Продолжая использовать сайт, вы даете свое согласие на работу с этими файлами.
ไวรัสอาร์เอสวี
Human orthopneumovirus | |
---|---|
ภาพไวรัสอาร์เอสวี ถ่ายด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน | |
การจำแนกชนิดไวรัส | |
ไม่ได้จัดลำดับ: | ไวรัส |
Realm: | Riboviria |
อาณาจักร: | Orthornavirae |
ไฟลัม: | Negarnaviricota |
ชั้น: | Monjiviricetes |
อันดับ: | Mononegavirales |
วงศ์: | Pneumoviridae |
สกุล: | Orthopneumovirus |
สปีชีส์: | Human orthopneumovirus |
ชื่อพ้อง | |
|
ไวรัสอาร์เอสวี หรือ ไวรัสมวลเซลล์รวมระบบหายใจ (อังกฤษ: respiratory syncytial virus (RSV), human respiratory syncytial virus (hRSV), human orthopneumovirus) เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบหายใจของมนุษย์ ไวรัสชนิดนี้พบได้บ่อยมาก มีลักษณะทางไวรัสวิทยาเป็นไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอสายเดียวเซนส์ลบ เซลล์ที่ติดเชื้อจะหลอมรวมกันเป็นมวลเซลล์รวม (syncytial) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อไวรัสนี้
ไวรัสอาร์เอสวีเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยระบบหายใจที่รุนแรงถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่พบบ่อยที่สุดในทารก ผู้ป่วยที่หายแล้วยังสามารถเป็นซ้ำได้อีกหลายครั้งตลอดชีวิต และเป็นเชื้อก่อโรคที่สำคัญในคนทุกอายุ อัตราการติดเชื้อมักเพิ่มสูงขึ้นในฤดูหนาว ทารกที่ติดเชื้อจะมีอาการเป็นหลอดลมฝอยอักเสบ ส่วนผู้ใหญ่อาจเป็นไข้หวัดธรรมดา ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจมีอาการรุนแรงและเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม ได้
เชื้อนี้ติดต่อผ่านฝอยละออง สามารถทำให้เกิดการระบาดเป็นกลุ่มย่อยได้ทั้งในชุมชนและในสถานพยาบาล เมื่อเข้าสู่ร่างกายทางตาหรือจมูกแล้วเชื้อไวรัสจะติดเข้าไปในเซลล์เยื่อบุของทางหายใจได้ทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ทำให้เกิดการอักเสบ เซลล์ตาย และเกิดการอุดกั้นทางหายใจ วิธีตรวจทำได้หลายอย่าง เช่น การตรวจแอนติเจน การตรวจพันธุกรรม และการเพาะเชื้อไวรัส เป็นต้น สถาบันกุมารเวชศาสตร์อเมริกันไม่แนะนำให้ตรวจหาเชื้ออาร์เอสวีด้วยวิธีตรวจทางห้องปฏิบัติการในผู้ป่วยทุกราย เนื่องจากการรักษาโดยหลักเป็นการรักษาเพื่อบรรเทาอาการ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการล้างมือและการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย มีการใช้ยาพาลิวิซูแม็บเป็นการป้องกันก่อนสัมผัสสำหรับทารกที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีภาวะแทรกซ้อนจากการติดไวรัสอาร์เอสวี ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคนี้ แต่มีวัคซีนที่อยู่ระหว่างการทดลองหลายตัว
การรักษาหลักๆ คือการรักษาตามอาการ ได้แก่ การให้ออกซิเจน การให้การช่วยหายใจ (เช่น การใช้ซีแพพ หรือการให้ออกซิเจนแรงดันสูงทางจมูก) เมื่อจำเป็น ในรายที่มีอาการรุนแรง เกิดภาวะหายใจล้มเหลว อาจจำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจ ยาต้านไวรัสที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนว่าใช้รักษาโรคนี้ได้คือไรบาไวริน แต่การใช้จริงก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
อาการและอาการแสดง
การติดไวรัสอาร์เอสวี (Human respiratory syncytial virus infection) | |
---|---|
ชื่ออื่น | Human respiratory syncytial virus |
ภาพเอกซเรย์ปอดของผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้ออาร์เอสวี แสดงให้เห็นส่วนทึบแสงบริเวณขั้วปอดทั้งสองข้าง | |
สาขาวิชา | กุมารเวชศาสตร์ |
การป้องกัน | การล้างมือ หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย |
การติดเชื้ออาร์เอสวีอาจทำให้มีอาการและอาการแสดงได้หลายระดับ ตั้งแต่การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนที่มีอาการเล็กน้อย ไปจนถึงการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและอาจต้องใช้การช่วยหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจ เชื้อนี้สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อได้ในผู้ป่วยทุกอายุ และเป็นการติดเชื้อที่พบบ่อยที่สุดอันดับต้นๆ ในบรรดาการติดเชื้อในเด็กทั้งหมด โดยผู้ป่วยจะมีอาการแตกต่างกันไปขึ้นกับปัจจัยด้านอายุและสถานะของระบบภูมิคุ้มกัน ตลอดชีวิตอาจติดเชื้อซ้ำได้หลายครั้ง แต่ผู้ป่วยกลุ่มที่มีความเสี่ยงจะติดเชื้อแล้วมีอาการสูงสุดก็คือกลุ่มทารกและผู้สูงอายุ
เด็ก
เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป เกือบทุกคนจะเคยติดไวรัสอาร์เอสวีมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง การติดเชื้ออาร์เอสวีในเด็กส่วนใหญ่จะค่อนข้างมีอาการไม่รุนแรงมากและหายได้เอง โดยมีรูปแบบการติดเชื้อเป็นอาการติดเชื้อในระบบหายใจส่วนบน ได้แก่ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ ไข้ต่ำ เมื่อตรวจร่างกายอาจพบเยื่อจมูกอักเสบ คออักเสบ และตาแดงได้ ผู้ป่วยเด็ก 15-50% จะมีอาการที่รุนแรงกว่า คือมีการติดเชื้อในระบบหายใจส่วนล่าง เช่น หลอดลมฝอยอักเสบ ปอดอักเสบ กล่องเสียงอักเสบอุดกั้น เป็นต้น โดยเด็กทารกมีความเสี่ยงมากที่สุดที่จะป่วยรุนแรง
