Мы используем файлы cookie.
Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.

น้ำมันปลา

Подписчиков: 0, рейтинг: 0
แคปซูลน้ำมันปลา

น้ำมันปลา หรือ น้ำมันตับปลา เป็นไขมันที่ได้จากส่วนต่าง ๆ ของปลาที่มีไขมันสูง น้ำมันปลามีกรดไขมันโอเมกา-3, eicosapentaenoic acid (EPA) และ docosahexaenoic acid (DHA) ซึ่งล้วนเป็นสารตั้งต้นของ eicosanoid ที่พบว่า ลดการอักเสบในร่างกาย และมีผลดีต่อสุขภาพอื่น ๆ เช่น เพื่อรักษาภาวะเลือดมีไตรกลีเซอไรด์สูง (hypertriglyceridemia) แม้คำโฆษณาว่าช่วยป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือดหรือโรคหลอดเลือดสมองจะไม่มีหลักฐาน มีการศึกษาน้ำมันปลาและกรดไขมันโอเมกา-3 เกี่ยวกับภาวะโรคอื่น ๆ มากมาย เช่น โรคซึมเศร้าโรควิตกกังวลมะเร็ง และโรคจุดภาพชัดของจอตาเสื่อม แต่ประโยชน์ที่ได้ก็ยังไม่สามารถยืนยัน ปลาที่เป็นแหล่งน้ำมันจริง ๆ ไม่ได้ผลิตกรดไขมันโอเมกา-3 เอง แต่สะสมไขมันเมื่อกินสาหร่ายเซลล์เดียว (microalgae/microphyte) หรือปลาที่เป็นเหยื่อซึ่งได้สะสมกรดไขมันเอง

ปลาล่าเหยื่อที่มีไขมันสูง เช่น ฉลาม กระโทงดาบ ปลาทูน่าครีบยาว อาจมีกรดไขมันโอเมกา-3 สูง แต่เพราะเป็นสัตว์ล่าเหยื่อที่ยอดของโซ่อาหาร จึงอาจสะสมสารพิษต่าง ๆ จากสัตว์ที่กินต่อ ๆ กันเป็นลูกโซ่ผ่านกระบวนการ biomagnification เพราะเหตุนี้ สำนักงานป้องกันสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (USEPA) จึงแนะนำให้จำกัดทานปลาล่าเหยื่อบางอย่าง รวมทั้ง ปลาทูน่าครีบยาว, ฉลาม, ปลาอินทรีสกุล Scomberomorus cavalla (king mackerel), ปลาในวงศ์ Malacanthidae (tilefish) และปลากระโทงดาบ โดยเฉพาะสำหรับหญิงวัยที่มีบุตรได้ เพราะปลามีสารปนเปื้อนเป็นพิษคือปรอทในระดับสูง นอกจากนี้ ก็ยังมีสาร dioxin, PCB และ chlordane อีกด้วย

น้ำมันปลายังใช้เพื่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอีกด้วย เช่น ในบรรดาน้ำมันปลาที่ใช้เป็นอาหารสัตว์น้ำ 50% ใช้เลี้ยงปลาแซลมอน

น้ำมันปลาน้ำจืดน้ำเค็มจะมี arachidonic acid, EPA และ DHA ในระดับต่าง ๆ กันสปีชีส์ต่าง ๆ จัดว่ามีมันน้อยจนถึงมีมันมาก และไขมันที่พบในเนื้ออาจอยู่ในพิสัย 0.7-15.5% และยังมีผลต่อลิพิดในอวัยวะของร่างกายต่าง ๆ กันด้วย งานศึกษาได้แสดงว่า การทานปลารวม ๆ หรือการได้กรดไขมันโอเมกา-3 (โดยประมาณ) จากปลาทั้งหมด ไม่สัมพันธ์กับความเข้มข้นของกรดไขมันโอเมกา-3 ในเลือด แต่การทานปลามีไขมันสูงโดยเฉพาะวงศ์ปลาแซลมอน และการได้ EPA + DHA จากปลามีไขมันสูง จึงจะสัมพันธ์กับการเพิ่ม EPA + DHA ในเลือดอย่างสำคัญ

