขององคชาตลักษณะโกรเวอร์

การศึกษาใน พ.ศ. 2561 ได้แยกความแตกต่างขององคชาตออกเป็นสองประเภท โดยพิจารณาจากลักษณะการเปลี่ยนแปลงจากภาวะอ่อนตัวไปเป็นภาวะแข็งตัว ได้แก่ โกรเวอร์ (grower) และโชเวอร์ (shower) ซึ่งโกรเวอร์จะมีขนาดองคชาตที่เปลี่ยนแปลงไปจากภาวะอ่อนตัวไปเป็นภาวะแข็งตัวมากกว่า 4 ซม. เทียบกับโชเวอร์ที่มีการเปลี่ยนแปลงความยาวน้อยกว่า 4 ซม.

พันธุกรรม

ยีนบางตัว เช่น พวกยีนโฮเมโอบอกซ์ (Hox a และ d) อาจมีบทบาทในการควบคุมขนาดขององคชาต ในมนุษย์ ยีนเออาร์ซึ่งอยู่บนโครโมโซมเอกซ์ที่ตำแหน่ง Xq11-12 อาจมีผลต่อขนาดองคชาต ยีนเอสอาร์วายที่อยู่บนโครโมโซมวายก็อาจมีบทบาทด้วยเช่นกัน ซึ่งความแปรปรวนในขนาดนี้มักเกิดจากการกลายพันธุ์ใหม่อีกครั้ง การพร่องของฮอร์โมนควบคุมการเจริญเติบโตต่อมใต้สมองหรือโกนาโดโทรฟินหรือความไม่ไวต่อฮอร์โมนเพศชายระดับเบาอาจส่งผลให้องคชาตมีขนาดเล็กในเพศชายได้ และสามารถแก้ไขได้ด้วยการรักษาด้วยฮอร์โมนควบคุมการเจริญเติบโตหรือเทสโทสเตอโรนในช่วงวัยเด็ก

ภาวะ

ดูบทความหลักที่: ไมโครพีนิส

องคชาตผู้ใหญ่ที่มีความยาวขณะแข็งตัวน้อยกว่า 7 ซม. หรือ 2.76 นิ้ว แต่มีรูปลักษณ์ปรกติจะถูกเรียกในทางการแพทย์ว่ามีภาวะไมโครพีนิส ภาวะนี้ส่งผลกระทบต่อผู้ชายร้อยละ 0.6 สาเหตุบางประการที่สามารถระบุได้แล้ว ได้แก่ การพร่องฮอร์โมนควบคุมการเจริญเติบโตต่อมใต้สมองหรือโกนาโดโทรฟิน ความไม่ไวต่อฮอร์โมนเพศชายระดับเบา ความหลากหลายของกลุ่มอาการทางพันธุกรรมและการแปรผันในยีนโฮเมโอบอกซ์บางตัว โดยไมโครพีนิสบางชนิดสามารถรักษาได้ด้วยการรักษาด้วยฮอร์โมนควบคุมการเจริญเติบโตหรือเทสโทสเตอโรนในวัยเด็กตอนต้น นอกจากนี้ยังมีการผ่าตัดเพื่อเพิ่มขนาดองคชาตในกรณีไมโครพีนิสในวัยผู้ใหญ่ด้วย

อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม

มีการเสนอว่าความแตกต่างของขนาดองคชาตของแต่ละบุคคลนั้นไม่ได้เกิดจากพันธุศาสตร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเกิดจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น วัฒนธรรม อาหาร และการสัมผัสสารเคมีหรือมลภาวะด้วยสารรบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อที่เกิดจากการสัมผัสกับสารเคมีมีความเชื่อมโยงกับความผิดปกติในอวัยวะสืบพันธุ์ของทั้งสองเพศ (ท่ามกลางปัญหาอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นอีกจำนวนมาก) โดยสารเคมีนั้นมีทั้งจากการสังเคราะห์ (เช่น ยาฆ่าแมลง ไทรโคลซานซึ่งเป็นสารต้านแบคทีเรีย และพลาสติไซเซอร์สำหรับพลาสติก) และธรรมชาติ (เช่น สารที่พบในน้ำมันต้นชาและน้ำมันลาเวนเดอร์) ซึ่งแหล่งที่มาเหล่านี้นั้นเชื่อมโยงกับการรบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อในระดับต่าง ๆ

