Мы используем файлы cookie.
Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.

โรคเมลิออยด์

Подписчиков: 0, рейтинг: 0
โรคเมลิออยด์
(Melioidosis)
One of the melioidosis abscesses on the abdomen.jpg
Melioidosis abscess on the abdomen
สาขาวิชา โรคติดเชื้อ (การแพทย์เฉพาะทาง)
อาการ None, fever, pneumonia, multiple abscesses
ภาวะแทรกซ้อน Encephalomyelitis, septic shock, acute pyelonephritis, septic arthritis, osteomyelitis
การตั้งต้น 1-21 days after exposure
สาเหตุ Burkholderia pseudomallei spread by contact to soil or water
ปัจจัยเสี่ยง Diabetes mellitus, thalassaemia, alcoholism, chronic kidney disease
วิธีวินิจฉัย Growing the bacteria in culture mediums
โรคอื่นที่คล้ายกัน Tuberculosis
การป้องกัน Prevention from exposure to contaminated water, antibiotic prophylaxis
การรักษา Ceftazidime, meropenem, co-trimoxazole
ความชุก 165,000 people per year
การเสียชีวิต 89,000 people per year

โรคเมลิออยด์ หรือ โรคเมลิออยโดซิส (อังกฤษ: Melioidosis) เป็นโรคติดเชื้อซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ Burkholderia pseudomallei เชื้อนี้พบได้ในดินและน้ำ โรคนี้มีความสำคัญทางสาธารณสุขโดยเฉพาะในประเทศไทยและทางเหนือของออสเตรเลีย รูปแบบของโรคอาจมีได้ทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง ผู้ป่วยอาจมีอาการแตกต่างกันมาก เช่น เจ็บหน้าอก กระดูก หรือข้อ ไอ การติดเชื้อที่ผิวหนัง ก้อนในปอด หรือปอดอักเสบ

ในอดีตเชื้อแบคทีเรีย B. pseudomallei จัดอยู่ในจีนัส Pseudomonas และเคยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pseudomonas pseudomallei จนกระทั่งปี ค.ศ. 1992 มีการจำแนกทางวิวัฒนาการพบว่ามีความใกล้ชิดกับเชื้อ Burkholderia mallei ซึ่งก่อโรคแกลนเดอร์ส (Glanders) หรือโรคมงคล่อพิษในม้า ลา และล่อ ชื่อโรคเมลิออยด์นี้มาจากภาษากรีกว่า melis หมายความว่า "โรคติดเชื้อของลา" และคำท้าย -oid หมายถึง "คล้ายคลึง" และ -osis หมายถึง "ภาวะ" ดังนั้นชื่อโรคจึงหมายความว่า ภาวะซึ่งคล้ายกับโรคแกลนเดอร์ส

ระบาดวิทยา

โรคเมลิออยด์เป็นโรคประจำถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รวมถึงประเทศไทย ลาว และตอนใต้ของจีน สิงคโปร์ มาเลเซีย พม่า และเวียดนาม) ไต้หวัน และตอนเหนือของออสเตรเลีย และมีรายงานผู้ป่วยหลายรายในฮ่องกง บรูไน อินเดีย และมีรายงานผู้ป่วยประปรายในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ตะวันออกกลาง แปซิฟิก และประเทศในแอฟริกัน แม้ว่าจะมีรายงานผู้ป่วยเพียงรายเดียวในบังคลาเทศ แต่พบผู้ป่วยอย่างน้อยห้ารายที่เดินทางจากประเทศดังกล่าวเข้ามาในสหราชอาณาจักร ซึ่งแสดงว่าเมลิออยโดซิสเป็นโรคประจำถิ่นในประเทศดังกล่าว แต่กลับมีปัญหาไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือปัญหารายงานจำนวนผู้ป่วยน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจเกิดจากการขาดแคลนอุปกรณ์ปฏิบัติการที่เพียงพอ

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยมีอุบัติการณ์ของโรคเมลิออยด์สูงที่สุดในโลก (ผู้ป่วยโรคเมลิออยด์ 21.3 รายในประชากร 100,000 รายต่อปี) ร้อยละ 80 ของเด็กในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยมีผลแอนติบอดีต่อเชื้อ B. pseudomallei เป็นบวกตั้งแต่อายุ 4 ปี ซึ่งพบว่าในที่อื่น ๆ จะมีจำนวนน้อยกว่านี้