การใช้

การแปรรูปน้ำมันปลาในรัฐออนแทรีโอปี 1918

แม้บ่อยครั้งจะวางตลาดขายเพื่อบริโภคเป็นส่วนของอาหารหรือเป็นอาหารเสริมในสังคมปัจจุบัน แต่น้ำมันปลาก็สามารถใช้ในกิจภายนอกอื่นได้ เช่น เป็นสารทำให้นุ่มและชุ่มชื้น, เป็นขี้ผึ้ง/ครีม/น้ำมันทาภายนอกทั่วไป, ใช้ในงานศิลป์ประดับร่างกาย หรือใช้ทากันหนาวดังอ้าง


โภชนาการ

อาหารที่มี EPA และ DHA มากที่สุดก็คือปลาไขมันสูงในน้ำเย็น เช่น ปลาแซลมอน เฮร์ริง แมกเคอเรล กะตัก และซาร์ดีน น้ำมันจากปลาเหล่านี้มีไขมันโอเมกา-3 ราว ๆ 7 เท่าของไขมันโอเมกา-6 ปลาไขมันสูงอื่น ๆ เช่น ทูน่า ก็มีกรดโอเมกา-3 ด้วยแต่น้อยกว่า แม้จะเป็นแหล่งไขมันโอเมกา-3 แต่ปลาก็ไม่ได้สังเคราะห์ไขมันเอง เพราะได้มาจากสาหร่าย (โดยเฉพาะสาหร่ายเซลล์เดียว) หรือแพลงก์ตอนในอาหาร

ปริมาณกรดไขมันโอเมกา-3 (กรัม) ต่อปลาที่นิยมทานประมาณ 85 กรัม
ชื่อ ชื่อสามัญอังกฤษ กรัม
ปลาเฮร์ริง ซาร์ดีน 1.3-2
ปลาแมกเคอเรลสเปน แมกเคอเรลแอตแลนติก แมกเคอเรลแปซิฟิก 1.1-1.7
ปลาแซลมอน 1.1-1.9
ปลาแฮลิบัต 0.60-1.12
ปลาทูน่า 0.21-1.1
ปลากระโทงดาบ Swordfish 0.97
หอย Perna canaliculus Greenshell/lipped mussels 0.95
ปลาวงศ์ Malacanthidae Tilefish 0.9
ปลาทูน่ากระป๋องในน้ำ 0.17-0.24
ปลาสกุล Pollachius Pollock 0.45
ปลาคอด 0.15-0.24
ปลาหนัง Catfish 0.22-0.3
ปลาฟราวน์เดอร์ 0.48
ปลากะรัง Grouper 0.23
ปลาอีโต้มอญ Mahi mahi 0.13
ปลา Hoplostethus atlanticus Orange roughy 0.028
ปลากลุ่มปลากะพงแดง Red snapper 0.29
ปลาฉลาม 0.83
ปลาอินทรีสกุล Scomberomorus cavalla King mackerel 0.36
ปลา Macruronus novaezelandiae Hoki, blue grenadier 0.41
ปลา Rexea solandri Silver gemfish 0.40
ปลาคอดตาน้ำเงิน Blue eye cod 0.31
หอย Saccostrea glomerata Sydney rock oyster 0.30
ปลาทูน่ากระป๋อง 0.23
ปลากะพงแดง Snapper 0.22
ปลากะพงขาวในน้ำเกลือ Barramundi 0.100
กุ้งกุลาดำ Giant tiger prawn 0.100