ทั้งโพลีคลอริเนตเต็ด ไบฟีนิล (PCBs) และพลาสติไซเซอร์บิส(2-เอทิลเฮกซิล) พทาเลต (DEHP) ต่างมีความสัมพันธ์กับขนาดองคชาตที่เล็ก เมทาบอไลท์ของ DEHP ที่ตรวจได้จากปัสสาวะของหญิงตั้งครรภ์นั้นมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับความกว้างที่ลดลงขององคชาต ระยะทางระหว่างอวัยวะเพศและทวารหนักสั้นลง และการตกลงไปในถุงที่ไม่สมบูรณ์ของอัณฑะของบุตรชายแรกเกิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการจำลองผลที่เกิดในสัตว์ จากการศึกษาใน พ.ศ. 2551 ซึ่งตีพิมพ์โดยหอสมุดการแพทย์แห่งชาติสหรัฐ พบว่าประมาณร้อยละ 25 ของผู้หญิงในสหรัฐนั้นมีระดับของพทาเลตที่ใกล้เคียงกับที่พบในสัตว์

การศึกษาใน พ.ศ. 2550 โดยคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยอังการา พบว่าขนาดองคชาตอาจลดลงเป็นผลจากการรักษาด้วยฮอร์โมนร่วมกับการรักษาด้วยรังสีที่ใช้การฉายลำแสงภายนอก นอกจากนี้ ยารักษาภาวะเจริญพันธุ์ที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนบางประเภท เช่น ไดเอทิลสติลเบสทรอล (DES) นั้นมีความเชื่อมโยงกับความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์หรือการมีขนาดองคชาตเล็กกว่าปกติ

การศึกษาในเกาหลีเมื่อ พ.ศ. 2559 พบว่า เด็กผู้ชายแรกเกิดที่ได้รับการการขริบหนังหุ้มปลายนั้นมีความสัมพันธ์กับความยาวขององคชาตที่สั้นลง

แนวความคิดในทางประวัติศาสตร์

ดูเพิ่มที่: เปลือย (ศิลปะ)

ก่อนประวัติศาสตร์

แนวความคิดเรื่องขนาดองคชาตมีความเฉพาะในแต่ละวัฒนธรรม ประติมากรรมและศิลปะสกัดหินยุคก่อนประวัติศาสตร์บางชิ้นแสดงให้เห็นร่างของผู้ชายที่มีองคชาตแข็งตัวที่เกินจริง วัฒนธรรมและศิลปะของชาวอียิปต์โบราณโดยทั่วไปจะป้องกันไม่ให้มีการแสดงองคชาตขนาดใหญ่ในงานศิลปะ เนื่องจากถือว่าเป็นสิ่งลามกอนาจาร แต่ก็มีปรากฏภาพของชายหัวล้านในพาไพรัสกามวิสัยตูริน ซึ่งแสดงองคชาตที่มีขนาดใหญ่เกินจริง เทพอียิปต์ เช่น เทพเกบนั้นมีการแสดงองคชาตขนาดใหญ่บางครั้ง ขณะที่เทพมินมีการแสดงองคชาตที่แข็งตัวตลอดเวลา

สมัยโบราณ

รูปปั้นคูโรสสมัยกรีกโบราณจากเมืองอานาวีสโซส อายุประมาณ 530 ปีก่อนคริสตกาล แสดงภาพชายหนุ่มรุ่นเยาว์ที่มีองคชาตอ่อนตัว
ภาพปูนเปียกสมัยโรมันโบราณจากบ้านเวตตีในเมืองปอมเปอี มีอายุประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 1 แสดงเทพพรายเอปุสกำลังชั่งน้ำหนักองคชาตขนาดใหญ่ที่แข็งตัวตลอดเวลากับถุงทองคำ
เดวิด,(1504) โดยมีเกลันเจโล