โรคเมลิออยด์เป็นโรคที่พบในสัตว์ อาทิ แมว แพะ แกะ และม้า ส่วนในวัว ควาย และจระเข้ เชื่อว่ามีความต้านทานต่อการติดเชื้อเมลิออยโดซิสทั้งที่สัมผัสกับโคลนอยู่ตลอด การระบาดของโรคในสวนสัตว์ปารีสในทศวรรษที่ 1970 ("L’affaire du jardin des plantes") เชื่อว่ามีต้นเหตุจากแพนด้าที่นำเข้ามา

เชื้อแบคทีเรีย Burkholderia pseudomallei ปกติพบได้ในดินและน้ำผิวดิน ประวัติการสัมผัสดินหรือแหล่งน้ำจึงแทบไม่แตกต่างกันในผู้ป่วยโรคเมลิออยด์ นั่นคือผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มีประวัติสัมผัสกับดินที่ปนเปื้อนไม่มีอาการเจ็บป่วย แม้แต่ในแหล่งชุกชุมของโรคการกระจายของเชื้อ B. pseudomallei ในดินก็เป็นอย่างประปราย การปนเปื้อนเชื้อของน้ำใต้ดินเป็นสาเหตุของการระบาดครั้งหนึ่งในตอนเหนือของออสเตรเลีย

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของการเป็นโรคเมลิออยด์อย่างรุนแรงคือเบาหวาน ปัจจัยเสี่ยงอื่นอาทิ ทาลัสซีเมีย โรคไต และอาชีพ (เกษตรกรรม) เชื่อกันว่าเชื้อเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลที่ผิวหนัง หรือผ่านการหายใจเอาเชื้อ B. pseudomallei เข้าไป มีรายงานของการติดต่อจากคนสู่คนแต่ค่อนข้างพบได้ไม่บ่อย

นอกจากนี้ยังพบว่าโรคมีความสัมพันธ์กับฝน โดยพบว่าจำนวนและความรุนแรงของผู้ป่วยเพิ่มขึ้นตามปริมาณฝน

อาการทางคลินิก

โรคเมลิออยด์เฉียบพลัน

ในผู้ป่วยบางกลุ่มที่สามารถระบุเวลาที่ติดเชื้อได้ พบว่าระยะฟักตัวเฉลี่ยของโรคเมลิออยด์เฉียบพลันคือ 9 วัน (ตั้งแต่ 1-12 วัน) ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคเมลิออยด์แอบแฝงอาจไม่แสดงอาการเลยได้หลายสิบปี โดยช่วงเวลาตั้งแต่สันนิษฐานว่าติดเชื้อจนถึงระยะปรากฏอาการที่นานที่สุดเท่าที่มีรายงานคือ 62 ปี ระยะฟักตัวที่ยาวนานเริ่มเป็นที่รู้จักกันจากในทหารสหรัฐอเมริกาในสมรภูมิสงครามเวียดนามที่ป่วยและเสียชีวิตจำนวนมากหลังกลับจากสมรภูมิหลายสิบปี จนได้รับสมญานามว่า "ระเบิดเวลาเวียดนาม" (Vietnam time-bomb) ความรุนแรงของโรคเมลิออยด์มีได้หลากหลาย ในผู้ป่วยเรื้อรังอาจแสดงอาการได้นานเป็นเดือน แต่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเร็วร้าย (fulminant infection) โดยเฉพาะภาวะจมน้ำ อาจแสดงอาการรุนแรงได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง

ผู้ป่วยโรคเมลิออยด์เฉียบพลันมักมีอาการมาด้วยไข้ อาการปวดหรืออาการอื่น ๆ อาจช่วยบ่งบอกการติดเชื้อเฉพาะที่ได้ โดยพบได้ราวร้อยละ 75 ของผู้ป่วย อาการอื่นเช่นไอหรือเจ็บหน้าอกอาจบ่งถึงภาวะปอดอักเสบ อาการปวดข้อหรือกระดูกอาจบ่งถึงภาวะกระดูกอักเสบหรือข้ออักเสบติดเชื้อ หรือเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (cellulitis) การติดเชื้อในช่องท้องเช่นฝีในตับ ม้าม หรือต่อมลูกหมาก มักไม่แสดงอาการมาด้วยปวดเฉพาะที่ จึงควรตรวจด้วยการวินิจฉัยทางรังสีเช่นการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงหรือการตรวจเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ ในการศึกษาผู้ป่วย 214 ราย พบว่าร้อยละ 27.6 มีฝีที่ตับและม้าม (ช่วงความเชื่อมั่น 95%, 22.0% ถึง 33.9%) ลักษณะของฝีที่เกิดจากเชื้อ B. pseudomallei ในภาพเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์มีลักษณะคล้ายรังผึ้ง (honeycomb) หรือ เนยแข็งสวิส (swiss cheese) คือทึบเสียง มีผนังกั้นหลายอัน และแบ่งเป็นหลายช่อง (hypoechoic, multi-septate, multiloculate)

อาการของการติดเชื้อเฉพาะส่วนแสดงอาการได้หลากหลาย เช่น ฝีของต่อมน้ำลายพาโรติด พบในผู้ป่วยเด็กชาวไทย แต่ในผู้ป่วยออสเตรเลียมีรายงานพบเพียงหนึ่งราย ในทางกลับกัน ฝีของต่อมลูกหมากพบได้ถึงร้อยละ 20 ของผู้ป่วยชายชาวออสเตรเลียแต่ไม่พบรายงานในที่อื่น อาการสมองและไขสันหลังอักเสบพบได้ในตอนเหนือของออสเตรเลีย

ผู้ป่วยโรคเมลิออยด์มักมีปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วย เช่น เบาหวาน ทาลัสซีเมีย การดื่มแอลกอฮอล์ หรือโรคไต และมักให้ประวัติอาชีพหรืองานที่สัมผัสกับโคลนหรือน้ำใต้ดิน อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยที่แข็งแรงรวมทั้งเด็กก็อาจเป็นโรคนี้ได้

ร้อยละ 25 ของผู้ป่วยอาจไม่พบอาการของการติดเชื้อและต้องวินิจฉัยโดยการเพาะเชื้อจากเลือดหรือการป้ายคอมาตรวจ อาจกล่าวได้ว่าโรคเมลิออยด์ทำให้เกิดการติดเชื้อได้กับทุกอวัยวะในร่างกาย ยกเว้นลิ้นหัวใจ แม้ว่าจะพบผู้ป่วยเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อเมลิออยด์ตามหลังฝีในสมองที่แตกออก แต่ไม่เคยมีรายงานการติดเชื้อเยื่อหุ้มสมองโดยตรง อาการแสดงที่พบได้ไม่บ่อยได้แก่การติดเชื้อในหลอดเลือด ฝีของต่อมน้ำเหลือง (1.2-2.2%) เยื่อหุ้มหัวใจเป็นหนอง และกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ การติดเชื้อในประจันอก (mediastinum) ฝีในต่อมไทรอยด์และถุงอัณฑะ และการติดเชื้อในดวงตา

โรคเมลิออยด์เรื้อรัง

โรคเมลิออยด์เรื้อรังส่วนมากหมายถึงมีอาการยาวนานกว่า 2 เดือน พบได้ในผู้ป่วยราวร้อยละ 10 อาการแสดงทางคลินิกของโรคเมลิออยด์เรื้อรังมีการเปลี่ยนแปลงได้ โดยอาจมาด้วยการติดเชื้อที่ผิวหนังเรื้อรัง แผลที่ผิวหนัง ก้อนในปอด หรือปอดอักเสบเรื้อรัง โดยแสดงอาการเลียนแบบวัณโรค บางครั้งอาจเรียกโรคนี้ว่า "วัณโรคเวียดนาม" (Vietnamese tuberculosis) โรคเมลิออยด์เรื้อรังอาจแสดงอาการเลียนแบบวัณโรคเยื่อหุ้มหัวใจ (tuberculous pericarditis) ได้

การวินิจฉัย

Appearance of B. pseudomallei colonies on Ashdown's medium after four days of incubation.