หลอดลมฝอยอักเสบเป็นโรคติดเชื้อระบบหายใจส่วนล่างชนิดหนึ่งซึ่งพบได้บ่อย ผู้ป่วยจะมีการอักเสบและบวมตันที่หลอดลมฝอยในปอด โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัสได้หลายชนิด แต่ที่พบบ่อยที่สุดคือประมาณ 70% เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี ผู้ป่วยมักมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลอยู่ 2-4 วัน จากนั้นจึงมีอาการไอ หายใจเสียงดัง หายใจเร็ว และหายใจมีเสียงหวีดที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ป่วยทารกที่มีอาการหายใจลำบาก (respiratory distress) จะพบว่ามีรอยบุ๋มขณะหายใจเข้า (retractions) ที่ใต้ชายโครงหรือระหว่างซี่โครง มีเสียงกลั้นคราง (grunting) ขณะหายใจออก และมีปีกจมูกบาน ในระหว่างนี้หากไม่ได้รับอาหารและน้ำอย่างเพียงพออาจเริ่มมีภาวะขาดน้ำร่วมด้วย ผู้ป่วยบางรายจะมีไข้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไข้ต่ำๆการฟังตรวจปอดอาจได้ยินเสียงกรอบแกรบหรือเสียงหวีด และระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนอาจต่ำลงได้
อาการที่พบในทารกอายุน้อย เช่น น้อยกว่า 6 สัปดาห์ โดยเฉพาะในทารกเกิดก่อนกำหนด อาจเป็นอาการแบบไม่จำเพาะ กล่าวคืออาจไม่มีอาการทางระบบหายใจโดดเด่นนัก ทารกที่ป่วยอาจมีอาการซึม ร้องกวน กินได้น้อย หรือหายใจลำบากได้บ้าง โดยเฉพาะการหยุดหายใจชั่วขณะ
ผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่สามารถติดเชื้ออาร์เอสวีได้หลายครั้ง การติดเชื้อซ้ำมักทำให้มีอาการเพียงเล็กน้อยถึงปานกลาง แยกไม่ได้จากโรคหวัดทั่วไปหรือไซนัสอักเสบ หรืออาจไม่มีอาการเลยก็ได้ อาการมักเป็นอยู่เฉพาะในระบบหายใจส่วนบน ได้แก่ น้ำมูกไหล เจ็บคอ มีไข้ อ่อนเพลีย ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการคัดจมูกนำมาก่อนที่จะมีอาการไอ สิ่งที่แตกต่างจากการติดเชื้อระบบหายใจส่วนบนที่เกิดจากเชื้ออื่นๆ ก็คือผู้ป่วยที่ติดเชื้ออาร์เอสวีมีโอกาสทำให้เกิดมีอาการหายใจเสียงหวีดเป็นครั้งแรกในผู้ใหญ่ที่ไม่เคยมีอาการนี้มาก่อนได้มากกว่าการติดเชื้ออื่น ผู้ป่วยเพียง 25% เท่านั้นที่จะมีอาการลุกลามจนกลายเป็นการติดเชื้อในระบบหายใจส่วนตัว เช่น หลอดลมอักเสบ หรือท่อลมและหลอดลมอักเสบ
ผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีโดยทั่วไปแล้วจะมีโอกาสป่วยรุนแรงจากการติดเชื้ออาร์เอสวีน้อยมาก แต่ในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ที่มีโรคปอดหรือโรคหัวใจ อาจป่วยรุนแรงหรืออาจเสียชีวิตจากการติดเชื้ออาร์เอสวีได้ อาการของผู้สูงอายุจะคล้ายคลึงกับที่พบในผู้ใหญ่อายุน้อย แต่จะมีความรุนแรงมากกว่า และมีโอกาสเกิดการติดเชื้อระบบหายใจส่วนล่างได้มากกว่า กล่าวคือมีโอกาสเกิดปอดบวม การหายใจลำบาก และเสียชีวิต ได้มากกว่า
ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
เด็กหรือผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไปที่จะเกิดอาการรุนแรงเมื่อติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี นั่นคือมีโอกาสเกิดการติดเชื้อระบบหายใจส่วนล่างมากขึ้น มีช่วงเวลาของการปล่อยเชื้อไวรัสออกจากร่างกายนานขึ้น ความรุนแรงของอาการขึ้นกับความรุนแรงของระดับการกดภูมิคุ้มกัน เช่น ผู้ป่วยที่ผ่านการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ยาเคมีบำบัดบางขนาน และการปลูกถ่ายปอด จะมีโอกาสเกิดโรครุนแรงมากเป็นพิเศษ ผู้ป่วยที่รับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจะมีโอกาสเสี่ยงมากที่สุดในขณะที่เพิ่งเข้ารับการปลูกถ่ายและเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดยังไม่เข้ากันดีกับร่างกาย โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้เมื่อติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีแล้วจะมีโอกาสเกิดปอดอักเสบและเสียชีวิตสูงถึง 80%
ภาวะแทรกซ้อน
กลุ่มประชากร | ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี |
---|---|
เด็ก | ภาวะแทรกซ้อนระยะสั้นของผู้ป่วยเด็กที่มีอาการรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ได้แก่:
ภาวะแทรกซ้อนระยะยาว ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะเหล่านี้และอาจคงอยู่จนถึงวัยผู้ใหญ่ได้ ได้แก่: |
ผู้ใหญ่ | ภาวะแทรกซ้อนดังต่อไปนี้จะพบได้บ่อยกว่าในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยโรคปอดหรือโรคหัวใจเรื้อรัง
|
ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง | ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องบางกลุ่มจะมีความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนบางอย่างเพิ่มเติม ได้แก่