กรีซโบราณเชื่อว่าองคชาตขนาดเล็กนั้นเป็นอุดมคติ นักวิชาการเชื่อว่าชาวกรีกโบราณส่วนใหญ่อาจมีขนาดองคชาตใกล้เคียงกับชาวยุโรปส่วนใหญ่ แต่ภาพแสดงทางศิลปะกรีกของหนุ่มวัยเยาว์ที่ถือว่าหล่อเหลานั้นจะมีองคชาตขนาดเล็กเกินไป ไม่ขริบ และมีหนังหุ้มปลายที่ยาวผิดสัดผิดส่วน ซึ่งสิ่งนี้ถูกมองว่าเป็นสิ่งในอุดมคติ สำหรับองคชาตขนาดใหญ่ในศิลปะกรีกโบราณนั้นสงวนไว้ให้กับบุคคลพิลึกเท่านั้น เช่น เซเทอร์ เป็นวิญญาณซึ่งอาศัยในป่ามีลักษณะคล้ายม้าที่น่ากลัว ซึ่งถูกแสดงในศิลปะกรีกด้วยองคชาตขนาดใหญ่มหิมาอย่างไร้เหตุผลนักแสดงที่แสดงเป็นตัวละครชายในสุขนาฏกรรมกรีกโบราณจะสวมองคชาตปลอมสีแดงขนาดมหึมาใต้อาภรณ์ของของพวกเขา โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างเสียงหัวเราะและต้องการให้ผู้ชมหัวเราะเยาะ

สุขนาฏกรรมของอริสโตฟานเนส เรื่อง เนเฟเล (เมฆา) เขาประพันธ์ให้ตัวละครเฟดิปปิเดสพรรณาถึงชายหนุ่มวัยเยาว์ในอุดมคติซึ่งมีลักษณะ คือ อกเปล่งประกายและผิวพรรณเปล่งปลั่ง ไหล่กว้าง ลิ้นเล็ก ก้นใหญ่ และอวัยวะตรงง่ามขาเล็ก ในประมวลเรื่องปรัมปรากรีก พรายเอปุส เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์มีองคชาตขนาดใหญ่และแข็งตัวอย่างถาวร ทำให้พรายเอปุสนั้นถูกมองว่าน่าเกลียดและไม่น่าดึงดูด ในสกอลีออนของอพอลโลนิอุสแห่งโรดส์ เรื่อง อาร์โกนาฟติกา ระบุว่า เมื่อแอโฟรไดทีมารดาของพรายเอปุส ซึ่งเป็นเทพีแห่งความรักและความงามได้ให้กำเนิดเขาออกมา เธอตกใจมากกับขนาดองคชาต พุงอ้วนขนาดใหญ่ และลิ้นขนาดยักษ์ของบุตรชาย เธอจึงตัดสินใจทิ้งเขาไว้ให้ตายในป่าทุรกันดาร ต่อมาคนเลี้ยงแพะได้มาพบและชุบเลี้ยงเป็นบุตรชายของตนเอง ซึ่งในภายหลังเขาได้พบว่าองคชาตขนาดใหญ่ของพรายเอปุสสามารถช่วยเรื่องการเจริญเติบโตของพืชได้

ถึงอย่างไรก็ตาม มีข้อบ่งชี้ว่าชาวกรีกนั้นก็เปิดใจกับองคชาตขนาดใหญ่เช่นกัน โดยพบรูปปั้นของเทพเฮอร์มีสซึ่งมีองคชาตขนาดใหญ่เกินจริงตั้งอยู่นอกประตูเมืองหลักของกรุงเอเธนส์ และในอะเล็กซานเดรียช่วง 275 ปีก่อนคริสตกาลก็มีการจัดขบวนแห่เชิดชูเกียรติให้แก่ไดอะไนซัส โดยลากลึงค์ขนาด 180 ฟุตไปทั่วทั้งเมืองโดยมีชาวเมืองสักการะด้วยการร้องเพลงสวดและท่องบทกวี ในทางตรงกันข้าม ชาวโรมันดูชื่นชมกับองคชาตขนาดใหญ่ โดยมีการพบกู้รูปปั้นลึงค์ขนาดใหญ่ได้เป็นจำนวนมากจากซากเมืองปอมเปอี การพรรณนาภาพของพรายเอปุสได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในศิลปะและวรรณกรรมกามวิสัยของโรมัน ซึ่งมีการพบบทกวีลามกที่ถวายแด่พรายเอปุสถึงแปดสิบบทที่ยังคงเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบัน

ในคัมภีร์ไบเบิลมีการกล่าวถึงองคชาตเช่นกัน ความว่า

18 เมื่อนางทำตัวแพศยาต่อไปอย่างโจ่งแจ้ง และเปิดเผยความเปลือยเปล่าของนาง เราก็เบือนหน้าหนีจากนางด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ เหมือนที่เราได้หันหน้าหนีจากพี่สาวของนาง 19 ถึงกระนั้นนางยิ่งสำส่อนเหลวแหลกมากขึ้น เมื่อระลึกถึงวัยสาวขณะเป็นโสเภณีอยู่ในอียิปต์ 20 ที่นั่นนางกระสันหาชู้รักทั้งหลายของนางผู้ซึ่งอวัยวะเพศเหมือนของลาและอสุจิเหมือนของม้า เอเสเคียล 23:18-20 TNCV