การวินิจฉัยยืนยันของโรคเมลิออยด์นั้นทำโดยการเพาะเชื้อจากร่างกาย เนื่องจากโดยปกติแล้วจะไม่พบเชื้อดังกล่าวในร่างกายมนุษย์

ประวัติการสัมผัสดินอาจไม่สามารถซักจากผู้ป่วยได้ เนื่องจากโรคเมลิออยด์อาจแฝงอยู่เป็นเวลาหลายปีกว่าจะแสดงอาการ สำหรับผู้ที่อยู่นอกแหล่งที่โรคเมลิออยด์เป็นโรคประจำถิ่นควรซักประวัติการเดินทางไปยังบริเวณที่พื้นที่เฉพาะถิ่นของโรคเมลิออยด์ บางแหล่งข้อมูลแนะนำให้คิดถึงความเป็นไปได้ที่จะติดเชื้อเมลิออยด์ ในผู้ป่วยทุกรายที่มีประวัติเดินทางไปยังหรืออาศัยอยู่ในแหล่งที่โรคเมลิออยด์เป็นโรคประจำถิ่น

การตรวจคัดกรองการติดเชื้อทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเพาะเชื้อจากเลือด เพาะเชื้อจากปัสสาวะ การป้ายคอมาตรวจ และการเพาะเชื้อจะหนองที่ดูดมาได้ ควรทำในผู้ป่วยทุกรายที่สงสัยการติดเชื้อโรคเมลิออยด์ (โดยเพาะเชื้อใน blood agar หรือ Ashdown's medium) ซึ่งสามารถยืนยันการวินิจฉัยโดยการเพาะเชื้อพบ B. pseudomallei จากตัวอย่างใดก็ได้ที่เก็บมา การป้ายคออาจไม่มีความไว (sensitivity) แต่ให้ความจำเพาะ (specificity) ถึง 100% หากให้ผลบวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผลเพาะเชื้อจากเสมหะเป็นบวกด้วย ความไวของการเพาะเชื้อจากปัสสาวะจะยิ่งเพิ่มขึ้นหากเพาะเชื้อจากปัสสาวะที่ปั่นเหวี่ยง (centrifuged) และหากผลเพาะเชื้อขึ้นก็นับเป็นผลบวกไม่ว่าจะมีปริมาณเชื้อเท่าใดก็ตาม (ไม่จำเป็นต้องใช้เกณฑ์ทั่วไปที่ปริมาณเชื้อมากกว่า 104 ต่อมิลลิลิตร) ในบางครั้งการเพาะเชื้อจากไขกระดูกอาจให้ผลบวกในผู้ป่วยที่ผลเพาะเชื้อ B. pseudomallei เป็นลบ แต่ก็ไม่แนะนำให้ทำ ข้อผิดพลาดของแพทย์ที่อาจไม่คุ้นเคยกับโรคนี้คือ การส่งตัวอย่างเฉพาะจากอวัยวะที่ติดเชื้อไปตรวจเท่านั้น แทนที่จะส่งตัวอย่างคัดกรองทุกส่วนดังที่กล่าวมาตอนต้น

ตัวกลางเพาะเชื้อ Ashdown's medium เป็นตัวกลางที่มียาปฏิชีวนะเจนตามัยซิน (gentamicin) ซึ่งจำเป็นในการเพาะเชื้อจากส่วนที่ไม่ปราศจากเชื้อ (non-sterile sites) ตัวกลางเพาะเชื้อ Burkholderia cepacia medium อาจเป็นตัวเลือกที่ใช้เพาะเชื้อได้ในบริเวณที่ไม่ใช่พื้นที่โรคเมลิออยด์เป็นโรคประจำถิ่นหากไม่มี Ashdown's medium ให้ใช้ ตัวกลางเพาะเชื้อชนิดใหม่ซึ่งพัฒนามาจาก Ashdown's medium ชื่อว่า Francis medium อาจช่วยในการแยกระหว่างเชื้อ B. pseudomallei กับ B. cepacia และอาจช่วยในการวินิจฉัยโรคเมลิออยด์ได้ในระยะแรก แต่ก็ยังไม่มีการยอมรับกันทางคลินิกอย่างกว้างขวาง ชุดตรวจเพื่อยืนยันเชื้อแบคทีเรียสำเร็จรูปหลายตัวอาจไม่สามารถระบุเชื้อ B. pseudomallei ได้อย่างถูกต้อง