|
สาเหตุ
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีในระบบหายใจส่วนล่างที่รุนแรงจะแตกต่างกันไปในแต่ละอายุ
กลุ่มประชากร | ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อในระบบหายใจส่วนล่างเมื่อติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี |
---|---|
เด็ก |
การคลอดก่อนกำหนด
ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย เพศชาย มีพี่ มารดาสูบบุหรี่ตอนตั้งครรภ์ มีประวัติภูมิแพ้ ไม่ได้กินนมแม่ ที่อยู่อาศัยแออัด โรคหัวใจหรือโรคปอดแต่กำเนิด |
ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ | อายุมากกว่า 65 ปี
โรคหัวใจหรือโรคปอดเรื้อรัง (โดยเฉพาะโรคปอดอักเสบอุดกั้น) มีความพิการ อาศัยในสถานฟื้นฟู |
ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง |
ลิมโฟซัยต์ต่ำ
ภาวะอวัยวะปลูกถ่ายต่อต้านร่างกาย ผู้ป่วยที่ใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ หรือยาเคมีบำบัดสูตรที่มีการกดไขกระดูก ผู้ป่วยที่เข้ารับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดมาไม่นาน |
วิทยาไวรัส
อนุกรมวิธาน
RSV เป็นไวรัส RNA สายเดี่ยว เซนส์ลบ (negative-sense) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Human Orthopneumovirus และมีความหมายเดียวกันกับ Human Respiratory Syncytial Virus (hRSV) ซึ่งนิยมเรียกสั้นๆ ว่า RSV ดังที่ใช้ในบทความนี้ ไวรัสสปีชีส์นี้อยู่ในจีนัส Orthopneumovirus, แฟมิลี Pneumoviridae, ออร์เดอร์ Mononegavirales ที่มาของชื่อ RSV มาจากการที่ผิวไวรัสมีโปรตีนชื่อว่า F protein ซึ่งจะทำให้เซลล์ที่ติดเชื้อหลอมรวมกับเซลล์ข้างเคียง กลายเป็นมวลเซลล์รวมมีหลายนิวเคลียสอยู่ภายใน
Anginetic subtypes
จีโนม
จีโนมของ RSV เป็น RNA สายเดี่ยว เซนส์ลบ จีโนมทั้งหมดอยู่บนสาย RNA สายเดียวซึ่งมีความยาวประมาณ 15,000 นิวคลีโอไทด์ ต่างจากจีโนมของไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่แยกออกเป็นท่อนๆ ทำให้ RSV ไม่เกิดการเข้าชุดยีนใหม่จนเกิดเป็นการเลื่อนแอนติเจนได้ และเกิดการระบาดทั่วได้ยาก เชื้อนี้มียีนทั้งหมด 10 ยีน ถอดรหัสออกมาเป็นโปรตีนได้ 11 ชนิด ลำดับของยีนคือ NS1-NS2-N-P-M-SH-G-F-M2-L โดย NS1 และ NS2 เป็นยีนโปรโมเตอร์ ไม่ได้มีหน้าที่เป็นโครงสร้างของไวรัส
โครงสร้างและโปรตีน
RSV เป็นไวรัสขนาดเล็ก (ประมาณ 150 นาโนเมตร) มีเปลือกหุ้ม ตัวไวรัสส่วนใหญ่มีรูปร่างเป็นทรงกลม แต่ชนิดที่เป็นเส้นก็มีพบเช่นกัน จีโนมของไวรัสจะอยู่ในนิวคลีโอแคปซิดซึ่งมีรูปร่างเป็นเกลียว ล้อมรอบด้วยโปรตีนเมทริกซ์และเปลือกหุ้มที่ทำจากกลัยโคโปรตีนของไวรัส โปรตีนส่วนประกอบของไวรัสนี้มีทั้งหมด 11 ชนิด ตามตารางต่อไปนี้
ตำแหน่งในตัวไวรัส | โปรตีน | ชื่ออื่น | หน้าที่ | ข้อมูลเพิ่มเติม |
---|---|---|---|---|
Lipid envelope (transmembrane surface proteins) | G | Glycoprotein | ช่วยให้ตัวไวรัสยึดติดกับเซลล์ที่มีซิเลียบนทางหายใจของผู้ป่วย | F and G glycoproteins are the two major surface proteins that control viral attachment and the initial stages of infection. F and G proteins are also the primary targets for neutralizing antibodies during natural infection. |
F | Fusion protein | หลอมรวมเยื่อหุ้มเซลล์ของไวรัสและเซลล์ร่างกายและสร้างมวลเซลล์รวม | ||
SH | Small hydrophobic protein | เป็น viroporin และไอออนแชนเนล | Participates in cell fusion, but no known neutralizing epitope | |
Inner envelope face | M | Matrix protein | เป็นส่วนประกอบของตัวไวรัส | |
Ribonucleocapsid | N | Nuceloprotein | RNA-binding | Involved in genome transcription, RNA replication, and particle budding |
P | Phosphoprotein | Phosphorylation | ||
L | "Large" protein | RNA-dependent RNA polymerase | ||
M2-1 | - | Transcription processivity factor | ||
Regulatory | M2-2 | - | Regulation of transcription / RNA replication | |
Nonstructural | NS-1 | - | Involved in evasion of the innate immune system | Act by inhibiting apoptosis & inhibiting Type I IFN signaling |
NS-2 | - |
โปรตีน G
โปรตีน G (glycoprotein) อยู่บนผิวเซลล์ มีบทบาทสำคัญในการทำให้ตัวไวรัสสามารถยึดติดกับเซลล์ผู้ป่วยได้ โปรตีนนี้มีลักษณะแตกต่างกันได้หลายแบบขึ้นกับสายพันธุ์ของเชื้อ พบได้ทั้งแบบยึดติดกับเยื่อหุ้มเซลล์ (membrane-bound form) และแบบที่ถูกหลั่งออกมา (secreted form) โดยแบบที่ยึดติดกับเยื่อหุ้มเซลล์จะทำหน้าที่ยึดติดกับสารกลุ่มกลัยโคซามิโนกลัยแคน (GAGs) เช่นเฮพาแรนซัลเฟตบนผิวของเซลล์ผู้ป่วย ส่วนแบบที่ถูกหลั่งออกมาทำหน้าที่เป็นตัวหลอกให้เซลล์เสนอแอนติเจนของร่างกายมาพบเพื่อยับยั้งการป้องกันแบบอาศัยแอนติบอดี
F Protein
วงจรชีวิต