ตำนานจีนโบราณระบุว่าชายที่ชื่อเล่า ไอ่ เป็นชายที่มีองคชาตใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาลอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระพันปีจ้าว (ประมาณ 280–228 ปีก่อนคริสตกาล) พระราชมารดาของจิ๋นซีฮ่องเต้โดยแกล้มปลอมตนเป็นขันทีเกาหลีโบราณมีความชื่นชมกับองคชาตขนาดใหญ่ และว่ากันว่าพระเจ้าจีจึงแห่งชิลลาทรงมีพระคุยหฐานยาวสี่สิบห้าเซนติเมตร ซึ่งใหญ่มากจนผู้สนองพระองค์ต้องทำการค้นหาสตรีที่สามารถเข้ากับพระองค์ได้ ด้านญี่ปุ่น ภาพวาดลามกดั้งเดิมมักแสดงอวัยวะสืบพันธ์ที่มีขนาดใหญ่เกินจริง ภาพวาดประเภทนี้ที่เก่าแก่ที่สุดพบที่วัดโฮรีวจิในเมืองอีคารูกะ จังหวัดนาระ มีอายุราวคริสต์ศตวรรษที่ 8 ซึ่งแสดงองคชาตที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่

กามสูตร ตำราเรื่องเพศของอินเดียโบราณ ต้นฉบับเขียนด้วยภาษาสันสกฤต ซึ่งอาจมีอายุอยู่ระหว่างศตวรรษที่ 2 ถึง 4 ก่อนคริสต์ศักราช มีการแบ่งบุรุษออกเป็นสามประเภทตามขนาดองคชาต ได้แก่ ขนาด "กระต่ายป่า" (ประมาณ 5–7 ซม. หรือ 2–3 นิ้ว เมื่อแข็งตัว) ขนาด "วัวกระทิง" (ประมาณ 10–15 ซม. หรือ 4–6 นิ้ว) และขนาด "ม้า" (18–20 ซม. หรือ 7–8 นิ้ว) ตำราดังกล่าวยังแบ่งช่องคลอดของสตรีออกเป็นสามขนาดด้วยเช่นกัน ("กวาง", "ม้าตัวเมีย" และ "ช้าง") และมีการแนะนำให้บุรุษจับคู่ขนาดช่องคลอดของสตรีที่เขามีเพศสัมพันธ์ด้วยกับขนาดองคชาตของเขาเอง นอกจากนี้ยังมีการให้คำแนะนำที่มีความคลุมเครือด้านการแพทย์ เกี่ยวกับการขยายขนาดองคชาตโดยใช้เหล็กในต่อด้วย

หลังยุคคลาสสิก

รูปคนเหมือนของโลโดวิโค คาโปนี (วาดขึ้นประมาณ ค.ศ. 1550–1555) โดยแอกโนโล ดี โคสิโมแสดงค็อดพีซอยู่ใต้เสื้อแจ็คเก็ตของเด็กหนุ่ม ค็อดพีซขนาดยิ่งใหญ่ยิ่งเป็นที่นิยมในแฟชั่นเท่านั้น

ในวรรณกรรมอาหรับยุคกลาง องคชาตยิ่งยาวยิ่งเป็นที่ต้องการ ดังปรากฏในนิทานเรื่อง อาหรับราตรี ว่า "อาลีและน้องชายขนาดใหญ่" (Ali with the Large Member) อัลญาฮิบนักเขียนชาวแอฟริกาอาหรับในช่วงศตวรรษที่ 9 ได้เขียนเสียดสีจินตนาการนี้ไว้ว่า "หากความยาวขององคชาตเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศ เช่นนั้นล่อก็คงจะมาจากเผ่ากุเรช" (เผ่าซึ่งมุฮัมมัดสืบเชื้อสายลงมา)