เพื่อเปรียบเทียบ ให้ดูระดับกรดโอเมกา-3 ในอาหารสามัญที่ไม่ใช่ปลา

ปริมาณกรดไขมันโอเมกา-3 (กรัม)
ในอาหารสามัญที่ไม่ใช่ปลาประมาณ 85 กรัม
ชื่อ ชื่อสามัญอังกฤษ กรัม
เมล็ดแฟลกซ์ Flaxseeds 19.55
เมล็ดชีอา Chia seeds 14.8
เมล็ดกัญชง Hemp seeds 7.4
วอลนัต 1.7
ถั่วเหลือง 1.1
เนย 0.27
ไข่ใบใหญ่ 0.109
เนื้อแดงไขมันน้อย Lean red meat 0.031
ไก่งวง Turkey 0.030
ธัญพืช Cereals, rice, pasta เป็นต้น 0.00
ผลไม้ 0.00
นมไม่พร่องไขมัน regular milk 0.00
ขนมปังธรรมดา regular bread 0.00
ผัก 0.00

ผลต่อสุขภาพ

น้ำมันตับปลากับสารสกัดมอลต์ (Kepler Cod Liver Oil with Malt Extract)

คำแนะนำต่าง ๆ

สมาคมหัวใจอเมริกัน (AHA) เขียนจดหมายปี 2009 แนะนำในเรื่องการแก้แนวทางอาหารของคนอเมริกันให้ทาน EPA และ DHA 250-500 มก./วัน ซึ่งก็แก้อีกระหว่างปี 2015-2020 ซึ่งแนะนำให้ทานปลาหลายชนิดอย่างน้อย 227 กรัมต่ออาทิตย์ โดยให้มี EPA + DHA อย่างน้อย 250 มก./วัน ส่วนองค์กรอาหารและยา (FDA) แนะนำไม่ให้ทาน EPA + DHA เกิน 3 กรัมต่อวันจากแหล่งทั้งหมด โดยไม่เกิน 2 กรัมต่อวันจากอาหารเสริม

มะเร็งต่อมลูกหมาก

ผลของการทานน้ำมันปลาต่อมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นเรื่องยังไม่ยุติ คืองานหนึ่งพบความเสี่ยงที่ลดลงเมื่อมีระดับ DPA (Docosapentaenoic acid) ในเลือดสูง เทียบกับอีกงานหนึ่งที่พบความเสี่ยงเพิ่มสำหรับคนไข้มะเร็งต่อมลูกหมากที่โตเร็วกว่าปกติเมื่อมีระดับ EPA+DHA ในเลือดสูง หลักฐานบางส่วนชี้ว่า ระดับกรดไขมันโอเมกา-3 สูงในเลือดสัมพันธ์กับความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากที่สูงขึ้น

โรคหัวใจร่วมหลอดเลือด

หลักฐานไม่สนับสนุนข้ออ้างว่า อาหารเสริมคือน้ำมันปลาช่วยป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือดหรือโรคหลอดเลือดสมอง ในปี 2007 สมาคมหัวใจอเมริกัน (AHA) แนะนำให้ทานน้ำมันปลา 1 กรัมต่อวัน โดยทานปลาเองจะดีกว่า สำหรับคนไข้โรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ แต่เตือนหญิงมีครรภ์หรือเลี้ยงบุตรด้วยนมให้เลี่ยงทานปลาหลายอย่างรวมทั้งปลาแมกเคอเรล ฉลาม และกระโทงดาบ เพราะอาจมีสารปนเปื้อนคือปรอท

สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (สหรัฐอเมริกา) บ่งเหตุ 3 อย่างแรกสุดที่แนะนำให้ทานน้ำมันปลาและกรดไขมันโอเมกา-3 จากแหล่งอื่น ๆ เหตุรวมทั้งมีไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง (hypertriglyceridemia), เพื่อป้องกันโรคหัวใจร่วมหลอดเลือด และมีความดันโลหิตสูง แล้วบ่งเหตุอีก 27 อย่างที่มีหลักฐานสนับสนุนน้อยกว่า แล้วยังระบุความเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย คือ การทานกรดไขมันโอเมกา-3 สามกรัมต่อวันหรือมากกว่านั้นอาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก แม้จะมีหลักฐานน้อยมากในเรื่องนี้ถ้าใช้ในขนาดน้อย การทานน้ำมันปลา/กรดไขมันโอเมกา-3 มาก ๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองโดยตกเลือด (hemorrhagic stroke)