เมื่อผนังหุ้มของไวรัสหลอมรวมเข้ากับเยื่อหุ้มเซลล์แล้ว นิวคลีโอแคปซิดของไวรัส (ซึ่งมีจีโนมของไวรัสอยู่ภายใน) และเอนไซม์โพลีเมอเรสของไวรัสจะถูกส่งเข้าไปในซัยโตพลาสซึมของเซลล์ที่ติดเชื้อ การถอดรหัสและการแปลรหัสพันธุกรรมของไวรัสจะเกิดขึ้นในซัยโตพลาสซึมของเซลล์ที่ติดเชื้อนี้เอง เอนไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรสแบบอาศัยอาร์เอ็นเอ (RNA-dependent RNA polymerase) จะถอดรหัสจีโนมของไวรัสออกมาเป็นเอ็มอาร์เอ็นเอ 10 ชิ้น ซึ่งต่อมาจะถูกแปลรหัสโดยโปรตีนกลไกของเซลล์ที่ติดเชื้อเพื่อสร้างออกมาเป็นโปรตีนโครงสร้างของไวรัส ในระหว่างที่กำลังมีการสร้างจีโนมของไวรัสซึ่งเป็นเซนส์ลบนั้น เอนไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรสแบบอาศัยอาร์เอ็นเอจะสังเคราะห์คู่สมที่เป็นเซนส์บวกของจีโนมออกมา เรียกว่า แอนไทจีโนม (antigenome) สายคู่สมนี้จะถูกใช้เป็นแม่แบบในการสร้างอาร์เอ็นเอเซนส์ลบซึ่งเป็นจีโนมตามปกติของไวรัส ซึ่งจะถูกห่อหุ้มด้วยนิวคลีโอแคปซิด ส่งต่อไปสู่เยื่อหุ้มเซลล์เพื่อประกอบกับโปรตีนและแยกตัวเป็นตัวไวรัสตัวใหม่ต่อไป
กลไกของโรค
การติดต่อ
ไวรัสอาร์เอสวีติดต่อจากคนสู่คนได้ง่ายมากและทำให้เกิดการระบาดเป็นหย่อมๆ ในโรงพยาบาลหรือในชุมชนได้บ่อยครั้ง ผู้ป่วยแต่ละคนจะส่งต่อโรคไปยังผู้ป่วยรายใหม่ได้ 5-25 คน โดยเฉลี่ย เชื้อนี้ติดต่อผ่านฝอยละอองจากการไอหรือการจาม เมื่อฝอยละอองที่มีเชื้อเหล่านี้เข้าไปถึงยา จมูก หรือปากของคนอื่น จะสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้นได้ เชื้อไวรัสอาร์เอสวีสามารถคงอยู่บนผิวหนังที่ปนเปื้อน (เช่น บนมือ) ได้เป็นเวลานานที่สุดถึง 25 นาที และอยู่บนผิววัตถุอื่นๆ (เช่น บนโต๊ะ หรือลูกบิดประตู) ได้หลายชั่วโมง เมื่อได้รับเชื้อแล้วผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเมื่อเวลาผ่านไป 2-8 วัน ผู้ป่วยจะมีระยะติดต่อที่สามารถส่งต่อเชื้อไปยังผู้อื่นได้อยู่ 3-8 วัน แต่ในทารกหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ช่วงเวลาของการส่งต่อเชื้ออาจนานได้สูงสุดถึง 4 สัปดาห์ (แม้จะไม่มีอาการแล้วก็ตาม)
การเกิดโรค
การติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีจะเกิดขึ้นที่เซลล์เยื่อบุแบบคอลัมน์ชนิดมีซิเลีย (ciliated columnar epithelium) ของระบบหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ไวรัสจะเพิ่มจำนวนอยู่ในเซลล์เหล่านี้เป็นเวลาประมาณ 8 วัน เมื่อเวลาผ่านไปเซลล์ที่ติดเชื้อจะมีรูปร่างเปลี่ยนเป็นรูปกลม และหลุดออกมาอยู่ในหลอดลมฝอย การหลุดออกนี้เชื่อว่าเป็นหนึ่งในกลไกที่ทำให้เกิดการลุกลามของเชื้อจากระบบหายใจส่วนบนมายังระบบหายใจส่วนล่าง
การวินิจฉัย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
มีเทคนิกการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่สามารถช่วยวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีได้หลายวิธี แม้สถาบันกุมารเวชศาสตร์อเมริกัน (เอเอพี) จะไม่แนะนำให้ใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการในการวินิจฉัยภาวะหลอดลมฝอยอักเสบจากอาร์เอสวีเป็นประจำในผู้ป่วยทุกราย เนื่องจากการรักษาเป็นการรักษาตามอาการ แต่การตรวจยืนยันการติดเชื้ออาร์เอสวีก็ยังมีประโยชน์อยู่ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่ผลการตรวจจะถูกนำไปประกอบการตัดสินใจในการเลือกแนวทางการรักษา วิธีตรวจที่ใช้กันอยู่ทั่วไปได้แก่ การตรวจแอนติเจน การตรวจพันธุกรรม และการเพาะเชื้อไวรัส
การตรวจแอนติเจน
การตรวจแอนติเจนคือการตรวจหาชิ้นส่วนแอนติเจนของไวรัสอาร์เอสวี ซึ่งเป็นชิ้นส่วนโครงสร้างของตัวไวรัส จากสิ่งส่งตรวจซึ่งอาจได้จากการป้ายคอหอยหรือการดูดเสมหะ อาจใช้เทคนิกการส่องตรวจการเรืองแสงฟลูออเรสเซนส์โดยตรง (DFA) โดยใช้กล้องจุลทรรศน์ หรือใช้ชุดตรวจแอนติเจนแบบรวดเร็ว (RADT) ที่ทำขายเชิงพาณิชย์ก็ได้ วิธีตรวจเหล่านี้โดยทั่วไปแล้วจะมีความไวสูงเมื่อใช้ตรวจกับผู้ป่วยเด็ก (80-90%) แต่จะมีความน่าเชื่อถือต่ำลงมากหากใช้ตรวจกับเด็กโตหรือผู้ใหญ่ซึ่งจะปล่อยเชื้อไวรัสออกมาให้ตรวจได้น้อยกว่า นอกจากนี้แล้วหากนำชุดตรวจเหล่านี้ไปตรวจนอกฤดูการระบาดยังอาจให้ผลบวกลวงได้มาก
- การตรวจแอนติเจนด้วยชุดตรวจแบบรวดเร็ว (RADT) เป็นวิธีตรวจ ณ จุดให้บริการที่ใช้กันแพร่หลายเนื่องจากสะดวกและรวดเร็ว (อาจใช้เวลาเพียง 10 นาที ต่อคน) เทคนิกที่ใช้มีทั้งการตรวจสารภูมิคุ้มกันด้วยวิธีโครมาโตกราฟี (CIA) และการตรวจอิมมูโนซอร์เบนท์แบบยึดโยงเอนไซม์ (EIA)
- การส่องตรวจการเรืองแสงฟลูออเรสเซนส์จากแอนติบอดีโดยตรง (DFA) เป็นวิธีตรวจที่สามารถส่องเห็นเซลล์ที่ติดเชื้อได้โดยตรง ความไวของการตรวจวิธีนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสิ่งส่งตรวจด้วย
การตรวจพันธุกรรม