ชาวนอร์สยุคกลางถือว่าขนาดองคชาตของผู้ชายเป็นตัววัดความเป็นลูกผู้ชายของผู้นั้นวัตถุมงคลเกี่ยวเนื่องกับเวทมนตร์ของชาวนอร์สในศตวรรษที่สิบสามจากบาร์เกิน ซึ่งเป็นอักษรรูนจารึกบนไม้สตาฟ ช่วงปลายศตวรรษที่สิบสี่มีการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระชนม์ชีพของพระเจ้าโอลาฟที่ 2 แห่งนอร์เวย์ในเอกสารตัวเขียนแฟลเตยาค์โบก โดยระบุถึงพิธีกรรมนอกรีตซึ่งยึดเอาองคชาตม้าที่ดองไว้เป็นศูนย์กลางและเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิ ซึ่งสมาชิกของลัทธิจะเวียนรอบเป็นวงกลม แต่กลอนบูชาสรรเสริญ และส่งเสริมให้สมาชิกอื่นในลัทธิประพฤติตนตามนัยทางเพศ

ในช่วงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ผู้ชายชาวยุโรปบางคนจะสวมค็อดพีซ (codpiece) ซึ่งขับเน้นอวัยวะสืบพันธ์ของผู้สวมใส่ โดยไม่มีหลักฐานโดยตรงที่แสดงว่าการสวมใส่นั้นเพื่อขับเน้นขนาดปรากฏขององคชาตของผู้สวมใส่ แต่ค็อดพีซยิ่งมีขนาดใหญ่เท่าไรก็จะยิ่งถูกมองว่าเป็นแฟชั่นเท่านั้น

แนวความคิดร่วมสมัย

แนวความคิดของผู้ชายเอง

ผู้ชายอาจประเมินขนาดองคชาตของตนต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับผู้อื่น การสำรวจโดยนักเพศวิทยาแสดงให้เห็นว่า มีผู้ชายจำนวนมากที่เชื่อว่าองคชาตขนาดเฉลี่ยของตนนั้นไม่เพียงพอ การศึกษาอื่นยังพบว่าเพศศึกษาด้านการวัดขนาดองคชาตมาตรฐานจะเป็นประโยชน์และช่วยบรรเทาความกังวลเรื่องขนาดองคชาตที่เล็กของผู้ป่วย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งที่ถือว่าเป็นเรื่องปกติในทางการแพทย์ ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยเกือบทั้งหมดมีความกังวลเกี่ยวกับขนาดองคชาตของตน เนื่องจากประเมินขนาดองคชาตเฉลี่ยไว้สูงเกินไป ซึ่งแนวคิดเรื่องการมีองคชาตขนาดใหญ่มักเชื่อมโยงกับความภูมิใจแห่งตนที่สูงขึ้น ความกลัวการหดหายไปขององคชาตในนิทานพื้นบ้านทำให้เกิดอุปาทานหมู่ที่เรียกว่าโรคหำหดขึ้น แม้ว่าองคชาตอาจจะลดขนาดลงได้จากการสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็นขึ้นจากภาวะทางการแพทย์ที่เรียกว่าโรคเพโรนีย์ นักการตลาดของผลิตภัณฑ์เสริมขนาดองคชาตจึงใช้ประโยชน์จากความกลัวในความไม่พอนี้ แต่ไม่มีความสอดคล้องกับความเห็นในแวดวงวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเทคนิคการเสริมขนาดใดที่นอกเหนือจากการผ่าตัด ที่จะช่วยเพิ่มความหนาหรือความยาวขององคชาจขณะแข็งตัวที่อยู่ในช่วงขนาดที่ปกติอยู่แล้ว

การหดและการใหญ่ขึ้น

ความกังวลส่วนบุคคลที่แพร่หลายเกี่ยวกับขนาดองคชาตได้นำไปสู่การสร้างคติชาวบ้านและสะท้อนออกมาในวัฒนธรรมประชานิยมจำนวนมากเกี่ยวกับขนาดองคชาต โรคหำหดเป็นรูปแบบหนึ่งของภาวะอุปาทานหมู่ที่เกี่ยวของกับการหายไปหรือการหดหายไปขององคชาต เรียกว่า กลุ่มอาการอวัยวะสืบพันธุ์หด อย่างไรก็ตาม องคชาตสามารถหดลงได้อย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากการสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็นจากภาวะของโรคเพโรนีย์ ซึ่งส่งผลกระทบกับผู้ชายมากถึงร้อยละ 10 ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น กระบอกสุญญากาศ (penis pumps) ยาเพิ่มขนาด และวิธีการเพิ่มขนาดองคชาตอื่น ๆ ที่คลุมเครือมีความแผร่หลายมากผ่านทางอีเมลสแปม ในปัจจุบัน ยังไม่มีความเห็นใดจากแวดวงวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเทคนิคการเพิ่มขนาดใดที่นอกเหนือจากการผ่าตัด ที่จะเพิ่มความหนาหรือความยาวขององคชาตขณะแข็งตัวที่อยู่ในช่วงปกติ (4.5 ถึง 7 นิ้ว)