การทดสอบทางวิทยาน้ำเหลือง (serology) สำหรับเชื้อเมลิออยด์ เช่น การทดสอบปริมาณการเกาะกลุ่มของเม็ดเลือดแดงทางอ้อม (indirect haemagglutination assay) แต่อาจไม่สามารถทำได้ในหลายประเทศ ในประเทศที่โรคนี้เป็นโรคประจำถิ่นประชากรมี titre สูงอยู่แล้วทำให้ค่าพยากรณ์ผลบวก (positive predictive value) ลดลง การทดสอบเชื้อที่นิยมกันแพร่หลายในประเทศไทยคือการทดสอบอิมมูโนฟลูออเรสเซนต์โดยตรงจำเพาะ (direct immunofluorescent test) และการเกาะกลุ่มลาเท็กซ์ (latex agglutination) โดยอาศัยสารภูมิต้านทานโมโนโคลน (monoclonal antibodies) แต่การทดสอบนี้ไม่มีที่ใช้ในประเทศอื่น อิมมูโนฟลูออเรสเซนต์โดยตรงมีปฏิกิริยาข้าม (cross-reactivity) เกือบสมบูรณ์กับ B. thailandensis

การวินิจฉัยโรคเมลิออยด์ไม่สามารถทำได้โดยอาศัยวิธีทางรังสี (เอกซเรย์และสแกน) เท่านั้น แต่วิธีการทางรังสีมักถูกใช้เป็นประจำเพื่อประเมินความรุนแรงของโรค แนะนำให้ทำภาพรังสีของช่องท้องโดยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง เนื่องจากฝีของอวัยวะภายในอาจไม่ได้แสดงอาการทางคลินิกออกมาชัดเจน และอาจพบฝีเกิดร่วมกับโรคที่บริเวณอื่น ในประเทศออสเตรเลียแนะนำให้ทำภาพรังสีเพื่อตรวจต่อมลูกหมากเนื่องจากมีอุบัติการณ์ของฝีที่ต่อมลูกหมากสูงในผู้ป่วยทางตอนเหนือของออสเตรเลีย การทำเอกซเรย์ทรวงอกแนะนำให้ทำเป็นประจำ ร่วมกับการตรวจเพิ่มเติมอื่น ๆ ตามอาการแสดงทางคลินิก การปรากฏฝีที่ตับลักษณะเป็นรังผึ้ง (honeycomb abscesses) เป็นลักษณะของการติดเชื้อเมลิออยด์ที่ตับ แต่ภาพที่เห็นไม่ได้บ่งถึงการวินิจฉัย

การวินิจฉัยแยกโรคนั้นมีได้กว้างเนื่องจากโรคเมลิออยด์อาจแสดงลักษณะทางคลินิกเลียนแบบการติดเชื้ออื่น ๆ รวมทั้งวัณโรค

การรักษา

การรักษาปัจจุบัน

การรักษาโรคเมลิออยด์แบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือระยะที่ต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ และระยะการรักษาต่อเนื่องด้วยยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน

ระยะที่ต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ

ยาปฏิชีวนะเซฟตาซิดิม (Ceftazidime) ทางหลอดเลือดดำเป็นยาที่ควรเลือกใช้อันดับแรกเพื่อรักษาโรคเมลิออยด์เฉียบพลันในปัจจุบัน ส่วนเมอโรเพเนม (meropenem) ไอมิเพเนม (imipenem) และเซโฟพีราโซน-ซัลแบคแทม (cefoperazone-sulbactam) (หรือ ซัลพีราโซน (Sulperazone)) ก็มีประสิทธิภาพใช้ได้ ยาปฏิชีวนะอะม็อกซีซิลลิน-คลาวูลาเนต (amoxicillin-clavulanate) (หรือโคอะม็อกซีคลาฟ (co-amoxiclav)) อาจเลือกใช้ได้หากไม่มียาปฏิชีวนะ 4 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้น แต่อาจให้ผลด้อยกว่า ควรให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำอย่างน้อย 10 ถึง 14 วัน และไม่ควรหยุดให้จนกว่าอุณหภูมิร่างกายผู้ป่วยลดกลับมาเป็นปกติอย่างน้อย 48 ชั่วโมง โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยมักไม่จำเป็นต้องได้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดติดต่อกันนานเกินหนึ่งเดือน