การตรวจหาพันธุกรรมของไวรัสด้วยการเพิ่มจำนวนกรดนิวคลิอิก (nucleic acid amplicitation test, NAAT) เป็นวิธีที่ทำให้สามารถตรวจหาไวรัสปริมาณน้อยในสิ่งส่งตรวจที่ได้จากการป้ายโพรงจมูกหรือการดูดเสมหะได้ วิธีการเหล่านี้ เช่น การทำพีซีอาร์สามารถตรวจสารพันธุกรรมที่มีความจำเพาะต่อไวรัสได้ ซึ่งต่างจากการตรวจชิ้นส่วนแอนติเจน วิธีนี้มีความไวและความจำเพาะสูงเกือบ 100% อย่างไรก็ดีมักมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าและต้องการเครื่องมือที่ซับซ้อนกว่าการตรวจด้วยวิธีอื่นๆ ทำให้ใช้จริงได้ยากในพื้นที่ที่มีทรัพยากรจำกัด
- ปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส หรือ พีซีอาร์ เป็นการตรวจ NAAT วิธีหนึ่งที่สามารถเพิ่มจำนวนสารพันธุกรรมได้หลายล้านเท่า วิธีนี้มีความไวมากกว่าการตรวจแอนติเจนหรือการเพาะเชื้อไวรัส จึงสามารถตรวจไวรัสได้แม้ในผู้ป่วยที่ปล่อยเชื้อไวรัสออกมาเป็นปริมาณน้อยเช่นเด็กโตหรือผู้ใหญ่ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ตรวจในระยะแรกเริ่มได้ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงสูง (เช่น ผู้ป่วยที่กำลังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ) ซึ่งจำนวนไวรัสอาจยังมีปริมาณน้อยเกินกว่าที่จะตรวจเจอด้วยวิธีปกติ เนื่องจากความไวที่สูงนี้เองทำให้สามารถตรวจพบได้ว่าผู้ป่วยบางรายยังสามารถตรวจเจอเชื้อได้หลายวันแม้จะหายจากอาการป่วยแล้วก็ตาม
- การตรวจพาเนลหาเชื้อหลายชนิด (multi-pathogen panels) เป็นชุดตรวจที่สามารถตรวจหาการติดเชื้อไวรัสได้หลายชนิดพร้อมๆ กันในการตรวจครั้งเดียว
การเพาะเชื้อไวรัส
การเพาะเชื้อไวรัสด้วยวิธีปกติทำได้โดยนำไวรัสเข้าไปยังสายพันธุ์เซลล์มาตรฐานแล้วปล่อยให้ไวรัสเพิ่มจำนวนเพื่อนำไปตรวจ ขอดีของวิธีนี้คือสามารถจำแนกประเภททางพันธุกรรมของไวรัสได้ จำแนกชนิดย่อย (strain) ได้ และตรวจความไวต่อยาต้านไวรัสได้ อย่างไรก็ดีข้อเสียคือใช้เวลาทำนาน คือต้องใช้เวลา 3-7 วันในการเพาะเชื้อไวรัส ทำให้มีที่ใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยน้อย ส่วนใหญ่จะใช้ประกอบการศึกษาวิจัยมากกว่า
การตรวจภูมิคุ้มกัน
ไม่ค่อยมีการใช้การตรวจภูมิคุ้มกันในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีมากนัก เนื่องจากร่างกายต้องใช้เวลาระยะหนึ่งก่อนที่จะสร้างสารภูมิคุ้มกันในเลือดขึ้นให้มากพอที่จะตรวจได้ ระยะเวลานี้นานเกินกว่าที่จะสามารถนำผลตรวจไปใช้ประกอบการรักษาได้ ผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีประมาณ 30% จะมีผลตรวจภูมิคุ้มกันเป็นลบ ดังนั้นวิธีตรวจนี้จึงยังมีที่ใช้แค่เพียงในการศึกษาวิจัยและการศึกษาเพื่อเฝ้าระวังโรคเท่านั้น
การตรวจภาพรังสีทางการแพทย์
การถ่ายภาพรังสีทรวงอกในผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคหลอดลมฝอยอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวีมักมีลักษณะที่ไม่จำเพาะ ลักษณะเหล่านี้ เช่น รอยโรคที่ขั้วปอด รอยปื้นในเนื้อปอด ลมคั่งในปอด และปอดแฟบบางส่วน เป็นต้น อย่างไรก็ดี สถาบันกุมารเวชศาสตร์อเมริกัน (เอเอพี) ไม่แนะนำให้ส่งตรวจถ่ายภาพรังสีทรวงอกในผู้ป่วยเด็กที่สงสัยเป็นโรคหลอดลมฝอยอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวีเป็นประจำ เนื่องจากผลที่ได้ไม่เปลี่ยนแปลงผลการรักษา และมักเพิ่มการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น การถ่ายภาพรังสีทรวงอกอาจมีประโยชน์ในกรณีที่อาการไม่ชัดเจนว่าเป็นโรคหลอดลมฝอยอักเสบ หรือผู้ป่วยมีอาการทรุดลงโดยไม่ได้คาดไว้ก่อน การถ่ายภาพรังสีทรวงอกในผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีมักให้ผลปกติหรือมีลักษณะแบบไม่จำเพาะที่เข้าได้กับปอดบวมไวรัส เช่นการมีปื้นฝ้าขาวที่ปอดทั้งสองข้าง เป็นต้น
การวินิจฉัยแยกโรค
การวินิจฉัยแยกโรคในผู้ป่วยที่มีอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อระบบหายใจไม่ว่าจะส่วนบนหรือส่วนล่างประกอบด้วย การติดเชื้อไวรัสอื่นๆ (เช่น ไรโนไวรัส เมตานิวโมไวรัส และไวรัสไข้หวัดใหญ่) และปอดบวมแบคทีเรีย ภาวะอื่นที่ต้องนึกถึงในผู้ป่วยเด็ก ได้แก่ การสูดสำลักสิ่งแปลกปลอม โรคที่เป็นแต่กำเนิดบางโรค เช่น ซิสติกไฟโบรซิส หรือ โรคหืด เป็นต้น
การป้องกัน
มาตรการป้องกันโรคโดยทั่วไป
วิธีหลักในการป้องกันโรคคือการหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย การล้างมืออย่างถูกต้องจะช่วยลดการแพร่กระจายของโรคในชุมชนหรือในสถานรับเลี้ยงได้ ในสถานพยาบาลการปฏิบัติตามมาตรการการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัดจะช่วยป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสอาร์เอสวีไปยังผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงสูงได้ น้ำยาล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ใช้ได้ผลดีในการฆ่าเชื้อที่มือ
การให้สารภูมิคุ้มกัน