มีหลักฐานบ้างว่า น้ำมันปลาอาจมีผลดีต่อหัวใจเต้นผิดจังหวะบางอย่าง แต่งานวิเคราะห์อภิมานปี 2012 ก็ไม่พบผลที่มีนัยสำคัญ

งานวิเคราะห์อภิมานปี 2008 ไม่พบว่า อาหารเสริมคือน้ำมันปลามีผลป้องกันต่อคนไข้โรคหัวใจแบบหัวใจห้องล่างเสียจังหวะ (ventricular arrhythmia) งานวิเคราะห์อภิมานปี 2012 ที่พิมพ์ในวารสารแพทย์ JAMA และตรวจดูงานศึกษา 20 งานรวมคนไข้ 68,680 คน พบว่า อาหารเสริมคือกรดไขมันโอเมกา-3 ไม่ลดความเสี่ยงตายทั่วไป ความเสี่ยงตายเพราะหัวใจ หรือความเสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือดหรือโรคหลอดเลือดสมอง

ความดันโลหิตสูง

มีงานทดลองในมนุษย์บ้างที่ได้สรุปว่า การทานกรดไขมันโอเมกา-3 ลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย โดย DHA อาจมีประสิทธิภาพดีกว่า EPA แต่เพราะกรดไขมันโอเมกา-3 อาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะทานอาหารเสริม

สุขภาพจิต

งานปริทัศน์เป็นระบบแบบคอเคลนปี 2008 พบว่าข้อมูลยังมีจำกัด งานศึกษาหนึ่งที่เข้าเกณฑ์การปริทัศน์แสดงว่า กรดไขมันโอเมกา-3 มีประสิทธิผลเป็นการรักษาเสริม (adjunctive therapy) สำหรับคราวซึมเศร้า แต่ไม่มีผลต่อคราวคลั่ง/สุข (manic symptom) ในโรคอารมณ์สองขั้ว ผู้ทำงานปริทัศน์เห็นว่า การเพิ่มงานทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (RCT) จำเป็นอย่างยิ่ง

งานวิเคราะห์อภิมานปี 2009 พบว่า คนไข้ที่ทานอาหารเสริมคือกรดไขมันโอเมกา-3 ที่มีอัตราส่วน EPA:DHA สูงกว่ามีอาการซึมเศร้าน้อยกว่า งานศึกษาได้ให้หลักฐานว่า EPA อาจมีประสิทธิผลดีกว่า DHA เพื่อรักษาโรคซึมเศร้า แต่งานวิเคราะห์ก็ได้สรุปว่า เพราะข้อจำกัดที่ได้ระบุเกี่ยวกับงานที่ตรวจ จึงต้องมีการทดลองแบบสุ่มขนาดใหญ่กว่าเพื่อยืนยันสิ่งที่พบเหล่านี้

งานวิเคราะห์อภิมานปี 2011 ที่ตรวจบทความของ PubMed เรื่องน้ำมันปลากับโรคซึมเศร้าระหว่างปี 1965-2010 พบว่า "ประสิทธิผลการรักษาที่พบเกือบทั้งหมดในงานวรรณกรรมที่ตีพิมพ์อาจมาจากความเอนเอียงในการตีพิมพ์"