ในประเทศออสเตรเลีย มีการใช้ยาเมอโรเพเนมเพื่อรักษาโรคเมลิออยด์เป็นประจำ ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดี และในปัจจุบันกำลังมีการวิจัยทดสอบเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างเมอโรเพเนมและเซฟตาซิดิมในการรักษาโรคเมลิออยด์ในประเทศไทย โดยใช้ชื่องานวิจัยว่า ATOM

ในทางทฤษฎีแล้วเชื่อว่าอัตราตายในผู้ป่วยโรคเมลิออยด์ที่ได้รับการรักษาด้วยยาไอมิเพเนมจะน้อยกว่าผู้ที่ได้รับยาอื่น เนื่องจากยาไอมิเพเนมทำให้แบคทีเรียที่ตายปล่อยชีวพิษภายในตัวออกมาน้อยกว่า และค่าความเข้มข้นน้อยที่สุดที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ (mean inhibitory concentration; MIC) ของยาไอมิเพเนมก็น้อยกว่าเซฟตาซิดิม แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่พบความแตกต่างกันระหว่างอัตราตายของผู้ป่วยที่ได้รับยาไอมิเพเนมและเซฟตาซิดิม ค่าความเข้มข้นน้อยที่สุดที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ (MIC) ของเมอโรเพเนมต่อเชื้อ B. pseudomallei มีค่าสูงกว่าเชื้ออื่นๆ และผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการกรองเลือด (haemofiltration) อาจต้องได้รับยาบ่อยขึ้นหรือปริมาณสูงขึ้น

เซฟีพิม (cefepime) และเออตาเพเนม (ertapenem) ไม่มีประสิทธิภาพในการทดลองนอกร่างกาย (in vitro) พิเพอราซิลลิน-ซัลแบคแทม (piperacillin-sulbactam) โดริเพเนม (doripenem) และไบอะเพเนม (biapenem) มีประสิทธิภาพในการทดลองนอกร่างกาย แต่ไม่มีการวิจัยทางคลินิกเพื่อยืนยันประสิทธิภาพการรักษาจริง

การให้การรักษาเสริมด้วย Granulocyte colony-stimulating factor (GCSF) หรือโค-ไตรม็อกซาโซล (co-trimoxazole) พบว่าไม่ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากการศึกษาในประเทศไทย

ระยะการรักษาต่อเนื่องด้วยยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน

หลังจากการรักษาในระยะเฉียบพลัน แนะนำให้รักษาต่อเนื่องหรือกำจัดเชื้อด้วยยาโค-ไตรม็อกซาโซล (co-trimoxazole) ร่วมกับดอกซีไซคลีน (doxycycline) เป็นเวลา 12 ถึง 20 สัปดาห์เพื่อลดอัตราการกลับเป็นซ้ำ ปัจจุบันไม่แนะนำให้ใช้คลอแรมเฟนิคอลเพื่อวัตถุประสงค์นี้แล้ว โค-อะม็อกซีคลาฟ (co-amoxiclav) เป็นยาปฏิชีวนะทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ยาโค-ไตรม็อกซาโซลและดอกซีไซคลีน (เช่นผู้ป่วยหญิงตั้งครรภ์ และเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี) แต่อาจให้ประสิทธิผลดีไม่เท่า การใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานกลุ่มฟลูออโรควิโนโลน (fluoroquinolone) เพียงชนิดเดียว หรือดอกซีไซคลีนเพื่อการรักษาระยะต่อเนื่องนั้นไม่มีประสิทธิผล