ถึงแม้ว่าการกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อไวรัสอาร์เอสวีด้วยวัคซีนจะยังอยู่ระหว่างการพัฒนา แต่การให้สารภูมิคุ้มกันต่อไวรัสอาร์เอสวีเพื่อทำให้เกิดภูมิคุ้มกันแบบรับมาก็ทำได้แล้วในปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายหลักๆ คือเพื่อให้การป้องกันแก่ทารกที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรครุนแรงเมื่อติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี แต่เดิมการให้สารภูมิคุ้มกันนี้ทำได้โดยการให้อิมมูโนโกลบูลินทางหลอดเลือดดำโดยใช้อิมมูโนโกลบูลินที่จำเพาะต่อไวรัสอาร์เอสวี วิธีการนี้ทำได้โดยแยกเอาแอนติบอดีต่อไวรัสอาร์เอสวีจากเลือดของผู้บริจาคที่เคยป่วยติดเชื้อไวรัสนี้มาก่อนแล้ว แล้วนำมาให้กับผู้รับเป็นรายเดือน วิธีการนี้ได้ผลดีพอสมควร สามารถทำให้ผู้รับมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสอาร์เอสวีได้ชั่วคราว แต่ยังมีข้อจำกัดเนื่องจากวิธีการให้ที่ต้องให้ทางหลอดเลือดดำ และราคาที่ยังสูง
ปัจจุบันการใช้สารภูมิคุ้มกันแบบโมโนโคลน (monoclonal antibody, MAb) ซึ่งสามารถให้ด้วยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อได้เข้ามาแทนที่การใช้ IVIG ต่อไวรัสอาร์เอสวีแบบดั้งเดิม มีสารภูมิคุ้มกันแบบโมโนโคลนหลายชนิดที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี แต่พาลิวิซูแม็บ (ชื่อการค้า ซีนาจิส) เป็นตัวที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด พาลิวิซูแม็บเป็นสารภูมิคุ้มกันแบบโมโนโคลนที่จำเพาะต่อโปรตีน F ที่ผิวของไวรัสอาร์เอสวี ยานี้ได้รับอนุญาตให้จดสิทธิบัตรเมื่อ ค.ศ. 1998 และมีผลป้องกันไวรัสอาร์เอสวีทั้งชนิดเอและชนิดบีได้ชั่วคราว วิธีให้ยานี้ทำได้โดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อเดือนละครั้ง โดยมักเริ่มให้ก่อนเข้าฤดูการระบาดของไวรัสอาร์เอสวีและมักให้ต่อเนื่องกันเป็นเวลาห้าเดือน มีหลักฐานว่ายานี้ลดอัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและลดอัตราตายรวมทุกสาเหตุได้ในเด็กกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กที่ป่วยโรคปอดเรื้องรัง โรคหัวใจแต่กำเนิด และเด็กเกิดก่อนกำหนด ยานี้ยังมีราคาแพง การใช้ในบางประเทศจึงยังมีข้อจำกัดอยู่ มีการพัฒนายารุ่นที่มีความแรงมากกว่านี้อยู่ เช่น โมทาวิซูแม็บ แต่ก็มีผลข้างเคียงมากกว่า
สถาบันกุมารเวชศาสตร์อเมริกัน (เอเอพี) ออกคำแนะนำเมื่อ ค.ศ. 2014 ว่าด้วยการให้ยาพาลิวิซูแม็บในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีในช่วงที่มีการระบาด โดยแนะนำให้ผู้ป่วยดังต่อไปนี้ควรได้รับยาเพื่อป้องกันโรค
- ทารกเกิดก่อนกำหนดที่มีอายุครรภ์น้อยกว่าหรือเท่ากับ 28 สัปดาห์ 6 วัน และมีอายุหลังเกิดน้อยกว่า 12 เดือน เมื่อเริ่มต้นช่วงที่จะมีการระบาดของไวรัสอาร์เอสวี
- ทารกอายุน้อยกว่า 12 เดือน ที่มีโรคปอดเรื้อรังจากการเกิดก่อนกำหนด
- ทารกอายุไม่เกิน 12 เดือน ที่มีโรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดที่ส่งผลต่อระบบไหลเวียน (hemodynamically significant congenital heart disease)
- ทารกอายุน้อยกว่า 24 เดือน ที่มีโรคปอดเรื้อรังจากการเกิดก่อนกำหนด และยังต้องใช้ยารักษาอยู่
นอกจากนี้แล้ว เอเอพียังแนะนำว่าอาจพิจารณาใช้ยาป้องกันในทารกกลุ่มที่มีโรคต่อไปนี้อีกด้วย
- ทางเดินหายใจผิดปกติแต่กำเนิด
- โรคระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
- ซิสติกไฟโบรซิส
- ภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง
- ผ่านการปลูกถ่ายหัวใจมาไม่นาน หรือกำลังจะเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจ
วัคซีน
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนตัวใดผ่านการรับรองว่าสามารถใช้ป้องกันไวรัสอาร์เอสวีได้ ทั้งนี้เนื่องจากผลกระทบจากการติดเชื้อไวรัสนี้มีความรุนแรง และยังไม่มีวิธีรักษาจำเพาะ ทำให้มีความสนใจที่จะวิจัยและพัฒนาวัคซีนนี้ให้สำเร็จอย่างมาก ถึงกระนั้นก็ยังมีอุปสรรคที่ขัดขวางอยู่ เช่น ปัจจัยขัดขวางที่เป็นผลมาจากฝั่งทารก ทั้งระบบภูมิคุ้มกันที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ และการมีแอนติบอดีที่ได้รับจากมารดาอยู่ในตัว ต่างมีผลให้การสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนทารกเป็นไปได้อย่างยากลำบาก
ความพยายามในการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสอาร์เอสวีมีขึ้นตั้งแต่ช่วงคริสตทศวรรษ 1960s โดยมีการพัฒนาวัคซีนจากเชื้อไวรัสที่ถูกทำให้หมดสภาพด้วยฟอร์มาลีนเพื่อนำมาใช้ในทารกและเด็กเล็ก วิธีการนี้เคยถูกนำมาใช้เป็นผลสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนโปลิโอ แต่เมื่อนำวิธีการเดียวกันนี้มาใช้ผลิตวัคซีนอาร์เอสวีกลับทำให้เกิดโรคระบบหายใจที่ถูกทำให้รุนแรงขึ้นโดยวัคซีน (vaccine-associated enhanced respiratory disease, VAERD) โดยทารกที่ได้รับวัคซีนเมื่อติดเชื้อจะมีอาการทางระบบหายใจที่รุนแรงกว่าทารกที่ไม่ได้รับวัคซีนอย่างมาก ผู้ป่วยราว 80% มีอาการรุนแรงถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล (ต่างจากในกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีนซึ่งมีเพียง 5%) และมีผู้ป่วยเสียชีวิตไปสองราย เหตุการณ์นี้ทำให้การพัฒนาวัคซีนในระยะต่อมามีมาตรการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ทำให้การพัฒนาเป็นไปอย่างล่าช้าต่อเนื่องมาหลายปี