ท่ามกลางชายรักเพศเดียวกัน

การศึกษาที่ดำเนินการในมหาวิทยาลัยยูเทรกต์ พบว่า เกย์ส่วนมากในการศึกษานี้ถือว่าองคชาตขนาดใหญ่นั้นเป็นสิ่งในอุดมคติ และการมีองคชาตขนาดใหญ่นั้นเชื่อมโยงกับความภูมิใจแห่งตนที่สูงขึ้น การศึกษาหนึ่งที่ทำการวิเคราะห์ชุดข้อมูลรายงานคินซีย์ พบว่า โดยเฉลี่ยองคชาตของชายรักร่วมเพศนั้นใหญ่กว่าองคชาตของชายรักต่างเพศ (ยาว 6.32 นิ้ว [16.05 ซม.] ในเกย์เทียบกับยาว 5.99 นิ้ว [15.21 ซม.] ในชายรักต่างเพศ และเส้นรอบวง 4.95 นิ้ว [12.57 ซม.] ในเกย์เทียบกับเส้นรอบวง 4.80 นิ้ว [12.19 ซม.] ในชายรักต่างเพศ)

วิวัฒนาการ

องคชาตของมนุษย์หนากว่าสัตว์ในอันดับวานรอื่นทั้งในแง่สัมบูรณ์และสัมพัทธ์กับส่วนอื่นของร่างกาย การวิจัยเบื้องต้นที่ใช้การวัดอย่างไม่ถูกต้องสรุปว่า องคชาจของมนุษย์ก็พัฒนาให้ยาวขึ้นเช่นกัน ที่จริงแล้วองคชาตของชิมแปนซีก็ไม่ได้สั้นไปกว่าของมนุษย์ ซึ่งชิมแปนซีมีขนาดองคชาตยาวเฉลี่ย 14.4 ซม. (5.7 นิ้ว) และอันดับวานรอื่น ๆ บางตัวมีขนาดองคชาตสัมพันธ์กับน้ำหนักตัว

เหตุผลด้านการวิวัฒนาการให้หนาขึ้นนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด คำอธิบายหนึ่งคือการที่องคชาตหนาขึ้นคือการปรับตัวที่สอดรับกับการเพิ่มขนาดขึ้นของช่องคลอง เชื่อกันว่าช่องของช่องคลอดในมนุษย์ขยายขนาดขึ้นเพื่อรองรับกะโหลกศีรษะของเด็กแรกเกิดที่ใหญ่ขึ้น จากนั้นในผู้หญิงอาจมีการคัดเลือกทางเพศโดยเลือกผู้ชายที่มีองคชาตที่ใหญ่พอดีกับช่องคลอด เพื่อให้มีการการกระตุ้นทางเพศและนำไปสู่การหลั่งน้ำอสุจิได้

สมมติฐานการวิวัฒนาการอื่นมีการอธิบายเรื่องความยาวและเส้นรอบวงขององคชาตที่ค่อนข้างใหญ่ของมนุษย์ รวมถึงสมมติฐานเรื่องการแข่งขันของตัวอสุจิและสมมติฐานการแข่งขันของคู่ผสม โดยสมมติฐานเรื่องการแข่งขันของตัวอสุจินั้นไม่ได้รับการสนับสนุนมากเท่ากับในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นที่มีการแข่งขันของตัวอสุจิ ซึ่งจะมีวิวัฒนาการให้อัณฑะมีขนาดใหญ่ขึ้่นไม่ใช่ให้องคชาตใหญ่ขึ้น สมมติฐานการแข่งขันของคู่ผสมมีการคาดว่าองคชาตที่มีขนาดใหญ่กว่าจะสามารถแทนที่ตัวอสุจิของอีดฝ่ายได้ จากการศึกษาพบว่าองคชาตที่ใหญ่ขึ้นไม่สามารถแทนที่ตัวอสุจิของผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นเทียบกับองคชาตที่เล็กกว่า แต่องคชาตที่ยาวกว่านั้นจะสามารถหลั่งน้ำอสุจิภายในช่องคลอดในจุดที่องคชาตอื่นจะมากำจัดได้ยากขึ้น ความลึกของเชิงการก็มีความสัมพันธ์กับการแข่งขันของตัวอสุจิเช่นกัน


Новое сообщение