ในออสเตรเลียมีการใช้ยาโค-ไตรม็อกซาโซลชนิดเดียวในการรักษาเพื่อกำจัดเชื้อ โดยมีอัตราการกลับเป็นซ้ำต่ำกว่าที่พบในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีหลักฐานการทดลองนอกร่างกายพบว่าโค-ไตรม็อกซาโซลและดอกซีไซคลีนออกฤทธิ์ต้านกัน และโค-ไตรม็อกซาโซลตัวเดียวน่าจะให้ผลดีกว่า มีการวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (MERTH) เพื่อเปรียบเทียบการรักษาด้วยโค-ไตรม็อกซาโซลชนิดเดียวกับการรักษามาตรฐานด้วยโค-ไตรม็อกซาโซลร่วมกับดอกซีไซคลีนเริ่มในปี ค.ศ. 2006 และเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 2008 การศึกษาสนับสนุนความจำเป็นในการติดตามการรักษาให้เพียงพอและความร่วมมือปฏิบัติตามของผู้ป่วยอย่างดีในการรักษาระยะนี้ ปริมาณยาโค-ไตรม็อกซาโซลต้องคำนวณตามน้ำหนัก (<40 กิโลกรัม: 160/800 มิลลิกรัม ทุก 12 ชั่วโมง; 40–60 กิโลกรัม: 240/1200 มิลลิกรัม ทุก 12 ชั่วโมง, >60 กิโลกรัม: 320/1600 มิลลิกรัม ทุก 12 ชั่วโมง)

การรักษาด้วยการผ่าตัด

การรักษาด้วยการระบายหนองออกใช้เพื่อรักษาฝีในต่อมลูกหมากและข้ออักเสบติดเชื้อ อาจใช้ในการรักษาฝีในต่อมน้ำลายพาโรติด แต่ไม่แนะนำให้ใช้ในการรักษาฝีในตับหรือม้าม ในภาวะที่มีการติดเชื้อเมลิออยด์ในกระแสเลือดที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำอาจพิจารณารักษาด้วยการตัดม้ามแต่มีหลักฐานเพียงเล็กน้อยที่สนับสนุนการรักษาด้วยวิธีนี้

การรักษาในอดีต

ก่อนปี ค.ศ. 1989 การรักษามาตรฐานของโรคเมลิออยด์เฉียบพลันประกอบด้วยยาสามชนิดรวมกัน ได้แก่ คลอแรมเฟนิคอล โค-ไตรม็อกซาโซล และดอกซีไซคลีน การรักษาด้วยสูตรนี้มีอัตราเสียชีวิตถึงร้อยละ 80 และไม่แนะนำให้ใช้สูตรนี้หากมียาชนิดอื่นให้เลือกรักษา ยาทั้งสี่ชนิดเป็นยาปฏิชีวนะชนิดยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียแต่ไม่ได้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้โค-ไตรม็อกซาโซลยังทำงานต้านกับคลอแรมเฟนิคอลและดอกซีไซคลีนอีกด้วย

พยากรณ์โรค

หากไม่ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม (โดยหลักแล้วคือเซฟตาซิดิมหรือเมอโรเพเนม) การติดเชื้อเมลิออยด์ในกระแสเลือดมีอัตราการเสียชีวิตสูงมากกว่าร้อยละ 90 แต่หากได้รับยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม อัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 10 แต่หากผู้ป่วยมีภาวะแบคทีเรียในกระแสเลือดหรือภาวะพิษเหตุติดเชื้อรุนแรงมีอัตราเสียชีวิตถึงร้อยละ 80 การเข้าถึงการดูแลรักษาอภิบาลมีความสำคัญซึ่งอาจอธิบายสาเหตุที่อัตราเสียชีวิตรวมในตอนเหนือของออสเตรเลียอยู่ที่ร้อยละ 20 แต่อัตราเสียชีวิตในภาคอีสานของไทยอยู่ที่ร้อยละ 40 การตอบสนองของผู้ป่วยต่อยาปฏิชีวนะเป็นไปอย่างช้าโดยมีระยะเวลาเฉลี่ยของไข้ภายหลังจากการรักษาที่ 5-9 วัน