งานวิเคราะห์อภิมานปี 2014 ที่ตรวจการทดลอง 11 งาน ซึ่งศึกษาคนไข้โรคซึมเศร้า (MDD) ตามเกณฑ์วินิจฉัยของคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (DSM) และการทดลอง 8 งานที่มีอาการซึมเศร้าแต่ไม่ได้วินิจฉัยว่าเป็น MDD พบประโยชน์ของกรดไขมันโอเมกา-3 เพื่อรักษาอย่างมีนัยสำคัญทางคลินิกเทียบกับยาหลอก จึงสรุปว่า การใช้กรดไขมันโอเมกา-3 มีประสิทธิผลสำหรับคนไข้ที่ได้วินิจฉัยว่าเป็น MDD และคนไข้ที่มีอาการซึมเศร้าแม้ไม่ได้วินิจฉัยว่าเป็น MDD

โรคอัลไซเมอร์

งานวิเคราะห์อภิมานแบบคอเคลนปี 2012 ไม่พบผลป้องกันที่มีนัยสำคัญต่อการเสื่อมสมรรถภาพทางความคิดอ่าน/ทางประชาน (cognitive decline) สำหรับผู้มีอายุ 60 ปีหรือมากกว่าที่เริ่มทานกรดไขมันหลังถึงอายุ นักวิจัยของงานให้สัมภาษณ์กับนิตยสารไทม์ว่า "ผลวิเคราะห์ของเราแสดงว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่า อาหารเสริมคือกรดไขมันโอเมกา-3 มีประโยชน์ต่อความจำหรือสมาธิในเบื้องปลายแห่งชีวิต"

โรคสะเก็ดเงิน

อาหารที่เสริมด้วยน้ำมันตับปลาคอด (cod liver oil) มีประโยชน์ต่อโรคสะเก็ดเงิน งานศึกษาที่ไม่มีกลุ่มควบคุมแสดงนัยว่า คนไข้โรคสะเก็ดเงินหรือคนไข้ข้ออักเสบที่เกิดกับสะเก็ดเงินอาจได้ประโยชน์จากน้ำมันปลาที่มี eicosapentaenoic acid (EPA) และ docosahexaenoic acid (DHA) มาก

การตั้งครรภ์

งานศึกษาบางงานรายงานว่ามีพัฒนาการทางประชานและการเคลื่อนไหว (psychomotor) ที่ดีกว่าของทารกอายุ 30 เดือนที่มารดาทานอาหารเสริมเป็นน้ำมันปลาในช่วง 4 เดือนแรกของการผลิตนม อนึ่ง เด็ก 5 ขวบที่มารดาทานอาหารเสริมเป็น DHA ที่ได้จากสาหร่ายในช่วง 4 เดือนแรกที่ให้นมสอบได้คะแนนดีกว่าในเรื่องการใส่ใจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงว่า การได้ DHA ในวัยทารกต้น ๆ มีประโยชน์ระยะยาวต่อพัฒนาการทางประสาทบางอย่าง

นอกจากนั้น การทานน้ำมันปลาช่วงตั้งครรภ์อาจลดความไวแพ้อาหารที่สามัญในทารก และลดความชุกบวกความรุนแรงของโรคผิวหนังบางอย่างในช่วงปีแรกของชีวิต ผลอาจยืนไปถึงช่วงวัยรุ่นคือลดความชุกและความรุนแรงของภาวะต่าง ๆ รวมทั้งผิวหนังอักเสบ (eczema) เยื่อจมูกอักเสบเหตุภูมิแพ้ และโรคหืด

Crohn's disease

งานทบทวนวรรณกรรมแบบคอเคลนปี 2014 พบอาศัยงานศึกษาขนาดใหญ่สองงานว่า อาหารเสริมคือน้ำมันปลาไม่ปรากฏกว่ามีประสิทธิผลธำรงระยะโรคสงบ (remission) ของ Crohn's disease