การวิจัยเพื่อผลิตวัคซีนไวรัสอาร์เอสวีมีความก้าวหน้าไปตามลำดับ โดยรายงานเมื่อ ค.ศ. 2019 พบว่ามีวัคซีนที่อยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยในระยะต่างๆ รวมแล้วกว่า 30 ชนิด และคาดการณ์ไว้ว่าจะมีวัคซีนป้องกันไวรัสอาร์เอสวีออกใช้ได้ภายใน 10 ปี วัคซีนที่อยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลักๆ คือ วัคซีนเชื้อเป็น วัคซีนโปรตีนซับยูนิต วัคซีนอาศัยเวคเตอร์ และวัคซีนพาร์ติเคิล วัคซีนแต่ละชนิดมีเป้าหมายของกระตุ้นการตอบสนองทางระบบภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันไป ดังนั้นอาจจะเหมาะสมกับกลุ่มผู้รับวัคซีนคนละกลุ่มกัน วัคซีนเชื้อเป็นชนิดหนึ่งพบว่าได้ผลระดับหนึ่งในทารกที่ไม่เคยป่วยติดไวรัสอาร์เอสวีมาก่อน ส่วนอีกชนิดหนึ่งคาดว่าจะได้ประโยชน์ในกลุ่มอื่นๆ เช่น หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้สูงอายุ
การรักษา
การรักษาตามอาการ
สิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาการติดเชื้ออาร์เอสวีคือการรักษาตามอาการ ประกอบด้วยการเฝ้าสังเกตการหายใจของผู้ป่วย การระบายเสมหะจากระบบหายใจส่วนบน การให้ออกซิเจน (อาจให้ผ่านสายให้ออกซิเจนทางจมูกหรือผ่านหน้ากาก) และในกรณีที่มีการหายใจล้มเหลวอาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อต่อกับเครื่องช่วยหายใจ หากมีอาการขาดน้ำอาจต้องให้สารน้ำเพิ่มเติมผ่านการกินหรือให้ทางหลอดเลือดดำ
ในทารกที่เป็นโรคหลอดลมฝอยอักเสบอาจต้องได้รับการรักษาประคับประคองเพิ่มเติม ได้แก่
- การพ่นหมอกละอองของน้ำเกลือความเข้มข้นสูง (nebulized hypertonic saline) ช่วยลดจำนวนวันนอนโรงพยาบาลและลดระดับความรุนแรงได้ในทารกที่ป่วยเป็นโรคหลอดลมฝอยอักเสบ โดยเชื่อว่าผ่านกลไกที่ทำให้ลดความบวมของทางหายใจและลดปริมาณเสมหะที่อุดตันทางหายใจ
- การทำกายภาพปอดเพื่อระบายเสมหะไม่ช่วยลดความรุนแรงของโรค จึงไม่ได้แนะนำให้ทำเป็นการทั่วไปในผู้ป่วยทุกราย
ยาต้านไวรัส
- ไรบาไวริน เป็นยาต้านไวรัสชนิดเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนว่ามีข้อบ่งใช้ในการรักษาการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีในเด็ก กลไกของยานี้คือเป็นสารเลียนแบบกัวโนซีนที่ไปยับยั้งกระบวนการการสร้างอาร์เอ็นเอและการปิดท้ายเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA capping) ของไวรัส ยานี้ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป็นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1986 อย่างไรก็ดีการนำไปใช้จริงยังมีข้อถกเถียงอยู่เนื่องจากหลักฐานสนับสนุนประสิทธิภาพ ความเป็นพิษต่อบุคลากร และความคุ้มค่าของการใช้ยานี้ยังไม่ชัดเจน ดังนั้นแนวทางปฏิบัติที่อยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่จึงไม่ได้แนะนำอย่างชัดเจนว่าต้องใช้ยานี้ในผู้ป่วยเด็ก สำหรับผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่มีการใช้ยานี้แบบนอกข้อบ่งชี้อยู่บ้าง ส่วนใหญ่เป็นการใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ที่เข้ารับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด เป็นต้น
- เพรซาโทเวียร์ เป็นยาต้านไวรัสอีกชนิดหนึ่งที่ยังอยู่ระหว่างการทดลอง ผลการทดลองที่ผ่านมาพบว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสามารถนำมาใช้รักษาได้ผล แต่ยังไม่ได้รับการอนุญาตให้ใช้ทางการแพทย์เป็นการทั่วไป ยานี้ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการรวมตัวของไวรัสกับเซลล์ร่างกาย ตำแหน่งออกฤทธิ์อยู่ที่โปรตีน F ของไวรัสอาร์เอสวี
ยาต้านการอักเสบ
- คอร์ติโคสเตียรอยด์ไม่ว่าจะเป็นแบบทั่วร่าง (ยากินหรือยาฉีด) หรือแบบพ่นสูด ไม่ช่วยลดจำนวนวันที่ต้องนอนโรงพยาบาล และไม่ช่วยลดความรุนแรงกรณีป่วยเป็นหลอดลมฝอยอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวี นอกจากนี้ยังอาจทำให้ระยะติดต่อยาวนานขึ้น ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ใช้ อย่างไรก็ดียังมีที่ใช้ของคอร์ติโคสเตียรอยด์แบบกินในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีโรคปอดเรื้อรังอยู่เดิมแล้วมีอาการกำเริบจากการติดเชื้อ
- ยาต้านลิวโคไตรอีน เช่น มอนตีลูคาสท์ เป็นยาที่ถูกนำมาใช้รักษาผู้ป่วยทารกและเด็กเล็กที่ป่วยเป็นโรคหลอดลมฝอยอักเสบ อย่างไรก็ดียังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนจากหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าใช้ได้ผลหรือไม่ หรือมีประสิทธิภาพเพียงใด
ยาขยายหลอดลม