การกลับเป็นซ้ำอยู่ร้อยละ 10 ถึง 20 ของผู้ป่วยทั้งหมด การศึกษาทางโมเลกุลพบว่าการกลับเป็นโรคซ้ำส่วนใหญ่ขึ้นกับสายพันธุ์ของเชื้อที่ติดในตอนแรก แต่อัตราการกลับเป็นโรคส่วนใหญ่ (มากถึงสามในสี่) ในบริเวณที่โรคเมลิออยด์เป็นโรคประจำถิ่นเกิดจากการติดเชื้อซ้ำภายหลัง 2 ปี ปัจจัยเสี่ยงของการกลับเป็นซ้ำขึ้นกับความรุนแรงของโรค (ผู้ป่วยที่ผลเพาะเชื้อเป็นบวกหรือมีโรคหลายตำแหน่งจะมีอัตราการกลับเป็นซ้ำสูงกว่า) ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาเพื่อกำจัดเชื้อ (โดยการใช้ยาดอกซีไซคลินเพียงชนิดเดียวหรือยากลุ่มฟลูออโรควิโนโลนไม่มีประสิทธิผลเพียงพอ) ความร่วมมือของผู้ป่วยในการรักษากำจัดเชื้อต่ำ และระยะเวลาในการรักษาเพื่อกำจัดเชื้อน้อยกว่า 8 สัปดาห์ทำให้มีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้สูง

การป้องกัน

พบว่ามีรายงานน้อยมากเกี่ยวกับการติดต่อระหว่างคนสู่คน ผู้ป่วยโรคเมลิออยด์จึงไม่จัดว่าแพร่กระจายเชื้อได้ง่าย สำหรับผู้ทำงานในห้องปฏิบัติการควรถือว่าตัวอย่างเชื้อ Burkholderia pseudomallei ภายใต้ระดับความปลอดภัยทางชีวภาพที่ระดับ 3 (BSL-3) หลังจากการได้รับเชื้อในห้องปฏิบัติการ แนะนำให้ใช้โค-ไตรม็อกซาโซล (cotrimoxazole) ในการป้องกันโรคหลังได้รับเชื้อแม้ว่าจะยังไม่มีการทดลองทางคลินิก

ในพื้นที่ที่โรคเมลิออยด์เป็นโรคประจำถิ่น เกษตรกรที่ทำนาควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับดิน โคลน หรือแหล่งน้ำหากเป็นไปได้ พบว่ามีผู้ป่วยจำนวนมากตามหลังเหตุการณ์น้ำท่วมและพายุไซโคลน และเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการสัมผัสดินหรือน้ำที่ปนเปื้อน นอกจากนี้มีผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งที่สัมพันธ์กับการบริโภคน้ำที่ปนเปื้อน ประชากรกลุ่มเสี่ยงของโรคเมลิออยด์ได้แก่ผู้ป่วยเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง โรคปอดเรื้อรัง หรือผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องชนิดใดก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาถึงประสิทธิผลของการหลีกเลี่ยงการสัมผัสจุลชีพก่อโรค และยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันโรคนี้

การป้องกันโรคหลังการสัมผัสเชื้อ

หลังจากการสัมผัสเชื้อแบคทีเรีย B. pseudomallei ซึ่งมักเกิดจากอุบัติเหตุในห้องปฏิบัติการ แนะนำให้รักษาด้วยโค-ไตรม็อกซาโซลร่วมกับดอกซีไซคลีนโทรวาฟลอกซาซิน (trovafloxacin) และเกรพพาฟลอกซาซิน (grepafloxacin) มีประสิทธิภาพในการป้องกันจากการทดลองในสัตว์

การใช้เป็นอาวุธชีวภาพ

โรคเมลิออยด์ได้รับความสนใจมากขึ้นเนื่องจากมีประสิทธิภาพในการพัฒนาเป็นอาวุธชีวภาพได้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค สหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control) หรือ CDC จัดให้เชื้อโรคเมลิออยด์เป็นอาวุธชีวภาพหมวด B สหรัฐอเมริกาได้เคยทำการศึกษาเชื้อ B. pseudomallei รวมทั้ง B. mallei ซึ่งก่อโรคแกลนเดอร์ส (Glanders) ถึงประสิทธิภาพในการทำอาวุธชีวภาพ แต่ไม่เคยถูกใช้ทำเป็นอาวุธจริง เคยมีรายงานว่าสหภาพโซเวียตเคยทดลองเชื้อ B. pseudomallei เพื่อใช้เป็นอาวุธชีวภาพเช่นกัน

แหล่งข้อมูลอื่น


การจำแนกโรค
ทรัพยากรภายนอก

Новое сообщение