คุณภาพและปัญหาของอาหารเสริม

น้ำมันปลาเป็นอาหารเสริมที่สามัญ โดยมียอดขายถึง 976 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2009 (ประมาณ 33,500 ล้านบาท) ในสหรัฐประเทศเดียว นักวิจัยอิสระได้พบปัญหาคุณภาพของอาหารเสริมที่มีน้ำมันปลาและน้ำมันสัตว์ทะเลอื่น ๆ รวมทั้งสิ่งปนเปื้อน, การระบุค่า EPA และ DHA ที่ไม่ถูกต้อง, น้ำมันเสีย และปัญหาสูตรยา

สิ่งปนเปื้อน

ปลาอาจสะสมสารพิษต่าง ๆ รวมทั้งปรอท, dioxin และ PCB โดยน้ำมันปลาที่เสียก็อาจสร้างเปอร์ออกไซด์ (peroxide) เอง แม้สิ่งปนเปื้อนจากจุลชีพ, โปรตีน, lysophospholipid, คอเลสเตอรอล และไขมันทรานส์ดูจะเสี่ยงน้อย

dioxin และ PCB

dioxin และ PCB อาจก่อมะเร็งแม้ได้รับเพียงแค่น้อย ๆ ในระยะยาว สารเหล่านี้ปกติจะแยกวัดเป็นสองกลุ่ม คือ PCB ที่คล้าย dioxin และ PCB ทั้งหมด แม้องค์กรอาหารและยาสหรัฐ (FDA) จะไม่ได้จำกัด PCB ในอาหารเสริม แต่องค์กร EPA และ DHA โลก (GOED) ก็ได้ตั้งแนวทางไม่ให้มี PCB คล้าย dioxin เกิน 3 พิโกกรัมต่อน้ำมันปลาแต่ละกรัม ในปี 2012 มีการวัดค่า PCB จากตัวอย่างอาหารเสริมเป็นน้ำมันปลา 35 ตัวอย่าง ซึ่งพบ PCB ปริมาณน้อย (trace) ในตัวอย่างทั้งหมด โดยตัวอย่าง 2 ตัวอย่างมีระดับเกินกำหนดของ GOED แม้การได้รับ PCB ปริมาณน้อยจะเพิ่มปริมาณการได้รับสารทั้งหมด แต่บริษัท Consumerlab.com (ซึ่งตรวจสอบผลิตภัณฑ์อาหารและสุขภาพ และได้รายได้จากค่าสมาชิก โปรแกรมการรับรอง การอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ การอนุญาตให้พิมพ์ใหม่ และการโฆษณา) ก็อ้างว่า ปริมาณที่พบในผลิตภัณฑ์ซึ่งตรวจสอบก็ยังน้อยกว่าที่พบในการทานปลาธรรมดาเพียงที่เดียวโดยน้อยกว่ามาก

การเสีย

น้ำมันปลาที่เสียอาจสร้างเปอร์ออกไซด์ งานศึกษาหนึ่งที่รัฐบาลนอร์เวย์จ้างทำสรุปว่า มีเรื่องน่าเป็นห่วงทางสุขภาพบางอย่างถ้าทานน้ำมันปลา/สัตว์ทะเลที่เหม็นหืนแล้ว (คือเกิดออกซิไดซ์แล้ว) โดยเฉพาะที่ทางเดินอาหาร แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลพอเพื่อกำหนดความเสี่ยงโดยเฉพาะ ๆ ปริมาณที่เสียและการปนเปื้อนในอาหารเสริมจะขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ กระบวนการสกัด กลั่น เพิ่มความเข้มข้น ใส่แคปซูล เก็บ และขนส่ง ConsumerLab.com รายงานว่า พบผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาที่เสียเป็นบางส่วน