ยาขยายหลอดลมเป็นยาที่ใช้บ่อยในการรักษาผู้ป่วยโรคหืด และบางครั้งสามารถนำมาใช้รักษาอาการหายใจมีเสียงหวีดที่พบในผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีได้ ยาเหล่านี้ เช่น อัลบูเทอรอล (หรือซัลบูทามอล) เป็นยากระตุ้นตัวรับเบต้า ช่วยคลายกล้ามเนื้อของทางหายใจที่ตีบตัน ทำให้อากาศไหลผ่านได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ดี ยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนว่าการใช้ยาขยายหลอดลมกับผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีจะช่วยลดความรุนแรงทางคลินิกหรือช่วยลดอัตราการนอนโรงพยาบาล นอกจากนี้ยานี้-เช่นเดียวกันยาอื่นๆ-ก็มีผลข้างเคียง จึงยังไม่แนะนำให้ใช้เป็นประจำในผู้ป่วยโรคหลอดลมฝอยอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวีทุกคน
ยาปฏิชีวนะ
การใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคหลอดลมฝอยอักเสบหรือปอดอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวีถือเป็นการใช้ยาอย่างไม่เหมาะสม ทั้งนี้เพราะยาปฏิชีวนะจะใช้ได้ผลกับเชื้อก่อโรคที่เป็นแบคทีเรีย ไม่ใช่เชื้อก่อโรคที่เป็นไวรัส อย่างไรก็ดี การใช้ยาปฏิชีวนะอาจมีประโยชน์ในกรณีที่มีหลักฐานว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน ทารกบางรายที่ป่วยโรคหลอดลมฝอยอักเสบจากไวรัสอาร์เอสวีอาจมีภาวะแทรกซ้อนเป็นหูชั้นกลางอักเสบ ซึ่งอาจรักษาได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ
วิทยาการระบาด
ทารกและเด็ก
ทั่วโลกพบว่าไวรัสอาร์เอสวีเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้เกิดหลอดลมฝอยอักเสบและปอดบวมในทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือนมีความเสี่ยงสูงที่สุดที่จะเกิดโรครุนแรง เด็กที่ติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี 2-3% จะเกิดอาการหลอดลมฝอยอักเสบ ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ไวรัสอาร์เอสวีทำให้มีเด็กเจ็บป่วยระบบหายใจแบบเฉียบพลันประมาณ 30 ล้านคนต่อปีทั่วโลก และทำให้เด็กเสียชีวิตปีละมากกว่า 60,000 คน เด็กอายุ 18 เดือนราว 87% จะเคยป่วยจากการติดเชื้ออาร์เอสวีมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เมื่ออายุ 3 ปีเด็กแทบทุกคนจะเคยติดเชื้อมาแล้ว ในสหรัฐพบว่าไวรัสอาร์เอสวีเป็นสาเหตุของการป่วยติดเชื้อระบบหายใจแบบเฉียบพลันจนต้องนอนโรงพยาบาลของเด็กอายุไม่เกิน 5 ปีประมาณ 20% อย่างไรก็ดี เด็กที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีส่วนใหญ่อยู่ในประเทศที่มีรายได้ต่ำและยังขาดแคลนการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน
ฤดูกาล
ฤดูกาลที่จะมีการระบาดของไวรัสอาร์เอสวีจะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ของโลก ในพื้นที่เขตอบอุ่น (temperature climate) ไวรัสอาร์เอสวีมักระบาดมากที่สุดในช่วงฤดูหนาว โดยเชื่อว่าปัจจัยที่ส่งผลคือการที่ผู้คนอยู่รวมกันในบ้าน และไวรัสมีความคงทนในสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในอุณหภูมิต่ำ ส่วนในเขตร้อนและเขตภูมิอากาศอาร์กติกความรุนแรงของการระบาดในแต่ละฤดูจะไม่แตกต่างกันชัดเจนเท่าที่พบได้ในเขตอบอุ่น แต่พบว่าจะมีผู้ป่วยมากขึ้นในฤดูฝน การระบาดประจำปีมักไม่ได้เกิดจากไวรัสสายพันธุ์เดียว โดยมักพบว่ามีทั้งสายพันธุ์เอและสายพันธุ์บีระบาดพร้อมๆ กัน แต่มักพบเป็นสายพันธุ์เอมากกว่า
ประวัติศาสตร์
ไวรัสอาร์เอสวีถูกค้นพบเป็นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1956 โดยมอร์ริส, เบลานท์, และซาเวจ ซึ่งสามารถแยกเชื้อไวรัสนี้ได้จากลิงชิมแปนซีกลุ่มหนึ่งที่ป่วยโรคระบบหายใจ ในตอนนั้นพวกเขาได้ตั้งชื่อไวรัสนี้ว่าซีซีเอ (Chimpanzee Coryza Agent, CCA) ต่อมาจึงพบว่าชิมแปนซีเหล่านี้ติดเชื้อมาจากผู้ดูแล ต่อมาเมื่อ ค.ศ. 1957 ไวรัสเดียวกันนี้ถูกค้นพบอีกครั้งโดยโรเบิร์ต เอ็ม ชาน็อค ในผู้ป่วยเด็กที่มีอาการระบบหายใจ การศึกษาวิจัยแอนติบอดีในทารกและเด็กเล็กทำให้พบว่าการติดเชื้อไวรัสนี้พบได้บ่อยในเด็ก ต่อมาไวรัสนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นฮิวแมนอาร์เอสวี (hRSV, "อาร์เอสวีในมนุษย์") หรือออร์โธนิวโมไวรัส
ยังมีเชื้อไวรัสในกลุ่มออร์โธนิวโมไวรัสอื่นๆ อีกหลายชนิดที่มีความคล้ายคลึงกับไวรัสอาร์เอสวีในมนุษย์ ที่สำคัญที่สุดชนิดหนึ่งคือไวรัสอาร์เอสวีในวัว (bovine RSV, bRSV) ซึ่งมีจีโนมเหมือนกันกับไวรัสอาร์เอสวีในมนุษย์ถึง 80% อีกอย่างที่เหมือนกันคือมักทำให้เกิดโรคร้ายแรงในลูกวัวอายุน้อยกว่า 6 เดือน การที่ไวรัสอาร์เอสวีในวัวทำให้เกิดโรคในลูกวัวและมีอาการคล้ายคลึงกับการติดไวรัสอาร์เอสวีในมนุษย์อย่างมากทำให้ไวรัสนี้เป็นตัวแบบของการติดเชื้อในสัตว์ที่มีประโยชน์อย่างมากในการศึกษาไวรัสอาร์เอสวีเพื่อนำความรู้ที่ได้ไปใช้กับมนุษย์
แหล่งข้อมูลอื่น
การจำแนกโรค | |
---|---|
ทรัพยากรภายนอก |
ไวรัส | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อาการ |
เจ็บคอ · น้ำมูกไหล · คัดจมูก · จาม · ไอ · ปวดกล้ามเนื้อ · ความอ่อนล้า · ความละเหี่ย · ปวดศีรษะ · อ่อนเปลี้ย · เบื่ออาหาร
|
||||||||
ภาวะแทรกซ้อน | |||||||||
ยาต้านไวรัส |
พลีโคนาริล (อยู่ในการทดลอง)
|
||||||||
|