ปริมาณ EPA และ DHA

ตามการทดสอบของ ConsumerLab ความเข้มข้นของ EPA และ DHA ในอาหารเสริมอาจอยู่ในระหว่าง 8-80% ของน้ำมันปลา โดยขึ้นอยู่กับแหล่งกรดไขมันโอเมกา-3 กับการแปรรูป และส่วนผสมอื่น ๆ ในอาหารเสริม รายงานปี 2012 อ้างว่า อาหารเสริม 4 ชนิดจาก 35 ชนิดที่ทดสอบมี EPA หรือ DHA น้อยกว่าที่ติดป้าย และอาหารเสริม 3 ชนิดจาก 35 ชนิดมีมากกว่า ส่วนรายงานปี 2010 อ้างว่า อาหารเสริมเป็นน้ำมันปลา 3 ชนิดจาก 24 ชนิดที่ทดสอบมี EPA และ/หรือ DHA น้อยกว่าที่ติดป้าย แต่ความพร้อมใช้ทางชีวภาพ (bioavailability) ของ EPA และ DHA พบว่าสูงทั้งในแบบบรรจุเป็นแคปซูลหรือขายเป็นน้ำมัน

สูตร

น้ำมันปลาเป็นอาหารเสริมมีขายทั้งแบบแคปซูลและแบบน้ำ แคปซูลบางอย่างเคลือบพิเศษ (enteric-coated) เพื่อให้ผ่านกระเพาะอาหารไปแล้วละลายในลำไส้เล็ก ซึ่งช่วยไม่ให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อยหรือเรอเป็นกลิ่นปลา แต่ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตไม่ดีก็ยังมีโอกาสปล่อยส่วนผสมก่อนควร ConsumerLab รายงานว่า อาหารเสริมแคปซูลซึ่งเคลือบพิเศษที่บริษัทได้ทดสอบ 1 ใน 24 อย่างปล่อยส่วนผสมก่อนควร

อันตราย

งานปริทัศน์เป็นระบบปี 2013 สรุปว่า โอกาสเกิดปัญหาในผู้สูงอายุที่ทานน้ำมันปลา อย่างแย่ที่สุดก็เพียงน้อยจนถึงปานกลาง และไม่น่าจะมีนัยสำคัญทางคลินิก

การทานมากสุด

องค์กรอาหารและยาสหรัฐแนะนำไม่ให้ผู้บริโภคทาน EPA และ DHA รวมกันเกิน 3 กรัมต่อวัน โดยไม่ควรได้เกิน 2 กรัมจากอาหารเสริม แต่นี่ก็ไม่ได้เท่ากับน้ำมันปลา 3,000 มก. ยาขนาด 1,000 mg ปกติจะมีกรดไขมันโอเมกา-3 แค่ 300 มก. ยา 10 เม็ดจึงจะมีกรดไขมันโอเมกา-3 ถึง 3,000 มก. แต่ตามองค์การความปลอดภัยอาหารยุโรป (EFSA) อาหารเสริมที่มี EPA และ DHA รวมกัน 5 กรัมไม่สร้างปัญหาความปลอดภัยแก่ผู้ใหญ่

งานศึกษาปี 1987 พบว่า ชาวอินูอิต (Inuits) ในกรีนแลนด์ที่มีสุขภาพดีได้ EPA โดยเฉลี่ย 5.7 กรัมต่อวัน ซึ่งมีผลหลายอย่างรวมทั้งเลือดออกนาน คือเลือดจับเป็นลิ่มช้า

วิตามิน

ตับและผลิตภัณฑ์ตับ (เช่น น้ำมันปลาคอด) ของปลาและสัตว์หลายอย่างอื่น ๆ (เช่น แมวน้ำและวาฬ) มีกรดไขมันโอเมกา-3 แต่ก็มีวิตามินเอในรูปแบบที่มีฤทธิ์ด้วย และในระดับสูง วิตามินในรูปแบบนี้อาจมีอันตราย (เป็นภาวะวิตามินเอเกิน [Hypervitaminosis A])

สารพิษปนเปื้อน

ผู้บริโภคปลาไขมันสูงควรรู้ถึงโอกาสการมีโลหะหนักและมลพิษที่ละลายในไขมันได้ เช่น PCB และ dioxin ซึ่งจะสะสมแบบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามขึ้นโซ่อาหาร (เป็นกระบวนการ biomagnification) หลังจากทบทวนเป็นการใหญ่ นักวิจัยจากคณะสาธารณสุขของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้รายงานในวารสารแพทย์ JAMA ว่า ประโยชน์ที่ได้จากปลามีน้ำหนักยิ่งกว่าโอกาสเสี่ยงมาก

อาหารเสริมคือน้ำมันปลาตกเป็นปัญหาในปี 2006 เมื่อสำนักงานมาตรฐานอาหาร (Food Standards Agency) แห่งสหราชอาณาจักร และองค์การความปลอดภัยอาหารแห่งไอร์แลนด์ (Food Safety Authority of Ireland) ได้รายงานระดับ PCB ในน้ำมันปลาหลายยี่ห้อที่เกินจุดจำกัดสูงสุดของยุโรป ซึ่งทำให้บริษัทต้องเรียกคืนสินค้า เพื่อแก้ปัญหาความปนเปื้อนน้ำมันปลาที่เป็นอาหารเสริม บริษัท Nutrasource Diagnostics จึงได้เริ่มโปรแกรมมาตรฐานน้ำมันปลานานาชาติ (IFOS) ซึ่งเป็นโปรแกรมทดสอบและรับรองผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาโดยบุคคลภายนอกภายในรัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา

ในปี 2010 กลุ่มสิ่งแวดล้อมแคลิฟอร์เนียได้ฟ้องศาลว่า อาหารเสริมเป็นน้ำมันปลา 8 ยี่ห้อมีระดับ PCB เกิน (รวมยี่ห้อ CVS/pharmacy, Nature Made, Rite Aid, GNC, Solgar, Twinlab, Now Health, Omega Protein และ Pharmavite) โดยส่วนมากเป็นน้ำมันตับปลาคอดหรือปลาฉลาม โจทก์ร่วมฟ้องได้อ้างว่า เพราะตับเป็นอวัยวะขับกรองและล้างพิษหลัก ปริมาณ PCB ในน้ำมันตับจึงสูงกว่าในน้ำมันที่แปรรูปมาจากปลาทั้งตัว

งานวิเคราะห์ที่ได้ข้อมูลจากงานศึกษา Norwegian Women and Cancer Study (NOWAC) เกี่ยวกับอันตรายของการได้สารมลพิษอินทรีย์ที่คงยืน (persistent organic pollutant, POP) ในตับปลาคอดได้สรุปว่า ในหญิงชาวนอร์เวย์ การบริโภคตับปลาไม่สัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ ตรงกันข้ามกลับพบว่า ความเสี่ยงมะเร็งทั้งหมดลดลง

คณะแพทยศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ศึกษาน้ำมันปลาที่นิยม 5 ยี่ห้อรวมทั้ง Nordic Ultimate, Kirkland และ CVS แล้วรายงานในปี 2003 ว่า ยี่ห้อทั้งหมดมี "ปริมาณปรอทที่น้อยมาก ซึ่งแสดงว่าได้กำจัดปรอทเมื่อผลิตน้ำมันปลาบริสุทธิ์ หรือปลาซึ่งเป็นแหล่งที่ใช้ในการแปรรูปทางพาณิชย์เหล่านี้ค่อนข้างปลอดปรอท"

น้ำมันสาหร่ายเซลล์เดียว (Microalgae/Microphyte) อาจใช้แทนน้ำมันปลาสำหรับผู้ทานอาหารปลอดเนื้อสัตว์ อาหารเสริมที่ได้มาจากสาหร่ายเซลล์เดียวมีอัตราส่วนกรดไขมันโอเมกา-3 เช่นเดียวกับน้ำมันปลาแต่ก็เสี่ยงมีมลพิษน้อยลง

ดูเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น


Новое сообщение